
จากสถานการณ์ตลาดหุ้นไทยที่มีการปรับตัวลง ทําให้บางบริษัทดําเนินการซื้อหุ้นคืนเพื่อเป็นการสร้างความเชื่อมั่นต่อนักลงทุน แต่ด้วยกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการว่าด้วยการซื้อหุ้นคืน การจำหน่ายหุ้นที่ซื้อคืน และการตัดหุ้นที่ซื้อคืนของบริษัท พ.ศ.2544 ดังกล่าว มีประเด็นปัญหาอุปสรรคในการดำเนินธุรกิจที่มีข้อจำกัดในการบริหารสภาพคล่องของบริษัทมหาชนจำกัดที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ดังนั้นตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยขอให้กรมพิจารณาแก้ไขกฎกระทรวงดังกล่าว
อรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า กรมอยู่ระหว่างการเปิดรับฟังความคิดเห็นร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการว่าด้วยการซื้อหุ้นคืน การจำหน่ายหุ้นที่ซื้อคืน และการตัดหุ้นที่ซื้อคืนของบริษัท โดยผู้มีส่วนได้เสียและประชาชนทั่วไปสามารถแสดงความคิดเห็นทั้งผลดีและผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากกฎกระทรวงดังกล่าว
โดยสาระสำคัญของการรับฟังความคิดเห็นครั้งนี้มี 2 ประเด็น คือ 1.แก้ไขหลักเกณฑ์ระยะเวลาที่บริษัทสามารถทำการซื้อหุ้นคืนโครงการใหม่ได้ทันที เมื่อบริษัทซื้อหุ้นคืนครบจำนวนแล้ว หรือเมื่อพ้นกำหนดวันสิ้นสุดกำหนดเวลา การซื้อหุ้นคืนครั้งหลังสุด หรือวันที่การยกเลิกโครงการซื้อหุ้นคืนมีผล โดยไม่ต้องมีระยะเวลาพักคอย 6 เดือน เหมือนเช่นปัจจุบัน
และ 2.เพิ่มเติมหลักเกณฑ์ในเรื่องระยะเวลาในการจำหน่ายหุ้นที่ซื้อคืนของบริษัทมหาชนจำกัดที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ โดยสามารถขยายระยะเวลาการจำหน่ายหุ้นที่ซื้อคืนออกไปได้อีก 2 ปี หากปรากฏข้อเท็จจริงว่าราคาหุ้นของบริษัทในช่วงเวลาที่กำหนดไว้ในการซื้อหุ้นคืนต่ำกว่าหรือเท่ากับราคาซื้อคืนเฉลี่ย และหากบริษัทไม่สามารถจำหน่ายหุ้นที่ซื้อคืนได้หมดภายใน 2 ปี บริษัทอาจขยายระยะเวลาการจำหน่ายหุ้นที่ซื้อคืนได้อีกไม่เกิน 1 ปี ซึ่งเดิมกำหนดไว้ 3 ปี และขยายระยะเวลาไม่ได้ ทั้งนี้ การขยายระยะเวลาดังกล่าว บริษัทจะต้องได้รับความเห็นชอบจากที่ประชุมผู้ถือหุ้นก่อนจึงจะขยายระยะเวลาดังกล่าวได้
“การแก้ไขหลักเกณฑ์ดังกล่าวจะทำให้บริษัทสามารถบริหารจัดการการจำหน่ายหุ้นที่ซื้อคืนและบริหารสภาพคล่องของบริษัทได้อย่างมีประสิทธิภาพ รองรับกรณีเกิดสถานการณ์ที่ไม่คาดคิดขึ้น โดยยังคงหลักการคุ้มครองสิทธิของผู้ถือหุ้น โดยเฉพาะผู้ถือหุ้นข้างน้อย และรักษาความสมดุลระหว่างบริษัทและผู้ถือหุ้น” อรมน กล่าว
อย่างไรก็ตาม ตลาดหุ้นเป็นดัชนีปลายทางแห่งความเชื่อมั่นที่นักลงทุนจะมีต่อประเทศนั้นๆ พวกเขาหรือพวกเราก็เถอะ จะนำเงินไปลงทุนในประเทศที่ไม่ทำกำไรไหม? หรือมีความเสี่ยงที่จะขาดทุนไหม….
