‘ตลท.’ ชงคลังพิจารณา 4 ปัจจัยก่อนเก็บภาษีขายหุ้น หวั่นนักลงทุนแบกภาระ

‘ตลท.’ ชงคลังพิจารณา 4 ปัจจัยก่อนเดินเครื่องเก็บภาษีขายหุ้น หวั่นจัดเก็บอัตรา 0.1% ทำนักลงทุนแบกภาระค่าใช้จ่ายสูงเกินเท่าตัว จ่อกระทบสภาพคล่อง-การตัดสินใจลงทุน แถมเกิดต้นทุนภาษีซ้ำซ้อน

16 มิ.ย. 2565 – ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ระบุว่า ตามที่มีข่าวว่ากระทรวงการคลังจะเรียกเก็บภาษีการขายหุ้นในตลท. โดยจะจัดเก็บภาษีธุรกิจเฉพาะ 0.1% ของมูลค่าขายตั้งแต่บาทแรกนั้น ตลท. เห็นว่ายังมี 4 ปัจจัยที่ควรพิจารณาเพิ่มเติม ดังนี้ 1.อัตราภาษีธุรกิจเฉพาะ 0.1% (ภาษีขายหุ้น) ที่จะเรียกเก็บไม่เหมาะสมกับสภาพธุรกิจปัจจุบัน เนื่องจากเป็นอัตราที่ถูกกำหนดไว้ตั้งแต่ปี 2534 ขณะที่ปัจจุบันการแข่งขันของผู้ประกอบกิจการรุนแรงขึ้นทั้งในและต่างประเทศ ทำให้อัตราค่าคอมมิชชั่นโดยเฉลี่ยในอุตสาหกรรมลดลงเหลือเพียง 0.08% เท่านั้น จากเดิมที่ 0.5%

‘หากเก็บภาษีขายหุ้นที่ 0.1% รวมกับภาษีท้องถิ่นอีก 0.01% คิดเป็น 0.11% จะทำให้อัตราส่วนระหว่างค่าคอมมิชชั่นและภาษีเป็น 0.7:1 เท่า เห็นได้ว่ารายได้ในการให้บริการซื้อขายของบริษัทหลักทรัพย์เฉลี่ยต่ำกว่าภาษีธุรกิจเฉพาะ ส่งผลต่อค่าใช้จ่ายของผู้ลงทุนที่สูงเกินเท่าตัวและจะกระทบสภาพคล่อง การตัดสินใจของผู้ลงทุนอย่างมีนัยสำคัญ’ 2.ต้นทุนการระดมทุนของภาคธุรกิจจะยิ่งสูงขึ้นเมื่อสภาพคล่องในตลาดหดตัวจากต้นทุนในการซื้อขายหลักทรัพย์ที่สูงขึ้น 1 เท่าตัว 3.เกิดต้นทุนภาษีซ้ำซ้อนสำหรับธุรกรรมการพัฒนาสินค้าตลาดทุนใหม่ ๆ โดยเฉพาะ ETF, Derivative Warrant และ Single Stock Futures โดยหากมีการจัดเก็บภาษี ควรยกเว้นให้แก่กลุ่มผู้ดูแลสภาพคล่อง และ 4.การประกาศใช้ภาษีขายหุ้น ควรแจ้งล่วงหน้า ในช่วงเวลาและสถานการณ์ที่เหมาะสม เพื่อให้ผู้ลงทุนและผู้ประกอบการมีเวลาเตรียมความพร้อมและปรับตัว

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

7 บริษัทในตลาดหลักทรัพย์ฯ ขอเลื่อน! ให้ข้อมูลปมสแกมเมอร์ กมธ.ปปง.

'ปธ.กมธ. ปปง.' เผย 7 บริษัทเอกชนยื่นขอเลื่อนให้ข้อมูล คาดไม่เกิน 15 วัน เพราะเป็นบริษัทที่น่าเชื่อถือในตลาดหลักทรัพย์ฯ ขณะที่ ก.ล.ต.-ปปง. ร่วมขยายเส้นทางการเงินต่อ

เสาหลักตลาดการเงิน

การขับเคลื่อนเศรษฐกิจต้องอาศัยแหล่งเงินทุน สามเสาหลักของตลาดการเงินไทยประกอบด้วย ระบบธนาคารพาณิชย์ ตลาดหลักทรัพย์ และตลาดตราสารหนี้ ซึ่ง ณ วันที่ 19 กันยายน 2568 มูลค่าคงค้างในระบบธนาคาร ตลาดหุ้น และตลาดตราสารหนี้ คือ 18.4, 15.6, และ 17.7 ล้านล้านบาท ตามลำดับ