สมาคมโรงงานน้ำตาลจ่อยื่นหนังสือค้านเพิ่ม ‘กากอ้อย’ เป็นผลพลอยได้ใน พ.ร.บ.อ้อยฯ

3 สมาคมรง.น้ำตาล ลุยยื่นหนังสือถึง นายกฯ ค้าน เพิ่ม ‘กากอ้อย’ เป็นผลพลอยได้ใน พ.ร.บ.อ้อยฯ หวั่นหลักเกณฑ์การกำกับที่ผิดพลาด นำไปสู่ระบบอุตสาหกรรมล่มสลาย

14 มิ.ย. 2565 – นายปราโมทย์ วิทยาสุข ประธาน 3 สมาคมโรงงานน้ำตาลทราย หรือ TSMC เปิดเผยว่า ฝ่ายโรงงานน้ำตาลไม่ได้รับสิทธิให้เข้าร่วมในคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณากฎหมายนี้เลย ทั้งๆ ที่เป็นผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในอุตสาหกรรมนี้โดยตรง โรงงานน้ำตาลทั้ง 57 โรงงานทั่วประเทศได้ทำหนังสือด่วนที่สุด เพื่อยื่นต่อ นายกรัฐมนตรี ประธานสภาผู้แทนราษฎร ประธานวุฒิสภา ผู้ตรวจการแผ่นดิน ประธานคณะกรรมธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติอ้อยและน้ำตาลทราย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม/พาณิชย์/เกษตรและสหกรณ์ และประธานคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทรายและเลขาคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย (สอน.) เพื่อคัดค้านร่าง พ.ร.บ.อ้อยและน้ำตาลทราย ฉบับใหม่ ที่จะเข้าสู่ที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรในวันพุธที่ 15 มิย. นี้ หากมีการเพิ่มคำว่า ‘กากอ้อย’ อยู่ในคำนิยามอีกครั้งหนึ่ง ทั้งที่ การพิจารณาของคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ มีมติเสียงข้างมาก ให้ตัดคำว่า ‘กากอ้อย’ ออกจากคำนิยามแล้ว

ทั้งนี้ ผู้ประกอบการโรงงานน้ำตาลทั้ง 57 โรง ไม่เห็นด้วยในการเพิ่มคำนิยามดังกล่าว เพราะจะนำมาซึ่งความขัดแย้งที่รุนแรงของผู้ที่อยู่ในห่วงโซ่อุปทานของอุตสาหกรรม เนื่องจากขัดแย้งกับ ร่าง พ.ร.บ.อ้อยและน้ำตาลทรายฉบับที่คณะรัฐมนตรี(ครม.)เสนอ ซึ่งได้ผ่านการประชาพิจารณ์ให้ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียเสนอความคิดเห็นเรียบร้อยแล้ว อีกทั้ง ยังขัดต่อหลักการของ พ.ร.บ.อ้อยและน้ำตาลทราย พ.ศ. 2527 ที่เน้นหลักจริยธรรมแห่งการอยู่ร่วมกันระหว่างชาวไร่และโรงงาน สร้างความร่วมมือ ความยั่งยืนและความเป็นธรรมแก่ทุกฝ่าย
“เรามองว่า ร่าง พรบ.อ้อยและน้ำตาลทราย พ.ศ. (ฉบับที่ ….) ของรัฐบาลที่จัดทำโดยกระทรวงอุตสาหกรรม ซึ่งที่ได้รับความเห็นชอบจากทุกฝ่ายและคณะรัฐมนตรีก็มีมติเห็นชอบแล้ว เป็นร่างกฎหมายที่มีความเหมาะสมและสร้างเสมอภาคให้แก่ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกฝ่าย ตามปรัชญาการแบ่งปันผลประโยชน์ที่เป็นธรรม แต่กลับไม่นำมาใช้เป็นร่างหลักในการพิจารณาปรับปรุงกฎหมาย และขอยืนยันว่า การคัดค้านครั้งนี้ไม่ได้ต้องการขัดขวางการปรับปรุงกฎหมาย แต่ต้องการกฎหมายที่นำไปปฎิบัติได้อย่างมีประสิทธิภาพทุกฝ่ายยอมรับ ไม่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง จนนำไปสู่การล่มสลายของอุตสาหกรรมเหมือนที่เกิดขึ้นในประเทศอินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์และคิวบา ที่ล้วนเกิดจากการกำกับดูแลที่ผิดพลาดทั้งสิ้น” นายปราโมทย์ กล่าว