ตลาดหุ้นเป็นการมองที่มีความหวังแห่งอนาคต ที่คาดว่าจะมีการเติบโต มีนโยบายส่งเสริม สนับสนุนให้เศรษฐกิจโตแบบซื่อสัตย์ ยั่งยืนอย่างมีนัย
ตลาดหุ้นไทยจึงมีอาการ “อมโรค” เพราะเหตุข้างต้น การลงทุนเสมือนน้ำที่ไหลลงต่ำ ไหลลงสู่แหล่งที่มีผลตอบแทนสูง เมื่อเทียบกับแหล่งอื่นๆ และมีความเสี่ยงน้อยหรือพอรับมือได้

สิริพร จังตระกุล เลขาธิการสมาคมส่งเสริมผู้ลงทุนไทย ระบุว่า อาการหุ้นไทยตก เป็นสถิติตกต่ำติดอันดับโลก จึงเป็นการตอบคำถามที่เชื่อว่านักลงทุนทุกคนมองเห็นภาพนี้เป็นภาพเดียวกัน แต่รัฐบาลอาจมองไม่เห็น เงียบ…ยังไม่เสียงตอบรับ เพราะมุ่งหน้าในการลงมือทำนโยบายเฉพาะหน้า ประชานิยม ใครๆ ก็มองออก แล้วอาการขายหุ้น เทกระหน่ำจึงเกิดขึ้น ตอบคำถามตรงไปตรงมากันเถอะ กระบิดกระบวน บ้านเมืองจะจมดิ่งกว่านี้ กลุ่มคนรวย บนยอดพีระมิดคงไม่เดือดร้อนกับซากประเทศที่ยังมีประชาชนคนไทยอีกกว่า 90% อยู่อาศัยไปจนรุ่นลูกหลาน
นโยบายที่มีอยู่เดิมแล้วถูกดึงออกมาจากลิ้นชัก เพื่อเป็นการดึงซัพพลายออกจากตลาดหุ้น เมื่อเสียดุลของแรงซื้อที่อ่อนแรง คือ “การซื้อหุ้นคืน” เป็นยังไงกันนะ…….
ใครซื้อหุ้นคืนได้
ตอบ : คนที่ซื้อหุ้นคืนได้คือ บริษัทนั้นๆ หรือนิติบุคคลที่เข้าตลาดหุ้นนั่นแหละ ตลาดหลักทรัพย์ฯ มีเกณฑ์ไว้ว่า บริษัทที่จะซื้อหุ้นตัวเองคืนได้ต้องมีเงินเหลือ มีกำไรสะสม และที่สำคัญคือต้องมีการกระจายสู่ผู้ถือหุ้นรายย่อย หรือ Free Float ตามเกณฑ์คือ ต้องไม่น้อยกว่า 150 ราย และกระจายออกไปไม่น้อยกว่า 15% ของทุนจดทะเบียน ไม่งั้นซื้อหุ้นกลับเข้าไปจะหลุดเกณฑ์ของการเป็นมหาชน
ใช้เงินจากไหน
ตอบ : ใช้เงินของบริษัทนั่นแหละ เราจึงเห็นรายชื่อผู้ถือหุ้นว่ามีชื่อบริษัทถือหุ้นตัวเองดูแปลกๆ แต่เป็นเรื่องที่ทำกันได้ เมื่อต้องใช้เงินของบริษัท จึงมองเห็นกรอบว่ามีเพียงบริษัทขนาดใหญ่ที่อยู่ในวง SET50, SET100 เท่านั้นแหละที่ทำได้ นอกนั้นอาจตกเกณฑ์ ยกเว้นรวย เงินเหลือจริงๆ เราจึงเห็นข่าวพาดหัวว่า บริษัทบิ๊กเบิ้มประกาศขานรับกันว่ามีนโยบายซื้อหุ้นคืน
