
แม้ว่าจะดำเนินธุรกิจมานาน และมีชื่อเสียงอยู่ในภาคตะวันออกเป็นอย่างมาก สำหรับ บริษัท บูรพา พรอสเพอร์ จำกัด ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายแป้งข้าวชั้นนำของประเทศไทย ผู้สร้างสรรค์ แบรนด์ “Burapa Prosper” (บูรพา พรอสเพอร์) และ “หมีคู่ดาว” ที่อยู่คู่ครัวไทยมากกว่า 49 ปี ซึ่งเดิมทีมีเพียงแค่ตลาดหลักที่อยู่ในภาคตะวันออก และเริ่มขยายตัวเองไปสู่วงกว้างทั้งในและต่างประเทศ ทำให้ปัจุบันส่งออกสู่ตลาดโลกกว่า 36 ประเทศ โดยปัจจุบันมีกลุ่มผลิตภัณฑ์หลัก 2 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มผลิตภัณฑ์ที่บริษัทพัฒนาเอง เช่น แป้งข้าวคุณภาพสูง แป้งชุบทอด เกล็ดขนมปังสูตรพิเศษ แป้งผสมสตรีทฟู้ด แป้งโมจิ และเม็ดสาคูเกรดส่งออก และ กลุ่มผลิตภัณฑ์ที่พัฒนาตามสูตรเฉพาะของลูกค้า เช่น แป้งฟิชแอนด์ชิป แป้งลอดช่อง แป้งทองม้วน และแป้งเบเกอรี่กลูเตนฟรี ซึ่งสามารถตอบโจทย์ได้ทั้งตลาด B2B และ B2C อย่างครอบคลุม
สถาพร ไพศาลบูรพา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บูรพา พรอสเพอร์ จำกัด รับไม้ต่อจากคุณพ่อและคุณแม่ และได้เริ่มนำพาแบรนด์ให้เป็นที่รู้จักมากขึ้น “ในช่วงเวลาที่เราอายุใกล้จะ 30 ปี ตอนนั้นก็ถามว่าถ้าเราอายุ 30 ปีแล้วชีวิตจะอยู่ตรงไหน ถ้าเลือกจะทำงานข้างนอกก็ต้องพยายามไต่เต้าไปเรื่อยๆ จนเราเห็นว่าธุรกิจของครอบครัวยังไม่มีคนมารับช่วงต่อ จึงเลือกจะเข้ามาดูแลกิจการของครอบครัว ซึ่งก็เข้ามาทำได้ 19 ปีแล้ว แม้ว่าในช่วงที่ผ่านมาจะมีอุปสรรคบ้าง ตอนเราเข้ามาก็พยายามทำระบบต่างๆ ให้พร้อมมากยิ่งขึ้น เพราะอยากขยายตลาด ซึ่งก็ได้ส่งออกไปเป็นระยะเวลากว่าสิบปีแล้ว พอตลาดส่งออกไปถึงจุดหนึ่ง ก็มองว่าอยากทำแบรนด์ที่ทำให้แบรนด์เป็นที่รู้จักในประเทศ และสามารถต่อยอดไปมากกว่าตัวแป้ง และมีการขายนอกบ้านเป็นครั้งแรกที่ไม่ใช่ภาคตะวันออก ที่สำคัญเลยคือเรามองเรื่องความยั่งยืน การบริหารจัดการ การมีผลกระทบกับสิ่งแวดล้อม และมองเรื่องของตราสินค้า หากเราไม่ขยายตลาดให้มากขึ้น มองว่าการส่งมอบให้เจนฯ ต่อไป อาจจะไม่มีความมั่นคง”
“เราพยายามผลักดันธุรกิจให้เติบโตอย่างต่อเนื่อง เรามีความตั้งใจอยากจะให้ธุรกิจของเราเป็นธุรกิจที่ส่งมอบสิ่งดีๆ กับทุกคนที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่จะเป็นลูกค้า ซัพพลายเออร์ หรือแม้แต่พนักงาน ก็อยากให้เติบโตไปด้วยกัน เราพยายามอบรมพนักงานให้มีทักษาะมากยิ่งขึ้น แม้ว่าเราจะเป็นองกรค์เอสเอ็มอีจากต่างจังหวัด แต่ก็อยากให้พวกเขาได้เติบโตได้จริงๆ แม้ว่าจะออกไปจากเราก็มีความสามารถที่ดีในการไปต่อได้”

