
“CIMBT” เคาะจีดีพีไทยปีนี้โต 3.2% ปี 2566 เพิ่มเป็น 3.4% ห่วงเศรษฐกิจโลกถดถอย กระทบส่งออกซึม บาทอ่อนยาวถึงกลางปีหน้า จับตาดอกเบี้ยโลกยังเป็นขาขึ้น หลังธนาคารกลางยังประสานเสียงขยับต่อเนื่อง เบรกเงินเฟ้อร้อนแรง ลุ้นดอกเบี้ยไทยพุ่งแตะ 2% กลางปี 2566
25 ต.ค. 2565 – นายอมรเทพ จาวะลา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสำนักวิจัย และที่ปรึกษาการลงทุน ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย หรือ CIMBTเปิดเผยว่า เศรษฐกิจโลกมีความเสี่ยงเข้าสู่ภาวะถดถอยในปี 2566 โดยเฉพาะสหรัฐและยุโรป หลังธนาคารกลางเร่งขึ้นอัตราดอกเบี้ยแรงต่อเนื่องเพื่อแก้ปัญหาเงินเฟ้อพุ่งสูง แต่อัตราเงินเฟ้อยังไม่มีท่าทีชะลอลง ขณะที่ราคาน้ำมันมีโอกาสปรับขึ้นอีกรอบหลังโอเปกพลัสลดกำลังการผลิตน้ำมันลง 2 ล้านบาร์เรลต่อวัน จนมีนักเศรษฐศาสตร์มองว่า จำเป็นต้องลดอุปสงค์ในประเทศ หรือขึ้นอัตราดอกเบี้ยแรงต่อเนื่อง เพื่อลดการบริโภคและการลงทุน
“ผมมองว่าธนาคารกลางจะยังคงขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่องในปีหน้า ไม่น่าเห็นการปรับมุมมองมาลดดอกเบี้ย หรือ policy pivot อย่างที่นักลงทุนหวังกัน เพราะเงินเฟ้อปีหน้ายังสูงกว่ากรอบนโยบายการเงินที่ 2% แม้จะต้องโดนวิจารณ์จากฝั่งการเมืองที่ได้แรงกดดันจากคนที่ว่างงานและการบริโภคและการลงทุนที่หดตัวก็ตาม แต่ธนาคารกลางทั้งหลายยังไม่น่ายอมถอยจากการขึ้นดอกเบี้ย หรือคงดอกเบี้ยในระดับสูงลากยาว จนกว่าเงินเฟ้อจะยอมลดลงจริง ๆ เสียที ซึ่งน่าจะเห็นได้ในปี 2567 หลังฐานที่ยังสูงในปี 2566 ส่งผลให้อัตราเงินเฟ้อกลับเข้ากรอบได้ในปีถัดไป” นายอมรเทพ กล่าว
สำหรับประเทศไทยนั้น สำนักวิจัย ธนาคาร ซีไอเอ็มบีไทย คาดว่า ในปีนี้เศรษฐกิจไทยจะขยายตัว 3.2% และปี 2566 ที่ 3.4% ขณะที่คาดว่าปี 2565 เศรษฐกิจโลกจะขยายตัวได้ 2.9% และ 1.5% ปีหน้า โดยปีหน้าเศรษฐกิจจีนและญี่ปุ่นยังขยายตัวได้ และน่าประคองเศรษฐกิจประเทศอื่น ๆ ไม่ให้ชะลอลงแรงได้บ้าง ส่วนการที่เศรษฐกิจสหรัฐฯ และยุโรปเข้าสู่ภาวะถดถอยเล็กน้อย ก็มีผลให้เศรษฐกิจไทยเผชิญความท้าทายในปีหน้าในด้านต่าง ๆ ดังนี้
1.การส่งออกติดลบ โดยกำลังซื้อสินค้าอุตสาหกรรมไทยจากสหรัฐฯ และยุโรปมีแนวโน้มชะลอลง โดยเฉพาะกลุ่มยานยนต์และชิ้นส่วนและอุปกรณ์คอมพิวเตอร์และส่วนประกอบ นอกจากอุปสงค์ชะลอ ยังได้รับผลกระทบจากปัญหาขาดแคลนชิ้นส่วนต่อเนื่องจากปีนี้ แต่การส่งออกสินค้ากลุ่มอาหารแปรรูป สินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตรน่าจะขยายตัวได้ต่อเนื่องจากปีนี้
