โฮมโปร อวดกำไรสุทธิ 6,217.09 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 14.27%

25 ก.พ. 2566 – นายวีรพันธ์ อังสุมาลี กรรมการผู้จัดการ บริษัท โฮม โปรดักส์ เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ HMPRO เปิดเผยถึงผลการดำเนินงานของบริษัทฯ และบริษัทย่อย ประจำปี 2565 ว่า บริษัทฯ มีรายได้รวม 69,389.43 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5,463.64 ล้านบาท หรือ 8.55% โดยมีกำไรสุทธิ 6,217.09 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 776.57 ล้านบาท หรือ 14.27% ซึ่งประกอบไปด้วยรายได้จากการขายสินค้า และรายได้จากการให้บริการลูกค้า (Home Service) รวมจำนวน 65,090.88 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4,522.97 ล้านบาท หรือ 7.47% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน ซึ่งการปรับตัวเพิ่มขึ้นเป็นผลมาจากการกลับมาเปิดให้บริการทุกสาขา เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน และยังได้รับอานิสงค์จากการฟื้นตัวของการบริโภคในประเทศ และการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยว โดยเฉพาะในพื้นที่ภาคใต้

นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังมีการผลักดันยอดขายตลอดทั้งปี โดยมีการจัดงาน HomePro Super Expo ที่โฮมโปรทุกสาขาทั่วประเทศ และทางออนไลน์ รวมถึงงาน HomePro Expo และ HomePro Electric Expo ที่อิมแพ็ค เมืองทองธานี HomePro Living Expo ที่ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ และกิจกรรม Double Day ในช่องทางออนไลน์ เพื่อสร้างความสะดวกในการเลือกซื้อสินค้าให้กับลูกค้าจากช่องทางการซื้อสินค้าและบริการที่หลากหลายขึ้น

 ทั้งนี้ โฮมโปร ยังมีรายได้จากค่าเช่า 1,720.58 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 497.43 ล้านบาท หรือ 40.67% และมีรายได้อื่น จำนวน 2,577.96 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 443.24 ล้านบาท หรือ 20.76% โดยเป็นผลมาจากการเพิ่มจำนวนการจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายร่วมกับคู่ค้าทั้งในช่องทางสาขา ช่องทางออนไลน์ และ โฮมโปร มีกำไรขั้นต้นจากการขายสินค้า และการให้บริการลูกค้า (Home Service) รวมจำนวน 17,013.19 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1,370.65 ล้านบาท หรือ 8.76% รวมถึงอัตรากำไรขั้นต้นต่อยอดขายก็เพิ่มขึ้นจาก 25.83% ในปีก่อน มาอยู่ที่ 26.14%  ซึ่งเป็นผลมาจากการเปลี่ยนแปลงส่วนผสมของกลุ่มสินค้าที่มีอัตรากำไรสูง รวมถึงรายได้จากการบริการที่เพิ่มขึ้น แม้ต้นทุนค่าขนส่งในการกระจายสินค้าสู่สาขาจะปรับตัวสูงขึ้นจากราคาน้ำมันก็ตาม

นายวีรพันธ์ ยังกล่าวต่อไปว่า ในปี 2565 ที่ผ่านมา สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด19 เริ่มคลี่คลายลง ส่งผลให้ทางภาครัฐ มีการผ่อนคลายมาตรการโควิดต่างๆ เพื่อขับเคลื่อนและฟื้นฟูเศรษฐกิจไทยให้กลับมาเติบโตอีกครั้ง โดยเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มขยายตัวอย่างต่อเนื่อง จากการเริ่มฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยวและภาคการบริโภค ซึ่งได้รับอิทธิพลจากปัจจัยบวกในด้านต่างๆ อาทิ การเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาในประเทศ และการออกมาตรการกระตุ้นการจับจ่ายใช้สอยของประชาชนในประเทศจากทางรัฐบาล ได้แก่ โครงการช้อปดีมีคืน โครงการเราเที่ยวด้วยกัน และโครงการคนละครึ่ง เป็นต้น

อย่างไรก็ตาม มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต่างๆ ของทางภาครัฐ สามารถช่วยบรรเทาผลกระทบในเรื่องของเงินเฟ้อได้ส่วนหนึ่ง อีกทั้งบริษัทฯ ยังคงมองเห็นโอกาสในการเติบโตของธุรกิจ จากการเริ่มฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย โดยบริษัทฯ มุ่งยกระดับการนำเสนอสินค้าและบริการให้ตรงกับความต้องการของลูกค้ามากยิ่งขึ้น รวมถึงเร่งขยายสาขาเพื่อเพิ่มอัตราการขยายตัวของรายได้และกำไร ควบคู่ไปกับการวางแผนธุรกิจและกลยุทธ์ที่รัดกุมเพื่อรองรับความกดดันและความเสี่ยงต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้น

