SCB ชี้ส่งออกไทยปี 2023 หดตัว แต่มีแนวโน้มฟื้นตัวรับปีมังกร

30 ม.ค. 2567 – มูลค่าการส่งออกสินค้าของไทยในเดือน ธ.ค. 2023 อยู่ที่ 22,791.6 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ส่งสัญญาณฟื้นตัวดีขึ้นโดยขยายตัว 5 เดือนต่อเนื่องที่ 4.7%YOY (เทียบเดือน ธ.ค. 2022) และ 1.6%MOM_sa (เทียบเดือน พ.ย. 2023 แบบปรับฤดูกาล) ส่วนหนึ่งเป็นผลจากมูลค่าการส่งออกทองคำที่ขยายตัวมากถึง 787.6%YOY (หรือ Contribution to %YOY Growth = 1.7%) หากหักปัจจัยทองคำแล้ว การส่งออกของไทยจะขยายตัวเพียง 3%YOY และ 0.4%MOM_sa สะท้อนว่าสัญญาณการฟื้นตัวของภาคการส่งออกสินค้าไทยยังไม่ชัดเจนนัก เพราะมีปัจจัยพิเศษรวมอยู่เช่นเดียวกับช่วงก่อนหน้า เช่น ปัจจัยฐานต่ำ การส่งออกทองคำ การส่งออกยานยนต์เพื่อใช้งานพิเศษ ซึ่งยังไม่สะท้อนภาวะการค้าระหว่างประเทศได้จริง ทั้งนี้ภาพรวมการส่งออกไทยในข้อมูลระบบศุลกากรปี 2023 มีมูลค่า 284.561.8 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ทั้งปีหดตัวเล็กน้อย -1.0%YOY

การส่งออกเดือนนี้ขยายตัวในหลายกลุ่มสินค้า ยกเว้นสินค้าเกษตร

ภาพรวมการส่งออกรายสินค้าปรับดีขึ้นทุกกลุ่ม นำโดย (1) สินค้าแร่และเชื้อเพลิงที่ขยายตัวแข็งแกร่ง 32.4% ต่อเนื่องจาก 42.4% ในเดือนก่อน (2) สินค้าอุตสาหกรรมขยายตัวต่อเนื่อง 5% จาก 3.4% ในเดือนก่อน โดยเหล็ก เหล็กกล้าและผลิตภัณฑ์ ไม้และผลิตภัณฑ์ไม้ เป็นสินค้าหลักที่ขยายตัวดี (3) สินค้าอุตสาหกรรมเกษตรขยายตัว 3.6% ต่อเนื่องจาก 1.7% ในเดือนก่อน นำโดยการส่งออกน้ำตาลทราย และ (4) สินค้าเกษตรหดตัวครั้งแรกในรอบ 5 เดือน -8.3% จาก 7.7% ในเดือนก่อน โดยเฉพาะผลไม้สด แช่เย็น แช่แข็งและแห้งที่หดตัว ผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง ขณะที่การส่งออกข้าวเป็นสินค้าสำคัญที่ขยายตัว

การส่งออกเดือนนี้หดตัวในบางตลาดสำคัญ โดยการส่งออกไปยุโรปเสี่ยงได้รับผลกระทบจากการโจมตีของกบฏฮูตี
ภาพรวมการส่งออกรายตลาดหดตัวในบางตลาด โดย (1) ตลาดยุโรป หดตัวแรงขึ้นที่ -8.4% หลังจากหดตัว -6.6% ในเดือนก่อน สำหรับการหดตัวในเดือนนี้ยังไม่แน่ชัดว่าเป็นผลกระทบจากเหตุการณ์การโจมตีกลุ่มกบฏฮูตีในบริเวณทะเลแดงที่อาจส่งผลให้การขนส่งสินค้าจากไทยไปยุโรปใช้เวลานานขึ้นและมีต้นทุนที่สูงขึ้นหรือไม่ เนื่องจากว่าการส่งออกไปยุโรปหดตัวติดต่อกันเป็นระยะเวลา 7 เดือนแล้วตามภาวะทางเศรษฐกิจ ทั้งนี้คาดว่าผลจากการโจมตีดังกล่าวอาจชัดเจนขึ้นในเดือน ม.ค. 2024 (2) ตลาดสวิตเซอร์แลนด์ขยายตัว 567.6% จากการส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับ (โดยเฉพาะทองคำ) ที่ขยายตัวมากถึง 3,487.2% (3) ตลาดสหรัฐฯ ขยายตัวชะลอลงเป็น 0.3% เทียบกับ 17.5% ในเดือนก่อน โดยมีปัจจัยกดดันจากการส่งออกเครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์ และส่วนประกอบที่หดตัว -17.4% ขณะที่ (4) ตลาดจีน พลิกกลับมาขยายตัว 2% หลังจากหดตัว -3.9%