2.กำลังซื้อระดับล่าง เอสเอ็มอี ต่างจังหวัด ภาคเกษตรอ่อนแอ เนื่องจากไทยยังเผชิญปัญหาเงินเฟ้อที่ฉุดกำลังซื้อของครัวเรือนรายได้น้อยลากยาวถึงปีหน้า ประกอบกับปัญหาน้ำท่วมในหลายพื้นที่ ยังกดดันกำลังซื้อต่อเนื่อง โดยเฉพาะในกลุ่มที่มีหนี้สูง
3.ดอกเบี้ยขึ้นต่อเนื่อง จากปัญหาเงินเฟ้อสูงมีแนวโน้มลากยาวไปปีหน้า แม้เงินเฟ้อไทยเดือน ก.ย. อยู่ที่ 6.41% ลดลงจากเดือนก่อนหน้า แต่จะเริ่มเห็นการเพิ่มขึ้นของราคาสินค้าแบบเดือนต่อเดือนต่อเนื่อง หลังมีหลากหลายสินค้าทยอยปรับราคาขึ้นหลังเปิดเมือง แม้ราคาน้ำมันจะปรับลดลง แต่ค่าไฟฟ้า ค่าเช่าบ้าน และราคาอาหารสดปรับสูงขึ้น มองต่อไป เมื่อเศรษฐกิจกำลังฟื้นตัวในช่วงที่เงินเฟ้อเกินกรอบเป้าหมายของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ที่ระดับ 1-3% ทาง ธปท. น่าจะทยอยปรับอัตราดอกเบี้ยขึ้นไปจนถึงระดับ 2.00% เป็นอย่างน้อยภายในช่วงกลางปีหน้า
4.บาทอ่อนค่าถึงกลางปี ลุ้นพลิกมาแข็งค่าครึ่งปีหลัง เนื่องจากส่วนต่างระหว่างดอกเบี้ยสหรัฐที่สูงกว่าไทยมาก น่าจะส่งผลให้เงินทุนเคลื่อนย้ายกลับไปถือสินทรัพย์รูปดอลลาร์สหรัฐ สนับสนุนให้บาทอ่อนค่าต่อเนื่องไปถึงกลางปีหน้า ไทยแม้จะมีรายได้จากการท่องเที่ยว แต่ไม่น่าเพียงพอให้เกินดุลบัญชีเดินสะพัดช่วงครึ่งปีแรก ส่วนช่วงครึ่งปีหลัง จะเห็นดุลบัญชีเดินสะพัดพลิกกลับมาเกินดุลจากรายได้การท่องเที่ยว และจากการคาดหวังว่าเฟดจะเริ่มส่งสัญญาณลดอัตราดอกเบี้ยในปี 2567 สนับสนุนให้นักลงทุนกลับเข้ามาลงทุนสินทรัพย์เสี่ยงได้อีกครั้งและมีโอกาสให้บาทพลิกกลับมาแข็งค่าเทียบดอลลาร์สหรัฐ
5.ท่องเที่ยวระดับบนฟื้นต่อเนื่อง หลังจากเปิดให้มีการเดินทางได้เสรีมากขึ้น โดยเฉพาะในฝั่งเอเชีย อาจเห็นการเติบโตของจำนวนนักท่องเที่ยวต่อเนื่อง คาดว่าจำนวนนักท่องเที่ยวจะมากถึง 20 ล้านคนในปีหน้า เพิ่มขึ้นเท่าตัวจากที่คาดไว้ที่10 ล้านคนปีนี้ 6. กำลังซื้อระดับบน ธุรกิจขนาดใหญ่ ภาคบริการในเมืองแข็งแกร่ง จากเศรษฐกิจไทยเติบโตได้ดีขึ้นหลังเปิดเมืองช่วงกลางปีที่ผ่านมา สนับสนุนกิจกรรมเศรษฐกิจให้ขยายตัวต่อเนื่อง เพียงแต่การฟื้นตัวรอบนี้ยังขาดการกระจายตัว
นายอมรเทพ กล่าวว่า ในภาวะเศรษฐกิจโลกที่เติบโตช้าและมีความเสี่ยงสารพัด ธุรกิจขนาดเล็กควรมองช่องทางตุนสภาพคล่องไว้ใช้ยามจำเป็น มีเงินทุนหมุนเวียนได้ระยะหนึ่งหากขาดรายได้ช่วงเศรษฐกิจย่ำแย่ การมีกระแสเงินสดที่ดีจะช่วยให้กิจการฟื้นกลับมาได้เร็วเมื่อกำลังซื้อของคนดีขึ้น และไม่ต้องปิดกิจการไปเสียก่อน และไม่ควรสต๊อกสินค้ามากเกินไป แม้สต๊อกสินค้าตอนนี้อาจจะช่วยลดภาระต้นทุนสูงในอนาคต แต่จากความผันผวนด้านวัตถุดิบ และการลดรายจ่าย เสริมกระแสเงินสด การสต๊อกสินค้าเท่าที่จำเป็นและบริหารต้นทุนเป็นทางเลือกที่ดีช่วงที่ความไม่แน่นอนมีสูง