นอกจากนี้ คำนิยาม ‘ผลพลอยได้’ ตามกฎหมายฉบับเดิม ทำให้อุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลทรายเติบโตมาอย่างมั่นคง จากที่เคยมีผลผลิตอ้อยจำนวน 23.91 ล้านตันในฤดูการผลิตปี 2525/2526 เพิ่มเป็น 134.92 ล้านตันอ้อย ในฤดูการผลิตปี 2560/2561 และยังมีอีกหลายแนวทางที่ใช้ปรับปรุงการบริหารอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลทรายเพื่อเพิ่มรายได้ และทำให้ราคาอ้อยสูงขึ้นได้ ซึ่งที่ผ่านมา ชาวไร่อ้อยและโรงงานน้ำตาลตกลงร่วมกันกำหนดระบบประกันราคาอ้อยในอัตราตันละ 1,200 บาท โดยเห็นพ้องกันว่าจะไม่กำหนดคำว่า ‘กากอ้อย’ ในคำนิยาม “ผลพลอยได้” เนื่องจากไม่ต้องการเห็นความขัดแย้งในอุตสาหกรรม ซึ่งจะสงผลให้สำนักงานคณะกรรมาอ้อยและน้ำตาลทรายที่เป็นองค์กรกำกับดูแลตามกฎหมายนี้ไม่สามารถบริหารอุตสาหกรรมนี้ให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อย

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

'รทสช.' ย้ำจุดยืนไม่เอานิรโทษ 112 - คดีโกง หนุน พ.ร.บ.สร้างสังคมสันติสุข

'ธนกร' ยันชัด รทสช. ค้านร่างนิรโทษกรรมคดีมาตรา 112 - คดีโกง ลั่นไม่ยอมให้ใครล้างผิดพวกหมิ่นเบื้องสูง ชี้เห็นด้วยแค่คดีการเมือง-เหตุไม่รุนแรง พร้อมหนุน พ.ร.บ.สร้างสังคมสันติสุข

'สปช.' ขวาง 'กาสิโน' ส่งจม. เตือนรัฐบาล-สภา หวั่นเป็นผู้นำทรราช

อดีตสมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ ได้ทำหนังสือเปิดผนึกถึงประธานรัฐสภา หัวหน้าพรรคการเมือง และสมาชิกรัฐสภา เรื่อง ขอให้พิจารณาไม่ผ่าน ร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) การประกอบธุรกิจสถานบันเทิง พ.ศ….

'ศิษย์เก่าอำนวยศิลป์' รุ่น 42 กระทุ้งรัฐบาล-สภา ยกเลิกออก 'กม.กาสิโน'

นายนันทิวัฒน์ สามารถ อดีตเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ และอดีตรองผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองแห่งชาติ โพสต์เฟซบุ๊กเรื่องแถลงการณ์นักเรียนเก่าอำนวยศิลป์รุ่น 42

'แก้วสรร' แพร่บทความ 'โครงการกาสิโนของรัฐบาล : ตัวตนและเค้ามูลที่ปรากฎ'

นายแก้วสรร อติโพธิ นักวิชาการด้านกฎหมาย เขียนบทความในรูปถาม- ตอบ เรื่อง "โครงการกาสิโนของรัฐบาล : ตัวตนและเค้ามูลที่ปรากฎ" โดยมีเนื้อหา ดังนี้

'ชูศักดิ์' มั่นใจ กม. 'กาสิโน' ผ่านสภา ปัดรัฐบาลเร่ง อ้าง 8 เดือนกว่าจะคลอด

'ชูศักดิ์' มั่นใจ กม.เอนเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ ผ่านสภาฉลุย อ้างรัฐบาลไม่ได้เร่ง กว่าจะคลอดไม่ต่ำกว่า 8 เดือน พร้อมแจงก่อนสร้างต้องชงเข้า ครม. ค่อยตราเป็นพระราชกฤษฎีกา