ไทยยูเนี่ยน โชว์ยอดขายปี 66 ลดลง 12.5% แต่ฐานะการเงินแข็งแกร่งจ่อปันผลอีก 0.24 บาท/หุ้น

ไทยยูเนี่ยน โกยยอดขายไตรมาสสี่ 35,529 ล้านบาท โต 4.8% จากกลุ่มธุรกิจแช่แข็งและอาหารสัตว์เลี้ยง พร้อมโชว์กระแสเงินสดแข็งแกร่ง 2,842 ล้านบาท ส่งผลให้ทั้งปีจ่ายปันผลที่ 0.54 บาท

20 ก.พ. 2567 – นายธีรพงศ์ จันศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) เปิดเผยถึงการดำเนินงานไตรมาส 4 ปี 2566 ด้วยยอดขาย 35,529 ล้านบาท ซึ่งเติบโตถึง 4.8% จากไตรมาสก่อน เป็นผลจากการฟื้นตัวของกลุ่มธุรกิจอาหารแช่แข็งและธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยง และมีกำไรสุทธิจากผลการดำเนินงานปกติที่ 1,243 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3.1% จากไตรมาสก่อน

ขณะที่อัตรากำไรขั้นต้นจากผลการดำเนินงานปกติแข็งแกร่งถึง 17.8% ขณะที่บริษัทสามารถสร้างกระแสเงินสดได้ถึง 2,842 ล้านบาท และยังมีระดับหนี้ต่ำโดยมีอัตราส่วนหนี้สินสุทธิต่อทุนอยู่ที่ 0.78 เท่า สะท้อนถึงการเติบโตที่มั่นคงและรับมือกับปัจจัยเสี่ยงภายนอกได้อย่างแข็งแกร่ง นอกจากนี้ ไทยยูเนี่ยนยังได้อนุมัติการจ่ายเงินปันผลครึ่งปีหลังให้แก่ผู้ถือหุ้นที่ราคา 0.24 บาทต่อหุ้น ส่งผลให้ปี 2566 บริษัทฯ จ่ายเงินปันรวม 0.54 บาทต่อหุ้น

ส่วนภาพรวมผลประกอบการปี 2566 มียอดขายอยู่ที่ 136,153 ล้านบาท ลดลง 12.5% เมื่อเทียบกับปีก่อนที่มีอัตราการเติบโตสูงเป็นประวัติการณ์เนื่องจากการขนส่งทั่วโลกที่กลับสู่ภาวะปกติทำให้ลูกค้าไม่มีความจำเป็นต้องกักตุนสินค้า ขณะที่อัตรากำไรสุทธิจากผลการดำเนินงานปกติ อยู่ที่ 4,499 ล้านบาท ลดลง 37.0% นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังมีการบันทึกรายการด้อยค่าที่ไม่ใช่เงินสดครั้งเดียว ในไตรมาส 4 ที่มูลค่า 18,433 ล้านบาท (527 ล้านดอลลาร์) จากแผนถอนการลงทุนส่วนน้อยในเรด ล็อบสเตอร์

อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ ได้รับการอนุมัติจากผู้ถือหุ้นกู้อย่างเป็นเอกฉันท์เรื่องการขออนุมัติผ่อนผันหลักเกณฑ์การคำนวณอัตราส่วนความสามารถในการจ่ายดอกเบี้ยและเงินปันผลให้กับผู้ถือหุ้นของไทยยูเนี่ยนในปี 2566 ตามที่บริษัทฯ เสนอขอให้ไม่นับรวมรายการผลขาดทุนจากการด้อยค่าตามหลักการทางบัญชี จากแผนดังกล่าว เพราะเมื่อพิจารณาตัวเลขการหักรายการผลขาดทุนจากการด้อยค่าตามหลักการทางบัญชีแล้วไม่มีผลกระทบต่อกระแสเงินสด และความสามารถในการชำระหนี้ของบริษัทฯ ประกอบกับทริสเรทติ้งยังคงอันดับเครดิตและแนวโน้มอันดับเครดิตบริษัทฯ ในระดับ A+

สำหรับผลประกอบการในไตรมาส 4 กลุ่มธุรกิจอาหารทะเลแช่แข็งและแช่เยือกแข็ง มียอดขายอยู่ที่ 12,525 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อน 8.0 เปอร์เซ็นต์ ส่งผลให้อัตรากำไรขั้นต้นสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 14.4 เปอร์เซ็นต์ เป็นผลจากกลยุทธ์การบริหารจัดการขนาดองค์กรที่ประเทศสหรัฐฯ และการบริหารจัดการระบบสินค้าคงคลังที่ดีขึ้น ขณะที่กลุ่มธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยง มีอัตราเติบโต 22.5 เปอร์เซ็นต์ เนื่องจากการฟื้นตัวของคำสั่งซื้อจากกลุ่มลูกค้าหลัก และระดับสินค้าคงคลังที่กลับสู่ภาวะปกติ รวมถึงการนำกลยุทธ์ที่มุ่งเน้นตลาดเฉพาะกลุ่มประเภทอาหารสัตว์เลี้ยงชนิดเปียกและขนมสำหรับสัตว์เลี้ยง โดยในไตรมาส 4 ไทยยูเนี่ยนยังมีกระแสเงินสดอิสระเป็นบวก มูลค่าถึง 2,842 ล้านบาทมาจากความสามารถในการทำกำไร (EBITDA) ที่แข็งแกร่ง ประกอบการมีการบริหารจัดการเงินทุนหมุนเวียนที่มีประสิทธิภาพ