ดุลการค้าระบบศุลกากรพลิกกลับมาเกินดุลในเดือนนี้ แต่ภาพรวมทั้งปีขาดดุลอยู่มาก

มูลค่าการนำเข้าสินค้าในเดือน ธ.ค. อยู่ที่ 21,818.8 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หดตัวครั้งแรกในรอบ 3 เดือนที่ -3.1%YOY จากการนำเข้าสินค้าอุปโภคบริโภค สินค้าวัตถุดิบและกึ่งสำเร็จรูป และสินค้าเชื้อเพลิงที่หดตัว -7.3% -5.9% และ -2.2% ตามลำดับ ขณะที่การนำเข้ายานพาหนะและอุปกรณ์ขนส่ง และสินค้าทุนขยายตัว 5.8% และ 1% ตามลำดับ สำหรับดุลการค้าระบบศุลกากรในเดือนนี้กลับมาเกินดุล 972.8 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เทียบกับการขาดดุล -2,399.4 ล้านดอลลาร์สหรัฐในเดือนก่อน สำหรับภาพรวมทั้งปี 2023 ดุลการค้าขาดดุล -5,192.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

SCB EIC ประเมินมูลค่าการส่งออกจะขยายตัวต่อเนื่องในปีนี้

SCB EIC มองมูลค่าการส่งออกไทยยังคงขยายตัวต่อเนื่องในปี 2024 ที่ 3.7% จากแรงสนับสนุนหลายด้าน ได้แก่ (1) ปริมาณการค้าโลกที่มีแนวโน้มขยายตัวได้ตามแนวโน้มเศรษฐกิจโลก แม้จะชะลอลงบ้างอยู่ที่ราว 2.5% (รูปที่ 1) (2) ภาคการผลิตที่เกี่ยวเนื่องกับการค้าระหว่างประเทศจะกลับมามีบทบาทขับเคลื่อนเศรษฐกิจโลกมากขึ้นในปี 2024 (รูปที่ 1) (3) ราคาสินค้าส่งออกที่มีแนวโน้มอยู่ในระดับสูง เช่น ราคาสินค้าเกษตรมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นตามปริมาณผลผลิตในตลาดโลกที่ลดลงจากภัยแล้งและนโยบายควบคุมการส่งออกสินค้าในบางประเทศ (4) ความพยายามของหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชนในการผลักดันการส่งออกของไทยผ่านการจัดทำความตกลงการค้าเสรี (FTA) ระหว่างไทยกับศรีลังกา ซึ่งจะลงนามในช่วงต้นปีนื้ รวมทั้ง FTA กับสมาคมการค้าเสรีแห่งยุโรป (European Free Trade Association : EFTA) เกาหลีใต้ และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ซึ่งวางแผนเจรจาให้สำเร็จในปี 2024

อย่างไรก็ตาม ห่วงโซ่อุปทานโลกอาจเผชิญความเสี่ยงอีกครั้งจาก 1) เหตุการณ์โจมตีเรือขนส่งสินค้าของกบฏฮูตีในบริเวณทะเลแดง (คลองสุเอซ) โดยในเดือน ธ.ค. 2023 กลุ่มกบฏฮูตี ซึ่งก่อตั้งขึ้นในช่วง 1980 – 1990 และมีฐานทัพที่ประเทศเยเมน ได้เข้าโจมตีเรือขนส่งสินค้าในบริเวณทะเลแดง ซึ่งเป็นทางผ่านไปยังคลองสุเอซ และนับเป็นเส้นทางเดินเรือสำคัญระหว่างยุโรปและเอเชีย มีปริมาณการขนส่งคิดเป็น 12% ของการขนส่งทางทะเลของโลก โดยกบฏฮูตีอ้างว่าการโจมตีนี้เป็นการแสดงการสนับสนุนกลุ่มฮามาสในเหตุการณ์ความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลและกลุ่มฮามาสที่ปะทุขึ้นตั้งแต่เดือน ต.ค. ปี 2023 การโจมตีของกบฏฮูตีส่งผลให้บริษัทขนส่งรายใหญ่หลายรายตัดสินใจหลีกเลี่ยงเส้นทางคลองสุเอซเพื่อขนส่งสินค้าระหว่างยุโรปและเอเชีย และเปลี่ยนไปอ้อมแหลมกู๊ดโฮปในประเทศแอฟริกาใต้แทน (รูปที่ 2) ทำให้ใช้เวลาเดินทางเพิ่มขึ้น 10 – 15 วัน นอกจากนี้ การโจมตีดังกล่าวยังส่งผลให้ผู้ส่งออกจากเอเชียต้องจ่ายค่าระวางเรือและค่าประกันภัยทางเรือเพิ่มสูงขึ้น

