
“หอการค้า” หวังเจรจา FTA ไทย-อียู ฉลุย ช่วยหนุนการค้า-การลงทุน บูมตลาดส่งออก ชูสินค้าเกษตร-อาหารรับอานิสงส์เต็มสูบ ดันส่งออกโตปีละ 2.16 แสนล้านบาท กระตุ้นจีดีพีขยายตัวระยะยาว 1.28%
26 ม.ค. 2566 – นายพจน์ อร่ามวัฒนานนท์ รองประธานกรรมการหอการค้าไทย และประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์การค้าและการลงทุน สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า ตามที่นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.พาณิชย์ ได้นำคณะเดินทางเยือนประเทศเบลเยียม เพื่อประชุมทวิภาคีกับสหภาพยุโรป ในการรื้อฟื้นการเจรจาความตกลงการค้าเสรี (Free Trade Agreement: FTA) ไทย-อียู (สหภาพยุโรป) สภาหอการค้าเห็นว่า การเจรจาดังกล่าวมีความสำคัญมาก หากประสบความสำเร็จจะทำให้เกิดประโยชน์กับทั้ง 2 ฝ่าย
ดังนี้ 1. หลังจากที่ประเทศไทยถูกตัดสิทธิ GSP ตั้งแต่ปี 2558 ทำให้การค้า การลงทุนของไทยในอียูเติบโตไม่มากนัก เนื่องจากสูญเสียความสามารถในการแข่งขันทางการค้า ซึ่งหากการเจรจาครั้งนี้บรรลุข้อตกลง และประสบความสำเร็จ จะทำให้การค้า การลงทุนของทั้ง 2 ประเทศขยายตัวอย่างมาก2. สินค้าส่งออกของไทยมีโอกาสขยายตลาดการส่งออกไปยังตลาดอียูมากขึ้น อาทิ สินค้าเกษตรและอาหารซึ่งเป็นธุรกิจหลักของไทย หรือ “ครัวของโลก” ยานยนต์และชิ้นส่วน เครื่องนุ่มห่มและสิ่งทอ เคมีภัณฑ์ พลาสติก
3.นักลงทุนไทยมีโอกาสเข้าไปลงทุนในอียูมากขึ้น อาทิ อุตสาหกรรมปิโตรเคมี ค้าปลีก เกษตรและอาหาร ในขณะเดียวกัน สามารถดึงดูดนักลงทุนอียูเข้ามาลงทุนในไทยได้มากขึ้น อาทิ การขนส่งทางทะเล การเงิน การประกันภัย ธุรกิจพลังงานสะอาด การศึกษา และการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ และ 4. ในด้านจีดีพีของไทย หากการเจรจา FTA ไทย-อียู ประสบความสำเร็จ คาดว่าจะขยายตัวในระยะยาว 1.28% คิดเป็นมูลค่า 2.05 แสนล้านบาทต่อปี การส่งออกของไทยไปอียู เพิ่มขึ้น 2.83% หรือ 2.16 แสนล้านบาทต่อปี และการนำเข้าจากอียูเพิ่มขึ้น 2.81% หรือ 2.09 แสนล้านบาทต่อปี
นายชนินทร์ ชลิศราพงศ์ ประธานคณะกรรมการเจรจาความตกลงการค้าระหว่างประเทศ สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กล่าวว่า หวังเป็นอย่างยิ่ง ที่จะให้การเจรจาประสบความสำเร็จ ซึ่งจะช่วยให้ไทยสามารถรักษาส่วนแบ่งตลาดในสหภาพยุโรป ส่งเสริมเทคโนโลยีและ know-how ต่างๆ ทำให้การค้าและการลงทุน ของทั้ง 2 ฝ่ายขยายตัวมากยิ่งขึ้น