ใช้อำนาจใดมาตัดสินใจ
ตอบ : เป็นอำนาจของคณะกรรมการบริษัท เห็นยังว่ากรรมการมีสิทธิ์ “ติดคุก” เพราะอาจลงมติไม่ชอบหรือผิดกฎหมาย นอนคุกกันตอนแก่มีให้เห็นกันแล้วนะ
ซื้อตอนไหน ซื้อที่ไหน
ตอบ : ซื้อด้วยราคาเฉลี่ยตามที่คำนวณและประกาศไว้ว่าจะซื้อในราคาไม่เกินกี่บาทต่อหุ้น ซื้อในตลาดหุ้น เหมือนนักลงทุนซื้อผ่านโบรกเกอร์ มีกรอบระยะเวลาไว้ว่าต้องซื้อในระยะ 6 เดือน จำนวนไม่เกิน 10% ของทุนจดทะเบียน แม้จะซื้อไม่ครบก็ไม่เป็นไร และต้องรายงานผ่านตลาดหลักทรัพย์ฯ ให้นักลงทุนรู้โดยทั่วกันด้วย ไม่ใช่ความลับ ไม่ได้แอบซื้อ
หุ้นที่บริษัทซื้อคืนไม่มีสิทธิ์ได้รับปันผล ไม่มีสิทธิ์โหวต
เป็นการดึงหุ้นออกจากการหมุนเวียนตามปกติ ถือไว้อย่างนั้น นาน 3 ปีจึงขายออกได้ เป็นการค่อยๆ รินขาย ขืนขายพรวดเดียวจะเข้าไปซ้ำเติมหุ้นตัวเอง แต่หากขายไม่หมด ด้วยว่าราคาตลาดอาจต่ำกว่าราคาที่ซื้อมา แบบนี้บริษัทต้องทำการ “ลดทุน” โดยตัดหุ้นที่ยังขายคืนไม่ได้นั้นออกไป
ผู้ถือหุ้นจึงได้รับปันผลมากขึ้นเมื่อหุ้นจำนวนน้อยลง
ผลการดำเนินการสิ้นปี พอมีกำไร จำนวนหุ้นน้อยลง เพราะหุ้นซื้อคืนไม่มีสิทธิ์รับปันผล ไม่ว่าจะเป็นเงินปันผล หรือหุ้นปันผล ผู้ถือหุ้นก็ย่อมได้รับปันผลมากขึ้น เป็นไปตามสมการตัวเลข
แก้ไขสมการตัวเลขแบบชั่วคราว
การซื้อหุ้นคืนเป็นการดึงหุ้นจำนวนหนึ่งออกไปจากตลาด อาทิ จำนวน 100 ล้านหุ้น ซื้อหุ้นคืน 10% จึงเหลือหุ้น 90 ล้านหุ้น แม้ทำกำไรเป็นเงินเท่าเดิม แต่เมื่อตัวหารน้อยลง กำไรต่อหุ้นย่อมเพิ่มขึ้น ไม่ใช่การเติบโตแบบมั่นคง ยั่งยืนขององค์กร
แบบนี้จึงไม่ใช่การรักษาอาการของระบบเศรษฐกิจองค์รวม นักลงทุนก็ดูกันออก ฝรั่งยิ่งมองทะลุ
เสียงของพวกเขาจึงเรียกร้องให้การทำงานแบบจริงจัง บังคับใช้กฎหมายกันอย่างจริงจัง ฟังเสียงหน่วยงานองค์กรต่างๆ ที่ดาหน้ากันออกมาแสดงความเห็นกันรายวัน อย่าปล่อยให้ประเทศผุกร่อนไปกว่านี้เลยนะ.