2) ความแห้งแล้งของคลองปานามา คลองปานามาเชื่อมระหว่างมหาสมุทรแอตแลนติกและแปซิฟิก และเป็นหนึ่งในเส้นทางหลักในการขนส่งสินค้าระหว่างเอเชียและสหรัฐฯ คิดเป็น 5% ของการขนส่งสินค้าทางทะเลของโลก ตั้งแต่ปี 2023 ปานามาเผชิญปัญหาแห้งแล้งและปริมาณน้ำฝนน้อย ทำให้ระดับน้ำในคลองลดลงมาก องค์การบริหารคลองปานามา (Panama canal authority) จึงจำเป็นต้องจำกัดจำนวนเรือสัญจรผ่านคลองปานามาในแต่ละวัน โดยในปัจจุบันจำกัดไว้ที่ 24 ลำต่อวัน ซึ่งน้อยกว่า 38 ลำต่อวันในสภาวะปกติค่อนข้างมาก การจำกัดจำนวนเรือดังกล่าวทำให้เรือขนส่งสินค้าจากเอเชียจะต้องจอดรอนานขึ้น เพื่อสัญจรผ่านคลองปานามาไปยังสหรัฐฯ อย่างไรก็ตาม หากเรือขนส่งสินค้าไม่อยากรอ อาจเลือกจ่ายเงินเพิ่มเพื่อขอลัดคิวและสัญจรผ่านคลองปานามาไปก่อนได้ หรืออาจเลือกเดินทางอ้อมทวีปอเมริกาใต้แทน

หากสถานการณ์ข้างต้นมีแนวโน้มทำให้ห่วงโซ่อุปทานโลกชะงัก อาจกระทบการส่งออกไทยได้ โดยสถานการณ์ความแห้งแล้งของคลองปานามาจะทำให้เรือขนส่งสินค้าจากไทยที่ต้องการใช้เส้นทางดังกล่าวต้องใช้เวลาเดินทางนานขึ้น เนื่องจากต้องจอดรอเพื่อสัญจรผ่านคลองปานามา หรือมีต้นทุนขนส่งสูงขึ้น อย่างไรก็ดี ประเมินว่าสินค้าจากประเทศทางเอเชียส่วนใหญ่ที่ส่งออกไปยังสหรัฐฯ จะถูกส่งออกไปที่ท่าเรือในฝั่งตะวันตกของสหรัฐฯ การส่งออกสินค้าของไทยไปสหรัฐฯ จึงไม่จำเป็นต้องพึ่งพาเส้นทางคลองปานามาเป็นหลัก การส่งออกไทยจึงมีแนวโน้มที่จะไม่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากความแห้งแล้งของคลองปานามามากนัก

นอกจากนี้ ระยะเวลาขนส่งที่ยาวนานขึ้น อาจส่งผลต่อเนื่องทำให้เรือขนส่งสินค้าไม่เพียงพอต่อการขนส่งเส้นทางอื่น ๆ และทำให้ผู้ส่งออกไทยต้องเผชิญกับค่าระวางเรือที่เพิ่มขึ้นอย่างมาก โดยค่าระวางเรือในเส้นทางไทย-ยุโรปของเรือคอนเทนเนอร์ขนาด 20 ฟุตและ 40 ฟุตเพิ่มขึ้นเป็น 3,200 และ 4,900 ดอลลาร์สหรัฐ ตามลำดับ เพิ่มจากปี 2023 ถึง 3 เท่า (ข้อมูล ณ 24 มกราคม 2024) (รูปที่ 3) แม้ค่าระวางเรือจะยังคงต่ำกว่าระดับสูงสุดช่วงหลังโควิด-19 ที่ 8,200 ดอลลาร์สหรัฐ และ 14,300 ดอลลาร์สหรัฐ สำหรับเรือคอนเทนเนอร์ขนาด 20 ฟุตและ 40 ฟุต ค่อนข้างมากก็ตาม