นอกจากนี้ เอสเอ็มอีควรพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อลดต้นทุน เปิดโอกาสขยายตลาดออนไลน์ และหาพันธมิตรกับธุรกิจขนาดใหญ่เพื่อเกาะกลุ่มลูกค้าที่เติบโตได้ดี ส่วนประชาชนทั่วไป มีความไม่แน่นอนทางรายได้ มีผลต่อความเชื่อมั่น คนลดการใช้จ่ายสินค้าไม่จำเป็น โดยเฉพาะช่วงดอกเบี้ยขาขึ้นส่งผลต่อต้นทุนการกู้ยืมเงิน แต่หากคนกู้อยู่ในกลุ่มที่เศรษฐกิจเติบโตได้ในปีหน้า สามารถกู้ลงทุนในตลาดอสังหาริมทรัพย์ทำเลที่ดีได้ เพราะราคายังไม่ปรับขึ้นมาก ส่วนการกู้ซื้อรถยนต์อาจมองหารถยนต์มือสองสภาพดีราคาถูก เป็นทางเลือกที่ดีในภาวะที่มีความไม่แน่นอนสูง
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
มหันตภัยสองเด้งที่กำลังเกิดกับไทย
ประเทศไทยของเราไม่ใช่ต้องประสบกับความอ่อนล้าในการขยายตัวทางเศรษฐกิจต่อเนื่องมานานที่ยังไม่สามารถจับทิศทางแก้ไขได้ จนดูเหมือนเป็นมหันตภัยที่ค่อยคืบคลานเข้ามาให้เห็นชัดเท่านั้น
โถ!'อิ๊งค์' ลั่นไม้เด็ดกระตุ้นเศรษฐกิจ 'เอ็นเตอร์เทนเมนต์ฯ' ดัน GDP ไทย
น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์กรณี ธนาคารโลก และกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMFX) ปรับประมาณการจีดีพีของไทย แผนกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล
ไม่ไหวแล้ว 'เศรษฐา' จ่อเรียกประชุม ครม.เศรษฐกิจ นัดพิเศษ หลังรู้จีดีพีไทยโตต่ำสุดในอาเซียน
“เศรษฐา” เรียกประชุม ครม.เศรษฐกิจ นัดพิเศษ 27 พ.ค.นี้ หลังจีดีพีไทยไตรมาสแรกโตต่ำสุดในอาเซียน
คาดการณ์ค่าเงินบาทยังเคลื่อนไหวในกรอบ 36.95-37.25 บาท/ดอลลาร์
กลุ่มงานตลาดการเงิน ธนาคารไทยพาณิชย์ ประเมินค่าเงินบาทวันนี้เคลื่อนไหวในกรอบ 36.95-37.25 บาท/ดอลลาร์
กรุงไทยหั่นจีดีพีไทยปี 66 เหลือ 3% หลังส่งออกทรุด-เบิกจ่ายล่าช้า
กรุงไทย ปรับลดประมาณการเศรษฐกิจไทยปี 2566 ลงสู่ 3% คาดปี 2567 โต 4.6% เตือนไทยยังเผชิญความไม่แน่นอนสูง จากเศรษฐกิจโลกที่มีแนวโน้มเติบโตในอัตราต่ำ
'แบงก์ชาติ' ยันไม่กำหนดค่าบาทหวั่นป่วนตลาด
"แบงก์ชาติ” ยันไม่กำหนดค่าเงินบาท หวั่นป่วนกลไกตลาด แจงไร้ข้อขัดแย้งรัฐบาล พร้อมทำงานร่วมทำงานเต็มสูบ เตรียมแนะทำดิจิทัลวอลเล็ต


