'KBANK' เคาะจีดีพีไทยปีนี้โต 3.7% ชี้การเมืองรบกวนช่วงสั้น

“KBANK” เคาะจีดีพีไทยปี 2566 โต 3.7% ชูท่องเที่ยวพระเอกเด่น ส่งออกยังสาหัส คาดติดลบ 1.2% มองการเมืองแค่คลื่นรบกวนเศรษฐกิจระยะสั้น ประเมิน กนง. เตรียมขยับดอกเบี้ยแตะ 2.00% พร้อมจับตานโยบายขึ้นค่าแรง

25 พ.ค. 2566 – นายกอบสิทธิ์ ศิลปชัย ผู้บริหารงานวิจัยเศรษฐกิจและตลาดทุน ธนาคารกสิกรไทย (KBANK) กล่าวว่า ประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจไทยในปี 2566 จะขยายตัวที่3.7% โดยภาคการท่องเที่ยวจะยังเป็นตัวขับเคลื่อนหลักของเศรษฐกิจไทย ซึ่งคาดว่าทั้งปีจะมีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติ 28.5 ล้านคน ส่วนการส่งออกคาดว่าจะหดตัว -1.2% การนำเข้าหดตัว -2.4% ส่วนดุลบัญชีเดินสะพัดกลับมาเกินดุลที่ 6 พันล้านดอลลาร์ ขณะที่การลงทุนภาครัฐ และการลงทุนภาคเอกชนอาจจะยังขยายตัวได้ไม่มากนัก โดยเฉพาะการลงทุนของภาคเอกชนที่เป็นการลงทุนเพียงแค่การชดเชยค่าเสื่อม ทำให้กำลังการผลิตทรงตัวอยู่กับที่ ส่งผลให้การเติบโตทางเศรษฐกิจไทยยังมีข้อจำกัด ส่วนอัตราเงินเฟ้อทั่วไป คาดว่าจะอยู่ที่ 2.8%

ทั้งนี้ มองว่า เศรษฐกิจไทยยังฟื้นตัวได้ไม่เท่ากับช่วงก่อนโควิด-19 และคาดว่าต้องใช้เวลาอีกพักใหญ่ ตอนนี้ภาพรวมเศรษฐกิจยังโตต่ำกว่าระดับศักยภาพที่ 5% แต่เชื่อว่าแนวโน้มเศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งปีหลัง ยังคงเติบโตได้ต่อเนื่องเมื่อเทียบรายไตรมาส

“โอกาสที่เศรษฐกิจไทยจะเติบโตได้สูงหรือต่ำกว่า 3.7% นั้นขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย โดยหลักใหญ่ของเศรษฐกิจไทยขณะนี้ คือพึ่งพาการท่องเที่ยวเป็นหลัก ส่วนสถานการณ์ทางการเมือง ไม่ว่าจะเป็นการจัดตั้งรัฐบาล หรือความล่าช้าในการจัดตั้งรัฐบาล คงไม่ใช่ปัจจัยหลักที่จะมีผลต่อเศรษฐกิจไทย เพียงแต่อาจเป็นคลื่นรบกวนในช่วงสั้น ๆ เท่านั้น เว้นแต่จะมีสถานการณ์ทางการเมืองที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงสำคัญซ้ำรอยประวัติศาสตร์ มีการออกมาชุมนุมประท้วงใหญ่ กระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุน และกระทบความปลอดภัยของนักท่องเที่ยวในการเดินทางมาประเทศไทย แต่มองว่ามีโอกาสน้อยที่จะเกิดขึ้น” นายกอบสิทธิ์ กล่าว

ทั้งนี้ มองว่าสิ่งที่ควรกังวลมากกว่า คือตัวแปรใหม่ ๆ ที่จะเป็นอุปสรรคต่อการท่องเที่ยว ซึ่งจะส่งผลต่อเนื่องมาถึงภาพรวมการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศ รวมทั้งต้องติดตามว่าเมื่อมีรัฐบาลใหม่แล้ว จะสามารถผลักดันหลายเรื่องให้เกิดการเปลี่ยนแปลงได้มากน้อยเพียงใด ซึ่งหากในมุมมองของต่างชาติเห็นว่ามีความเป็นประชาธิปไตยมากขึ้น ก็จะเป็นมุมมองในเชิงบวกต่อภาพลักษณ์ของประเทศ และเป็นอานิสงส์ต่อเศรษฐกิจไทยในปี 2567

นายกอบสิทธิ์ กล่าวอีกว่า ประเมินว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ณ สิ้นปี 2566 คาดว่าจะไปแตะที่ระดับ 2.00% ซึ่งถือว่าเป็นระดับที่เหมาะสมกับเศรษฐกิจ โดยในการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) วันที่ 31 พ.ค.นี้ มีโอกาสที่ กนง.จะปรับขึ้นดอกเบี้ยอีก 0.25% แต่ก็ยังมีความเสี่ยงที่ กนง.จะปรับขึ้นดอกเบี้ยได้มากกว่าที่คาดการณ์ไว้ เนื่องจากก่อนหน้านี้ กนง. เคยออกมาระบุว่ายังมีโอกาสที่อัตราเงินเฟ้อจะมีแนวโน้มสูงขึ้น จากผลของต้นทุนสินค้าที่ผู้ประกอบการยังส่งผ่านมาถึงผู้บริโภคไม่เต็มที่ในช่วงปีที่ผ่านมา ซึ่งอาจจะเห็นการทยอยส่งผ่านต้นทุนมาที่ราคาสินค้าเพิ่มขึ้นในปีนี้ และมีผลให้เงินเฟ้อปรับสูงขึ้น

ส่วนนโยบายการปรับขึ้นค่าแรงที่พรรคร่วมรัฐบาลใช้เป็นนโยบายการหาเสียงนั้น คงต้องติดตามว่าเมื่อเป็นรัฐบาลจะสามารถทำได้จริงหรือไม่ เนื่องจากการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ จะต้องได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการไตรภาคี และต้องไม่ลืมว่าการปรับขึ้นค่าแรง จะมีผลอื่น ๆ ตามมา เช่น การปรับลดคนงาน การเลิกจ้าง การปรับขึ้นราคาสินค้า และการสูงขึ้นของเงินเฟ้อ

เพิ่มเพื่อน