สำหรับค่าระวางเรือในเส้นทางการขนส่งจากไทยไปสหรัฐฯ ก็ปรับเพิ่มขึ้นอย่างมากหลังการโจมตีเช่นกัน โดยค่าระวางเรือคอนเทนเนอร์ขนาด 20 ฟุตและ 40 ฟุตในเส้นทางไทย-สหรัฐฯ ฝั่งชายฝั่งตะวันตกปรับเพิ่มขึ้นเป็น 3,600 และ 4,500 ดอลลาร์สหรัฐ และค่าระวางเรือคอนเทนเนอร์ขนาด 20 ฟุตและ 40 ฟุตในเส้นทางไทย-สหรัฐฯ ฝั่งชายฝั่งตะวันออกปรับเพิ่มขึ้นอยู่ที่ 6,200 และ 6,900 ดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นจากระดับค่าระวางเรือในปี 2023 ที่ผ่านมาถึง 3 เท่าเช่นกัน (ข้อมูล ณ 24 มกราคม 2024) อย่างไรก็ตาม เนื่องจากการโจมตีของกลุ่มกบฏฮูตียังไม่มีสัญญาณว่าจะสิ้นสุดลงในเร็ว ๆ นี้ จึงอาจต้องติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด เพื่อประเมินผลกระทบต่อการส่งออกไทยในระยะต่อไป

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ยกรายงานแบงก์ไทยพาณิชย์ชี้ ปชช.เชื่อมั่นเศรษฐกิจไทย

'ทิพานัน' ยกรายงานไทยพาณิชย์ ชี้แนวโน้มธุรกิจค้าปีปลีกปี 66 โตต่อเนื่อง มูลค่าตลาดพุ่ง 10% 3.7 ล้านล้าน ผลงานนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจรัฐบาลบิ๊กตู่ ชี้ระบุเป็นสัญญาณดี สะท้อนประชาชนเชื่อมั่นเศรษฐกิจไทย

SCB EIC คาดเศรษฐกิจ CLMV มีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่อง

SCB EIC คาดเศรษฐกิจ CLMV ขยายตัวต่อเนื่องจากแรงส่งการบริโภคและภาคการท่องเที่ยว แม้มีปัจจัยกดดันจากเศรษฐกิจโลกชะลอตัวและความเสี่ยงเฉพาะประเทศ

ไทยพาณิชย์ชี้เศรษฐกิจไทยจะกลับไปเท่าช่วงก่อนโควิดในช่วงกลางปีนี้

ประเดิมไตรมาสแรกของปี ภาคการท่องเที่ยวและการบริโภคภาคเอกชนหนุนเศรษฐกิจไทยท่ามกลางการส่งออกที่ยังหดตัว ผลการจับขั้วรัฐบาลยังเป็นประเด็นที่ต้องจับตาประเดิมไตรมาสแรกปี 2023 เศรษฐกิจไทยขยายตัวสูงกว่าตลาดคาดการณ์

ฟิทช์คาดปี 66 แบงก์ไทยผลงานแจ่ม 'SCB EIC' ขยับจีดีพีลุ้นโตแตะ 3.9%

“ฟิทช์” คาดการณ์ปี 2566 แบงก์ไทยมีผลการดำเนินงานปรับตัวดีขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป หลังตั้งสำรองหนี้สูญลดลง สินเชื่อเติบโตต่อเนื่อง ห่วงมาตรการอุ้มลูกหนี้ทยอยหมดอายุ กดดันคุณภาพสินทรัพย์ ด้าน “SCB EIC” ขยับคาดการณ์จีดีพีไทยแตะ 3.9% รับอานิสงส์ท่องเที่ยวและบริการฟื้นตัว

กนง. ขึ้นดอกเบี้ย 0.25% เป็น 1.75% ตามคาด SCB EIC มองดอกเบี้ยนโยบายไทยปรับขึ้นต่อเนื่องอยู่ที่ 2% ในช่วงกลางปีนี้

กนง. มีมติเป็นเอกฉันท์ให้ขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% ต่อปี จาก 1.5% เป็น 1.75% ต่อปี เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่องจากภาคการท่องเที่ยวและการบริโภคภาคเอกชนเป็นสำคัญ