“ปีที่ผ่านมานับเป็นปีแห่งความท้าทายจากการปรับขึ้นของอัตราเงินเฟ้อ ที่กดดันตลาดที่ไทยยูเนี่ยนดำเนินธุรกิจอยู่ ซึ่งมีผลต่อเนื่องไปถึงค่าครองชีพและกำลังซื้อของผู้บริโภค อย่างไรก็ตาม แม้ภาพรวมธุรกิจจะยังคงอยู่ในภาวะที่ยากลำบาก แต่ไทยยูเนี่ยนก็สามารถรับมือและปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ได้อย่างรวดเร็ว ช่วยให้ในไตรมาสสุดท้ายของปียังสามารถทำกำไรได้ดีในทุกกลุ่มธุรกิจ” นายธีรพงศ์ กล่าวว่า

สำหรับสัดส่วนยอดขายแบ่งเป็นรายกลุ่มธุรกิจ ประจำปี 2566 ประกอบด้วย กลุ่มอาหารกระป๋อง 47% ตามมาด้วยกลุ่มธุรกิจอาหารทะเลแช่แข็งและแช่เยือกแข็ง 35 % กลุ่มอาหารสัตว์เลี้ยง 11% และกลุ่มสินค้ามูลค่าเพิ่มและธุรกิจอื่น ๆ 7 % และเมื่อพิจารณาสัดส่วนยอดขายตามภูมิภาค แบ่งเป็น สหรัฐอเมริกาและแคนาดา 41 % ยุโรป 30 % ไทย 11% และอื่น ๆ 18 %

“แม้ว่าปีนี้จะมีความท้าทายจากปัจจัยภายนอกอย่างต่อเนื่อง แต่เรามั่นใจว่าการวางกลยุทธ์องค์กรเพื่อมุ่งสู่ปี 2573 ที่ยังคงให้ความสำคัญกับธุรกิจหลักของไทยยูเนี่ยน เช่น กลุ่มอาหารกระป๋อง, กลุ่มอาหารทะเลแช่แข็งและแช่เยือกแข็ง และกลุ่มอาหารสัตว์เลี้ยง จะช่วยขับเคลื่อนธุรกิจให้เติบโตพร้อมสร้างผลกำไรและมูลค่าเพิ่ม เพื่อประโยชน์ของผู้ถือหุ้นทุกภาคส่วนได้มากยิ่งขึ้น” นายธีรพงศ์ กล่าว

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

กองทุนน้ำมันฯ สภาพคล่องดี ยันมีวงเงิน 5 หมื่นล้านบาทพออุ้มราคาดีเซล

สำนักงานกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (สกนช.) สรุปผลการดำเนินงานคาดปี 2566 ประมาณการฐานะกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงมีสภาพคล่องดีขึ้น พร้อมบริหารจัดการเงินล็อตใหม่ที่เหลือวงเงิน 5 หมื่นล้านบาทช่วยรักษาเสถียรภาพราคาพลังงานตรึงราคาดีเซล 30 บาท/ลิตร และก๊าซ LPG ตามมติคณะรัฐมนตรี

ไทยยูเนี่ยน โกยยอดขายทั่วโลกถล่มทลายกว่า 1.56 แสนล้านบาท

ผลงานในไตรมาสสุดท้ายของปีมียอดขาย 39,613 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 2.9 เปอร์เซ็นต์และกำไรจากการดำเนินงาน 2,384 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 20.6 เปอร์เซ็นต์ ส่งผลให้ไทยยูเนี่ยนเผยยอดขายตลอดปี 2565 เพิ่มขึ้น 10.3 เปอร์เซ็นต์ อยู่ที่ 155,586 ล้านบาท สูงสุดเป็นประวัติการณ์ และมีกำไรขั้นต้นอยู่ที่ 27,206 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5.8 เปอร์เซ็นต์เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า ขณะที่กำไรสุทธิประจำปี 2565 อยู่ที่ระดับ 7,138 ล้านบาท ลดลง 10.9 เปอร์เซ็นต์ แต่บริษัทยังสามารถจ่ายปันผลครึ่งปีหลังอยู่ที่ 0.44 บาทต่อหุ้น ทำให้เงินปันผลตลอดปีอยู่ที่ 0.84 บาทต่อหุ้น และบริษัทยังคงจ่ายอัตราเงินปันผลตอบแทนในระดับดีต่อเนื่องอยู่ที่อัตรา 5.3 เปอร์เซ็นต์

ไทยยูเนียน คว้าอันดับ 1 ในกลุ่มอาหาร ของ DJSI

บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) คว้าอันดับ 1 ในกลุ่มอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์อาหารของโลก จากดัชนีความยั่งยืนดาวโจนส์ (DJSI) และ เป็นปีที่ 9 ติดต่อกัน

ซีเล็ค ทูน่า ยันไม่ปรับราคา ชี้ทิศทางอาหารเพื่อสุขภาพมาแรง

นายศรัณย์ รัตนรุ่งเรืองชัย ผู้จัดการทั่วไป บริหารกลุ่มตลาดเกิดใหม่ บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ผู้ผลิตอาหารทะเล ทูน่ากระป๋องแบรนด์ ซีเล็ค (SEALECT)