'CIMBT' ชี้ 6 ปัจจัยเสี่ยงทุบศก.ปีหน้า คาดส่งออกเริ่มแผ่ว

“CIMBT” ชี้ปีหน้าจับตา 6 ปัจจัยเสี่ยงทุบตลาดเงินตลาดทุน-ภาพรวมเศรษฐกิจ พร้อมประเมินจีดีพีไทยปี 2565 โต 3.2% ส่วนปี 2566 โต 3.4% ระบุส่งออกเริ่มแผ่วยาวถึงกลางปีหน้า มอง “ธปท.” เดินหน้าขยับดอกเบี้ยแตะ 2% อัตราเงินเฟ้อไทยยังเสี่ยงยืนเหนือกรอบเป้าหมาย

7 ธ.ค. 2565 – นายอมรเทพ จาวะลา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสำนักวิจัย และที่ปรึกษาการลงทุน ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย (CIMBT) เปิดเผยว่า ในปี 2565 ตลาดเงินตลาดทุนและภาพรวมเศรษฐกิจผ่านสิ่งเลวร้ายและความผันผวนมามาก แต่ปี 2566 ยังน่าห่วงกว่านี้ จากความเสี่ยงในปีนี้ที่อาจรุนแรงขึ้น ได้แก่ 1. ปัญหาการรุกรานของรัสเซียในยูเครนที่ยืดเยื้อ จนกระทบห่วงโซ่อุปทานด้านอาหารสัตว์ ปุ๋ย รวมทั้งสินค้าโภคภัณฑ์อื่นๆ 2. ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ยังขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อเนื่องเพื่อสกัดเงินเฟ้อ จนเศรษฐกิจสหรัฐถดถอยแรงกว่าคาดจีนล็อกดาวน์ในหลายพื้นที่ต่อเนื่องตามมาตรการ Zero-Covid อาจจะส่งผลให้การส่งออกและการผลิตในประเทศต่าง ๆ ได้รับผลกระทบตามมาด้วยเนื่องจากขาดแคลนชิ้นส่วนวัตถุดิบจากจีน 4. วิกฤติหนี้สาธารณะในยุโรปกระทบความเชื่อมั่นในสกุลเงินยูโร ส่งผลให้นักลงทุนลดการถือครองสินทรัพย์เสี่ยงและกลับไปถือสินทรัพย์สกุลดอลลาร์สหรัฐอีกครั้ง 5. วิกฤติตลาดเกิดใหม่ เนื่องจากปีนี้หลายประเทศกำลังเผชิญความเสี่ยงในการผิดนัดชำระหนี้ โดยประเทศเหล่านี้อาจเผชิญปัญหาสภาพคล่อง ต้องขอความช่วยเหลือจากองค์กรระหว่างประเทศ แต่ปัญหานี้ไม่น่ารุนแรงจนลามไปประเทศที่มีเงินสำรองระหว่างประเทศสูงและไม่มีปัญหาด้านความเชื่อมั่น และ 6. โควิดกลายพันธุ์

สำหรับเศรษฐกิจไทยนั้น สำนักวิจัย ธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย คงการคาดการณ์เศรษฐกิจปี 2565 ที่ 3.2% และปี2566 ที่ 3.4% แม้เศรษฐกิจไทยจะขยายตัวดีเกินคาดในช่วงไตรมาส 3/2565แต่การฟื้นตัวหลักมาจากการเปิดเมืองและการเปิดรับการท่องเที่ยวจากต่างชาติที่มากขึ้น กลุ่มธุรกิจที่ได้ประโยชน์ยังกระจุกตัวในกลุ่ม โรงแรม ร้านอาหาร และการขนส่ง ขณะที่การใช้จ่ายในกลุ่มอื่น ๆ ยังขยายตัวไม่โดดเด่น อาจด้วยรายได้คนทั่วไปไม่ได้ปรับขึ้นมาก แต่ราคาสินค้าเพิ่มขึ้นสูงจนคนระมัดระวังการใช้จ่าย

ขณะที่การลงทุนภาคเอกชนก็เป็นตัวสนับสนุนการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ ทั้งการสั่งซื้อเครื่องจักรและวัตถุดิบ รวมทั้งภาคการก่อสร้างอสังหาริมทรัพย์ อย่างไรก็ดี การใช้จ่ายและการลงทุนภาครัฐยังเป็นปัจจัยฉุดรั้งเศรษฐกิจต่อเนื่องในปีนี้