นายวีรพันธ์ กล่าวถึงการเพิ่มประสิทธิภาพการสร้างรายได้ของบริษัทฯ ว่า บริษัทฯ มองเห็นโอกาสทางธุรกิจจากการเติบโตอย่างต่อเนื่องของตลาดการซื้อขายสินค้าออนไลน์ จึงได้มีการขยายช่องทางการจำหน่ายสินค้าไปยัง Marketplace ต่างๆ อาทิ Shopee และ Lazada  นอกเหนือจากการนำเสนอสินค้าและบริการบนเว็บไซต์ของบริษัทฯและแอปพลิเคชัน HomePro Application, Home Service Application และ HomeCard Application เพื่อตอบสนองต่อกลุ่มลูกค้าเป้าหมายใหม่ที่เพิ่มมากขึ้น รวมถึงในปี 2565 ที่ผ่านมา บริษัทฯได้มีการร่วมลงทุน โดยเข้าซื้อหุ้นจำนวน 30% กับทาง Onestockhome  ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มซื้อขายสินค้าวัสดุก่อสร้างออนไลน์ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเพิ่มโอกาสในการกระจายสินค้าและสร้างรายได้ให้กับธุรกิจเมกาโฮม

ในส่วนของการพัฒนาสินค้า และบริการเพื่อรองรับพฤติกรรมการใช้ชีวิตที่เปลี่ยนแปลงไป บริษัทฯ ให้ความสำคัญถึงความเข้าใจในเชิงลึกของพฤติกรรมการใช้ชีวิตที่เปลี่ยนแปลงไปของลูกค้า เพื่อนำเสนอสินค้าและบริการที่ตอบโจทย์ทุกการใช้ชีวิตและสอดคล้องกับความต้องการของลูกค้าได้ดียิ่งขึ้น โดยมีการพัฒนากลุ่มสินค้าใหม่ อาทิ สินค้าที่เกี่ยวข้องกับสัตว์เลี้ยง จากการศึกษาพฤติกรรมและความนิยมเป็นเจ้าของสัตว์เลี้ยงของกลุ่มคนปัจจุบันที่เพิ่มมากขึ้น รวมถึงพัฒนากลุ่มสินค้าที่สามารถช่วยประหยัดพลังงานและค่าใช้จ่าย เช่น แผงโซล่าเซลล์ (Solar Panel) ตลอดจนมีการพัฒนาสินค้าและบริการร่วมกับคู่ค้า โดยให้ความสำคัญในเรื่องความยั่งยืนของสิ่งแวดล้อมและสังคม จากความสนใจและความตระหนักที่เพิ่มมากขึ้นในประเด็นนี้ของกลุ่มผู้บริโภค อีกทั้งยังมีการให้ความสำคัญในด้านการวิเคราะห์ข้อมูลลูกค้า ทั้งจากข้อมูลภายในและภายนอก เพื่อต่อยอดการพัฒนาออกแบบสินค้าและบริการ ให้ครอบคลุมทุกวัตถุประสงค์และการใช้งานของลูกค้าปัจจุบัน รวมถึงสามารถตอบสนองกลุ่มลูกค้าเป้าหมายใหม่ๆ อาทิ กลุ่มผู้บริโภคเจเนอเรชั่น Y และ กลุ่มลูกค้าธุรกิจ (Business-to-Business: B2B) อีกด้วย   

สำหรับการขยายสาขาในปี 2565 บริษัทฯ เร่งเดินหน้าขยายสาขาทั้งโฮมโปรและเมกาโฮม จากการมองเห็นโอกาสเติบโตทางธุรกิจ โดยเปิดสาขาโฮมโปรใหม่  2 สาขา ที่ ฟิวเจอร์พาร์ครังสิต ทดแทนสาขารังสิตเดิม และ เปิดสาขาลาดกระบัง ทดแทนโฮมโปรเอส สาขาเดอะพาซิโอ ลาดกระบังเดิม โดยเป็นการย้ายสถานที่จากสาขาเดิมมาเปิดในบริเวณใกล้เคียงที่มีพื้นที่ใหญ่ขึ้น รวมถึงบริษัทฯ มีการปิดสาขาโฮมโปร 1 สาขา ที่ เดอะมอลล์บางแค เนื่องจากสัญญาเช่าหมดอายุลง และบริษัทฯ มีแผนที่จะเปิดสาขาใหม่ในบริเวณใกล้เคียงกัน อีกทั้งบริษัทฯ ยังมีการเปิดสาขาเมกาโฮมใหม่ 4 สาขา ที่ พัทยา ฉะเชิงเทรา สุราษฎร์ธานี และ ขอนแก่น ซึ่ง ณ สิ้นปี 2565 บริษัทฯ มีโฮมโปร 87 สาขา โฮมโปรเอส 5 สาขา เมกาโฮม 18 สาขา โฮมโปรในประเทศมาเลเซียอีก 7 สาขา และโฮมโปรในประเทศเวียดนามที่ยังจำหน่ายสินค้าผ่านช่องทาง E-marketplace เป็นหลัก

เพิ่มเพื่อน