แม้เทรนด์ของผู้บริโภคจะไปทางสุขภาพมาหลายปี ทำให้ผู้บริโภคบางกลุ่มมีความวิตกเรื่องการทานแป้งในยุคนี้ แบรนด์จึงต้องพัฒนาสินค้าที่ตอบโจทย์เจนฯ ใหม่ แต่ในขณะเดียวกันแม้ว่าผู้บริโภคจะห่วงเรื่องของทอด แต่มองว่าอาหารประเภททอด ยังเป็นสิ่งที่ผู้คนทุกเพศทุกวัยยังต้องการบริโภคอยู่ ทำให้ภาพรวมตลาดแป้งยังมีการเติบโต “เราเห็นความเปลี่ยนแปลงของตลาด ตั้งแต่เราได้เข้ามาดูแลกิจการของครอบครัว คือเรื่องของมาตรการฐานของอุตสาหกรรมเข้มข้นมากข้น หากจะเข้าไปยังกลุ่มอุตสาหกรรมแล้วไม่มีใบรับรอง ก็อาจจะเข้าถึงยาก รวมถึงพฤติกรรมผู้บริโภคก็มีการเปลี่ยนไป แบรนด์ต้องมีการพัฒนาให้สอดคล้อง ผู้ประกอบการรายเล็กหรือครัวเรือน เบื้องต้นอาจจะไม่ได้เปลี่ยนมาก ยังต้องการความคุ้มค่าและตรงใจ เคยกรอบ เคยเหนียว แบบไหนก็อยากให้เป็นแบบนั้น อยากได้ความนิ่ง ต้องการให้อาหารเขาอร่อย ราคาต้องเหมาะสมกับคุณภาพ”
สำหรับแบรนด์ “Burapa Prosper” ถูกวางตำแหน่งเป็นทั้ง Corporate และ Product Brand ที่เน้นคุณภาพและนวัตกรรม เจาะตลาด B2B เป็นหลัก ขณะที่แบรนด์ “หมีคู่ดาว” พัฒนาเพื่อกลุ่ม B2C ที่เน้นความคุ้มค่าและรสสัมผัสที่โดนใจผู้บริโภค โดยทั้งสองแบรนด์ทำงานประสานกัน ตั้งแต่ระดับครัวเรือนไปจนถึงอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ ขณะที่จุดแข็งของ Burapa Prosper คือความเชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านข้าวและแป้งมายาวนานกว่า 49 ปี ผนวกกับระบบการผลิตและควบคุมคุณภาพระดับสากล และทีมวิจัยและพัฒนา (R&D) ที่สามารถคิดค้นผลิตภัณฑ์ให้สอดคล้องกับพฤติกรรมผู้บริโภคยุคใหม่ที่เปิดกว้างต่อเทรนด์อาหารจากทั่วโลก เช่น แป้งชุบทอดที่มีทั้งสูตรกรอบเบา กรอบฟู กรอบนาน หรือแป้งโมจิที่มีหลากหลายสัมผัส ทั้งนุ่มหนึบ นุ่มนิ่มไปจนถึงนุ่มยืด สามารถนำไปประยุกต์ใช้กับเบเกอรี่ ไอศกรีม หรือของว่างได้อย่างลงตัว
นางสาวสถาพร กล่าวเพิ่มเติมว่า นอกจากจุดเด่นด้านเนื้อสัมผัสแล้ว Burapa Prosper ยังจับเทรนด์ Urbanization ที่ส่งผลให้ตลาดอาหารพร้อมปรุงเติบโตต่อเนื่อง โดยเตรียมเปิดตัวแบรนด์ใหม่ “หมีกินเล่น” ที่มีคอนเซ็ปต์ “ทำกินเองง่าย ทำขายกำไรดี” เพื่อเจาะตลาดผู้บริโภคครัวเรือนและกลุ่ม Horeca อีกทั้งยังลงทุนพัฒนาผลิตภัณฑ์จากน้ำซาวข้าว เพื่อลดผลกระทบสิ่งแวดล้อมและสร้างมูลค่าเพิ่มจากวิตามินบีธรรมชาติ ภายใต้ธีม “Next-Level Texture” ซึ่งถูกนำเสนอในงาน THAIFEX – Anuga Asia ปีนี้
