นายกฯ ผลักดันตลาดท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ ขับเคลื่อน Wellness Center

นายกฯ ส่งเสริมการขับเคลื่อน Wellness Center สร้างความเชื่อมั่น มาตรฐานรองรับนักท่องเที่ยว ผลักดันตลาดท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ บริการทางการแพทย์ของไทยสู่ระดับโลก

21 พ.ค. 2566 – นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม สนับสนุนโครงการ “ส่งเสริมรูปแบบการท่องเที่ยวศักยภาพสูงที่หลากหลายและโดดเด่น” เดินหน้าขับเคลื่อนศูนย์เวลเนส (Wellness Center) ทั่วประเทศ เพื่อยกระดับมาตรฐานการบริการ และสร้างความมั่นใจแก่นักท่องเที่ยว พร้อมผลักดันบริการทางการแพทย์ของประเทศไทย ให้เป็นที่ยอมรับระดับโลก

โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า จากเอกสาร The Global Wellness Economy : Thailand September 2022 ได้จัดให้ประเทศไทยมีศักยภาพในการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพที่ควรได้รับการส่งเสริมและพัฒนา เนื่องจากประเทศไทยเป็นจุดมุ่งหมายปลายทางของการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ (Wellness Tourism) ที่สร้างรายได้เข้าประเทศมากเป็นอันดับที่ 15 ของโลก คิดเป็นมูลค่าประมาณ 4.7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐอเมริกาในปี 2563 โดยมีนักท่องเที่ยวเดินทางมาท่องเที่ยว ประมาณปีละ 6.5 ล้านครั้ง (Wellness Trips) และมีการจ้างงานในอุตสาหกรรมท่องเที่ยว 5.3 แสนคน ซึ่งสอดรับกับการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ หรือ Medical Tourism ที่ในปี พ.ศ. 2566 มีทิศทางการให้บริการทางการแพทย์ และธุรกิจเกี่ยวกับการดูแลรักษาสุขภาพที่เติบโตมากขึ้น

ดังนั้น กรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก กระทรวงสาธารณสุข จึงร่วมมือกับสำนักงานสาธารณสุขจังหวัด และผู้ประกอบการ รวมถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ดำเนินการเดินหน้าโครงการ ส่งเสริมรูปแบบการท่องเที่ยวศักยภาพสูงที่หลากหลายและโดดเด่น มุ่งหวังให้มีศูนย์เวลเนส (Wellness Center) ทั่วประเทศ ซึ่งได้มีการประชาสัมพันธ์ให้สถานประกอบการ และแหล่งท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ เข้ารับการประเมินเป็นศูนย์เวลเนส เพื่อยกระดับมาตรฐานการบริการ และสร้างความมั่นใจแก่นักท่องเที่ยวอย่างต่อเนื่อง โดยขณะนี้มีผู้ประกอบการที่ผ่านการประเมินและได้รับการรับรองเป็นศูนย์เวลเนส รวมทั้งสิ้น 87 แห่ง (ข้อมูล ณ วันที่ 24 เมษายน 2566) ประกอบด้วย 1. ศูนย์เวลเนส ประเภทที่พักนักท่องเที่ยว จำนวน 29 แห่ง 2. ศูนย์เวลเนส ประเภทภัตตาคาร จำนวน 15 แห่ง 3. ศูนย์เวลเนส ประเภทนวดเพื่อสุขภาพ จำนวน 8 แห่ง 4. ศูนย์เวลเนส ประเภทสปาเพื่อสุขภาพ จำนวน 14 แห่ง 5. ศูนย์เวลเนส ประเภทสถานพยาบาล จำนวน 21 แห่ง

ทั้งนี้ สำหรับสถานประกอบการ ทั้ง 5 ประเภท ที่มีความประสงค์จะขอรับรองเป็นศูนย์เวลเนส (Wellness Center) สามารถดำเนินการได้ ดังนี้ 1. เขตพื้นที่ภูมิภาค ติดต่อที่ สำนักงานสาธารณสุขจังหวัด ในจังหวัดที่อาศัยอยู่ 2. เขตพื้นที่กรุงเทพมหานคร ติดต่อที่ กรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก หรือ ต้องการศึกษาข้อมูลเกณฑ์การประเมินศูนย์เวลเนส สามารถเข้าไปได้ที่ช่องทาง https://thaicam.go.th/wellness-center/ หรือ หากมีข้อสงสัย ติดต่อสอบถามได้ที่ กองการแพทย์ทางเลือก กรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก กระทรวงสาธารณสุข โทร. 0 2591 7007 ต่อ 2603

“นายกรัฐมนตรีเชื่อมั่นว่านักท่องเที่ยวจะได้รับการบริการที่มีมาตรฐานและความปลอดภัย เป็นไปตามมาตรฐานสากล เป็นอีกช่องทางสร้างรายได้เข้าประเทศ ตลอดจนเป็นแนวทางที่จะสนับสนุนให้ตลาดการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพของประเทศไทยเป็นที่ยอมรับในระดับโลกต่อไป” นายอนุชากล่าว

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

‘อนุชา’ กราบลา ‘บิ๊กตู่’ ไปทำหน้าที่ ส.ส. ‘นายกฯ’ อวยพรทำเต็มที่เพื่อชาติ

‘อนุชา’ กราบลา ‘บิ๊กตู่’ ไปทำหน้าที่ ส.ส.เตรียมโหวตนายกฯ 13 ก.ค. เผย ‘ประยุทธ์’ อวยพรให้ทำงานเต็มความสามารถเพื่อประโยชน์ชาติ

นายกฯ ยินดีเลือกประธาน-รองปธ.สภาฯ เรียบร้อยตามกระบวนการประชาธิปไตย

นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม แสดงความยินดีที่การประชุมสภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ 26

ปลื้ม 'ปลานึ่งต้มยำแบบไทย' ถูกเลือกเป็นเมนูอาหารที่ใช้เสิร์ฟในกีฬาเอเชียนเกมส์

นายกฯ ปลื้ม “ปลานึ่งต้มยำแบบไทย” ได้รับเลือกเป็น 1 ในเมนูอาหารที่ใช้เสิร์ฟในการแข่งขันกีฬาเอเชียนเกมส์ ครั้งที่ 19

นายกฯ ปลื้ม Ericsson ยกไทยเป็นตลาดผู้นำด้าน 5G ในภูมิภาค

นายกฯ ยินดี Ericsson ยกไทยเป็นตลาดผู้นำด้าน 5G ในภูมิภาค รายงานระบุ มีความพร้อมของบริการ 5G ครอบคลุมประชากรกว่า 80% และมีแนวโน้มเติบโตอย่างแข็งแกร่ง สะท้อนผลสำเร็จตามนโยบายรัฐบาล

อย่าเชื่อเฟกนิวส์! การันตี 'สะพานไทย-เบลเยียม' แข็งแรงดี

นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยถึงกรณีมีการเผยแพร่ข้อมูลและข่าวทางโซเชียลมีเดีย