“ภาพการฟื้นตัวในช่วงที่ผ่านมาก็ยังไม่ได้ส่งสัญญาณว่ามาจากอุปสงค์ที่อัดอั้นมานานและพร้อมกระโจนใช้จ่าย หรือ pent-up demand ซึ่งมองต่อไปก็มีโอกาสที่เศรษฐกิจจะขยายตัวในอัตราที่ชะลอลงได้ เราจึงคาดว่า เศรษฐกิจไทยไตรมาส 4/2565 จะขยายตัวได้ 3.7% จากช่วงเดียวกันปีก่อน โดยการส่งออกน่าจะเริ่มชะลอลงอย่างต่อเนื่องไปจนถึงปีหน้าท่ามกลางเศรษฐกิจโลกที่เติบโตช้าลง รวมทั้งการส่งออกของจีนมีแนวโน้มติดลบในปีหน้า ซึ่งโดยรวมจะกระทบการส่งออกของไทยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ โดยเฉพาะกลุ่มยานยนต์และชิ้นส่วน และอิเล็กทรอนิกส์ ขณะที่กลุ่มอาหารแปรรูปและสินค้าเกษตรน่าจะยังพอประคองตัวได้” นายอมรเทพ กล่าว

นายอมรเทพ กล่าวอีกว่า ในช่วงที่เศรษฐกิจไทยกำลังฟื้นตัว อาจเห็นบทบาทการใช้จ่ายและการลงทุนภาครัฐลดลง โดยการใช้จ่ายภาครัฐอาจไม่ขยายตัวจากปีนี้ และน่าจะไม่สามารถคาดหวังโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจขนาดใหญ่ได้มากนัก ด้วยงบประมาณที่จำกัดและนำมาใช้ด้านสวัสดิการคนจนเป็นสำคัญ อีกทั้งหากรัฐบาลใช้เงินมากระตุ้นการใช้จ่ายมากเกินไปก็อาจทำให้อุปสงค์เร่งแรงกว่าการขยายตัวของอุปทาน ความไม่สมดุลนี้จะนำไปสู่ปัญหาเงินเฟ้อพุ่งสูง หรือการขาดความเชื่อมั่นในภาคการคลังในประเทศ ซึ่งรัฐน่าจะประคองการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจและเน้นการกระจายรายได้ให้ทั่วถึงในปีหน้า

สำหรับทิศทางอัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทย มองว่า การขึ้นดอกเบี้ยจะเป็นแบบค่อยเป็นค่อยไป นอกจากนี้ทางสหรัฐกำลังอยู่ช่วงปลายทางของการขึ้นดอกเบี้ยแล้ว และน่าจะขึ้นอัตราดอกเบี้ยไปถึงระดับสูงสุดในช่วงไตรมาส 1-2 ในปีหน้า ดังนั้นทางธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) น่าจะหยุดขึ้นดอกเบี้ยได้ช่วงกลางปี ทำให้ดอกเบี้ยนโยบายของไทยอยู่ที่ระดับ 2% ในช่วงกลางปีหน้า จากระดับ 1.25% ในปลายปีนี้ อย่างไรก็ดี อัตราเงินเฟ้อของไทยยังมีความเสี่ยงที่จะอยู่เหนือกรอบเป้าหมายเงินเฟ้อระดับบนที่3% ซึ่งทาง ธปท. ยังไม่น่าส่งสัญญาณการลดอัตราดอกเบี้ยในช่วงครึ่งหลังปีหน้าได้

อย่างไรก็ดี ในส่วนทิศทางอัตราแลกเปลี่ยน มองว่า เงินบาทมีแนวโน้มผันผวนตามการเคลื่อนไหวของราคาน้ำมันที่ลดลง โดยคาดว่าเงินบาทจะทรงตัวที่ระดับ36.00 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐในช่วงปลายปีนี้ อย่างไรก็ดี ยังมีความกังวลในส่วนต่างระหว่างอัตราดอกเบี้ยของไทยและสหรัฐฯ ที่ยังสูงในช่วงครึ่งแรกปีหน้า ประกอบกับการส่งออกที่ยังมีทิศทางไม่สดใสและรายได้จากการท่องเที่ยวยังไม่กลับมาเต็มที่ ซึ่งน่าจะยังทำให้ไทยขาดดุลบัญชีเดินสะพัดถึงกลางปีหน้า และน่าจะทำให้เงินบาทอ่อนค่าได้ในช่วงเวลาดังกล่าว ก่อนพลิกกลับมาแข็งค่าในช่วงปลายปีตามการฟื้นตัวของรายได้จากการท่องเที่ยว และการเกินดุลบัญชีเดินสะพัดของไทย โดยมองเงินบาทที่ระดับ 34.50 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐในปลายปี2566

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง