
10 ส.ค.2566 – นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อํานวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) เปิดเผยว่า สนค. ดำเนินการศึกษา “แนวทางพัฒนาศักยภาพการค้าสินค้าเกษตรมูลค่าสูง กรณีศึกษา กาแฟพิเศษ” โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษารวบรวมข้อมูล ปัญหาและอุปสรรคของเกษตรกร และผู้ประกอบการ และนำมาจัดทำข้อเสนอแนะเชิงนโยบายด้านการค้าสินค้ากาแฟและกาแฟพิเศษ เพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐและภาคเอกชน นำไปใช้ประโยชน์ในการส่งเสริมการค้าสินค้าเกษตรมูลค่าสูงตลอดห่วงโซ่คุณค่า ตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ รวมถึงเป็นการเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันให้กับสินค้าเกษตรไทย
กาแฟพิเศษ (Specialty Coffee) เป็นกาแฟที่ผ่านกระบวนการผลิตที่มีคุณภาพ ตั้งแต่การเพาะปลูก การคัดสรรเมล็ดกาแฟ จนถึงการแปรรูป เพื่อให้ได้กาแฟที่มีคุณภาพสูงและรสชาติดี อีกทั้งช่วยเพิ่มมูลค่ากาแฟพิเศษให้มีราคาสูงกว่ากาแฟทั่วไป โดยนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยเอมอรี่ (Emory university) สหรัฐอเมริกา ได้ศึกษาราคากาแฟพิเศษคั่วแล้ว มีราคาเฉลี่ย ณ สิ้นสุด ไตรมาสที่ 3 ของปี 2564 ที่ 28.64 เหรียญสหรัฐต่อปอนด์ โดยมีราคาต่ำสุดที่ 18.28 เหรียญสหรัฐต่อปอนด์ และราคาสูงสุดที่ 38.99 เหรียญสหรัฐต่อปอนด์ ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบกับราคากาแฟคั่วเฉลี่ยของสหรัฐฯ ในปี 2563 (อ้างอิงข้อมูลจากองค์การกาแฟนานาชาติ (International Coffee Organization: ICO) อยู่ที่ 4.14 เหรียญสหรัฐต่อปอนด์ จะเห็นได้ว่า ราคากาแฟพิเศษคั่วเฉลี่ยสูงกว่าราคากาแฟทั่วไปคั่วเฉลี่ยถึงกว่า 5.9 เท่า แม้ว่าในปัจจุบัน ตลาดกาแฟพิเศษยังเป็นตลาดเฉพาะกลุ่ม (Niche Market) แต่ก็ถือเป็นทางเลือกในการสร้างความแตกต่างให้กับสินค้าเกษตร และเป็นการช่วยเพิ่มมูลค่าให้สินค้ากาแฟของเกษตรกรไทย รวมทั้งกาแฟเป็นสินค้าที่ผู้บริโภคมีความต้องการสูง และตลาดสินค้ากาแฟมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง
ผลการศึกษาฯ ชี้โอกาสและข้อเสนอแนะ 8 ประการ ในการดึงศักยภาพกาแฟไทย ดังนี้ (1) อบรมให้ความรู้เกษตรกร เพื่อเพิ่มผลผลิตและพัฒนาคุณภาพการผลิตเมล็ดกาแฟ รวมทั้งการทำการเกษตรที่ยั่งยืนโดยคำนึงถึงสิ่งแวดล้อม (2) พัฒนาระบบการให้การรับรองคุณภาพกาแฟ เพื่อช่วยปรับปรุงคุณภาพกาแฟไทย โดยการรับรองว่าเป็นไปตามมาตรฐาน (อาทิ มาตรฐานกาแฟ โดยสมาคมกาแฟพิเศษ (Specialty Coffee Association) (3) วิจัยและพัฒนาสายพันธุ์กาแฟใหม่ ๆที่เหมาะสมกับพื้นที่ รวมทั้งพัฒนาเทคนิคและเทคโนโลยีการแปรรูป (4) ปรับใช้แนวคิด BCG Model ในอุตสาหกรรมกาแฟ เช่น พัฒนาบรรจุภัณฑ์ที่ยั่งยืน การเกษตรแบบลดคาร์บอน และห่วงโซ่อุปทานแบบหมุนเวียน (Circular Supply Chain)
(5) ส่งเสริมการสร้างแบรนด์กาแฟไทยให้เป็นที่รู้จัก (6) ควรตั้งศูนย์กลางในการแปรรูปและการกระจายกาแฟในแต่ละพื้นที่ ซึ่งจะช่วยส่งเสริมความร่วมมือระหว่างเกษตรกรผู้ปลูกกาแฟ (7) นำเทคโนโลยีมาใช้ในการพัฒนาคุณภาพการผลิตกาแฟ เช่น ใช้เทคโนโลยีเพื่อลดต้นทุน ปรับปรุงการผลิตเพื่อผลิตกาแฟคุณภาพสูง ใช้แพลตฟอร์มดิจิทัลตรวจสอบการปลูกกาแฟ เป็นต้น และ (8) ส่งเสริมสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์สำหรับกาแฟไทย เพื่อรักษาเอกลักษณ์เฉพาะตัวของกาแฟแต่ละพื้นที่ และช่วยเพิ่มขีดความสามารถทางการตลาด ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อเกษตรกรและผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมกาแฟ รวมถึงเศรษฐกิจของประเทศ
ข้อมูลสถานการณ์การผลิตและการค้ากาแฟของโลก กระทรวงเกษตรสหรัฐอเมริกา (USDA) รายงานว่า ปีการผลิต 2565/66 โลกมีผลผลิตรวม 10.20 ล้านตัน (เป็นพันธุ์อาราบิก้า และโรบัสต้า 5.41 และ 4.79 ล้านตัน ตามลำดับ) และในปีการผลิต 2566/67 (คาดการณ์ ณ มิถุนายน 2566) จะมีผลผลิตรวม 10.46 ล้านตัน (เพิ่มขึ้น 2.5% เทียบกับปีก่อน) (เป็นพันธุ์อาราบิก้า และโรบัสต้า 5.78 และ4.68 ล้านตัน ตามลำดับ) ผู้ผลิตกาแฟสำคัญของโลก ได้แก่ เวียดนาม บราซิล และอินโดนีเซีย สำหรับความต้องการใช้ ในปีการผลิต 2565/66 และ 2566/67 โลกมีความต้องการเมล็ดกาแฟ 10.10 และ 10.21 ล้านตัน ตามลำดับ ประเทศที่มีความต้องการมากที่สุด คือ สหภาพยุโรป รองลงมา ได้แก่ สหรัฐฯ บราซิล ญี่ปุ่น และฟิลิปปินส์
สถานการณ์การผลิตและการค้ากาแฟของไทย ในปี 2565 มีผลผลิตกาแฟ 18,689 ตัน (เป็นพันธุ์อาราบิก้า 9,135 และโรบัสต้า 9,554 ตัน ตามลำดับ) มีการส่งออกกาแฟและผลิตภัณฑ์ เป็นมูลค่า 109.17 ล้านเหรียญสหรัฐ ขยายตัว 5.1% จากปีก่อนหน้า แบ่งเป็น (1) เมล็ดกาแฟ (พิกัดศุลกากร 0901) 631.6 ตัน เป็นมูลค่า 3.85 ล้านเหรียญสหรัฐ (135.38 ล้านบาท) และ (2) กาแฟสำเร็จรูป (พิกัด 210111 และ 210112) 23,347 ตัน เป็นมูลค่า 105.32 ล้านเหรียญสหรัฐ (3,655.21 ล้านบาท) ตลาดส่งออกเมล็ดกาแฟที่สำคัญของไทย ได้แก่ (1) ญี่ปุ่น (21.8% ของมูลค่าการส่งออกเมล็ดกาแฟ) (2) กัมพูชา (19.1%) (3) สหรัฐอเมริกา (12.2%) (4) สิงคโปร์ (11.6%) และ (5) แคนาดา (5.21%) สำหรับตลาดส่งออกกาแฟสำเร็จรูปที่สำคัญ ได้แก่ (1) กัมพูชา (23.4% ของมูลค่าการส่งออกกาแฟสำเร็จรูป) (2) ลาว (15.5%) (3) ออสเตรเลีย (13.8%) (4) ฟิลิปปินส์ (12.1%) และ (5) เมียนมา (10.5%)
สำหรับปี 2566 ช่วงครึ่งปีแรก (มกราคม – มิถุนายน) ไทยส่งออกกาแฟและผลิตภัณฑ์ เป็นมูลค่า 59.47 ล้านเหรียญสหรัฐ ขยายตัว 7.7% จากปีก่อนหน้า แบ่งเป็น (1) เมล็ดกาแฟ 148.5 ตัน เป็นมูลค่า 1.23 ล้านเหรียญสหรัฐ (41.70 ล้านบาท) และ (2) กาแฟสำเร็จรูป 12,081 ตัน เป็นมูลค่า 58.24 ล้านเหรียญสหรัฐ (1,976.96 ล้านบาท)
ผอ. สนค. กล่าวทิ้งท้ายว่า กาแฟเป็นสินค้าที่ไทยสามารถเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันได้ โดยการส่งเสริมการผลิตและแปรรูปกาแฟพิเศษให้มีคุณภาพและเพิ่มมูลค่าของกาแฟ ก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งสำหรับเกษตรกร และผู้ประกอบการ ซึ่งจะช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้ากาแฟไทย และช่วยให้กาแฟไทยเป็นที่รู้จักในตลาดโลกมากยิ่งขึ้น
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
ดัชนีเชื่อมั่นจังหวัดชายแดนภาคใต้ไตรมาส 3 ปรับตัวดีขึ้น
สนค.จับมือ ศอ.บต. แถลงผลสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นจังหวัดชายแดนภาคใต้ ไตรมาส 3 ปี 66 พบปรับเพิ่มขึ้น จากการเชื่อมั่นด้านเศรษฐกิจ สังคม หลังมีรายได้เพิ่มจากราคาสินค้าเกษตรสูงขึ้น การเมืองชัดเจน นโยบายรัฐบาลแก้ไขภาระค่าครองชีพ ส่วนด้านความมั่นคง ลดเล็งน้อย เผยคนยังกังวลเรื่องค่าครองชีพ รายได้ไม่เพียงพอ ยาเสพติด รวมถึงสินค้าเกษตรตกต่ำ และปัญหาหนี้สิน
มังคุดไทย 9 เดือนแรก โกยรายได้ส่งออก 1.6 หมื่นล้านบาท จ่อขยายตลาดไปญี่ปุ่น
นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า สนค. ได้ศึกษาข้อมูลสถานการณ์การค้ามังคุด ซึ่งเป็นผลไม้ส่งออกสำคัญของไทยรองจากทุเรียน และลำไย มังคุดไทยมีจุดเด่น
สนค.ชวนผู้ประกอบการลุยตลาดส่งออกใหม่ประเทศอ่าวอาหรับ
สนค.วิเคราะห์สินค้าไทยที่มีโอกาสในการเจาะตลาดกลุ่มประเทศความร่วมมืออ่าวอาหรับ พบว่า “รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ” และ “ยางยานพาหนะ” เป็นสินค้าดาวเด่นในตลาดกลุ่มประเทศความร่วมมืออ่าวอาหรับ “คอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ” และ “เครื่องประดับแท้” เป็นสินค้าศักยภาพ พร้อมแนะให้เปิดตลาด “ไก่” และ “ข้าว” ซึ่งเป็นสินค้าที่มีความต้องการสูง แต่ไทยเข้าถึงตลาดได้น้อย
สนค. เผยเศรษฐกิจไทยโตช้า 10 ปีย้อนหลังต่ำสุดในภูมิภาค แนะเร่งเครื่องแข่งขัน
สนค. เผยว่า ที่ผ่านมาเศรษฐกิจและรายได้ต่อหัวไทยเติบโตช้า อีกทั้งการเติบโตของเศรษฐกิจโลกต่อจากนี้มีปัจจัยท้าทายหลายประการ อาทิ การใช้นโยบายทางการเงินที่ตึงตัวของธนาคารกลางในหลายประเทศ อัตราเงินเฟ้อที่ลดลงช้ากว่าที่คาด ประเด็นความขัดแย้งด้านภูมิรัฐศาสตร์ ทั้งสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีน ที่ขยายวงกว้างเป็นสงคเยื้อ ตลอดจนผลกระทบของภัยพิบัติที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ส่งผลต่อเนื่องมายังเศรษฐกิจไทยที่เชื่อมโยงกับตลาดและฐานการผลิตทั้งในและต่างประเทศอย่างใกล้ชิด
เงินเฟ้อชะลอตัว คาดทั้งปี1.35% กกพ.ลุยลดค่าไฟ
"พาณิชย์" เผยเงินเฟ้อ ก.ย.66 เพิ่ม 0.30% ชะลอตัวลง
สนค. เผยปัจจัยเสี่ยงที่ต้องติดตามจากภัยแล้ง
นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า เปิดเผยถึงสถานการณ์ภัยแล้ง ที่อาจทวีความรุนแรงขึ้นตั้งแต่ช่วงปลายปี 2566