“เดิมทีแล้วกลุ่มเป้าหมายของเรา ถ้าไม่นับกลุ่มอุตสาหกรรม จะเป็นกลุ่มพ่อค้าแม่ค้า ซึ่งหลายครอบครัวก็เริ่มมีสมาชิกหลายเจนฯ แล้ว การเพิ่มแบรนด์หมีกินเล่นเข้ามา ก็เพื่อต้องการเข้าถึงผู้ประกอบการที่เด็กกว่า และผู้บริโภคยุคใหม่ ต้องการรีเฟรชแบรนด์ให้มีความใหม่ให้ตอบโจทย์กลุ่มลูกค้าเราด้วย ซึ่งกลุ่มนี้ค่อนข้างเน้นเรื่องความสะดวก ไม่ต้องการความซับซ้อน หรือยากในการทำ แต่สิ่งสำคัญคือยังมีความอร่อยและดูดี”
นอกจากนี้ บริษัทมีแผนเปิดตัวมาสคอต “จันจัน” และ “นั่วนั่ว” จากแบรนด์หมีคู่ดาว เพื่อสร้างภาพลักษณ์ Modern Thai Identity ให้แบรนด์เข้าถึงผู้บริโภครุ่นใหม่ พร้อมขับเคลื่อนแบรนด์ Burapa Prosper ในฐานะผู้นำด้าน “Next-Level Texture” ที่ส่งมอบโซลูชันเนื้อสัมผัสใหม่ ๆ แก่อุตสาหกรรมอาหารทั่วโลกอีกด้วย
ทั้งนี้ บริษัทได้โชว์นวัตกรรมอย่าง Mochi Pillow Nugget หรือไก่ทอดทรงหมอนที่ด้านนอกกรอบพองเบา ภายในมีไส้โมจิรสชีสยืดหนึบ เป็นการรวมสัมผัสกรอบและหนึบไว้ในคำเดียว สะท้อนการยกระดับประสบการณ์การบริโภคได้อย่างลงตัว กลุ่มผลิตภัณฑ์เด่นอื่น ๆ ได้แก่ “Mochi Solution” ที่ออกแบบสำหรับผู้ผลิตที่ต้องการสร้างความพรีเมียม เช่น โมจิไอศกรีมหรือทาร์ตมัทฉะใส่โมจิ และ “Fried Food Coating” ที่ให้ความกรอบยาวนาน เหมาะกับผู้ประกอบการ QSR และฟู้ดเดลิเวอรี่รวมถึงแป้งสูตรไมโครเวฟที่ยังคงความกรอบแม้ผ่านการอุ่น

ด้านช่องทางการจัดจำหน่าย ปัจจุบัน Burapa Prosper ครอบคลุมทั้งค้าส่ง โมเดิร์นเทรด Horeca และออนไลน์ โดยช่องทาง Horeca เติบโตเร็วที่สุดจากการมีทีมขายเฉพาะ ในปีนี้บริษัทจะเร่งเพิ่มยอดขายผ่านอีคอมเมิร์ซ ควบคู่กับการใช้กลยุทธ์การตลาดผ่านดิจิทัลคอนเทนต์และอินฟลูเอนเซอร์ โดยเฉพาะวิดีโอรีวิวการใช้งานจริงซึ่งให้ผลลัพธ์ดีที่สุด
สำหรับผลประกอบการในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา เติบโตเฉลี่ยปีละ 10% โดยกลุ่มผลิตภัณฑ์หลักที่สร้างรายได้ยังคงเป็นแป้งข้าวคุณภาพสูงและเม็ดสาคูเกรดส่งออกที่ตอบโจทย์ทั้งคุณภาพ ความปลอดภัย และความยั่งยืน ขณะที่ผลิตภัณฑ์ดาวรุ่งอย่างแป้งชุบทอดหมีคู่ดาว ซึ่งกรอบนานถึง 4 ชั่วโมง และลดการอมน้ำมันได้ถึง 40% ก็ได้รับการตอบรับอย่างยอดเยี่ยม รายได้ของบริษัทมาจากตลาดในประเทศและต่างประเทศในสัดส่วน 50:50 ซึ่งตั้งใจจะรักษาสมดุลนี้ไว้ พร้อมผลักดันรายได้รวม 900 ล้านบาทภายในปีนี้

“เรามองว่าต้องขยายการส่งออกเพิ่ม แต่อยากให้สัดส่วนระหว่างในและต่างประเทศใกล้เคียงกัน เนื่องจากจะเห็นได้ว่าหากเกิดวิกฤติเราจะได้รับผลกระทบไม่มาก ปลอดภัยกว่าการพึ่งพาเพียงตลาดเดียว การเติบโตของตลาดส่งออกยังดีและมาแรง วางแผนรุกตลาดใหม่ ได้แก่ อินเดียและตะวันออกกลาง โดยมีแผนขยายกำลังการผลิตแป้งผสม จับมือกับพันธมิตรผู้ผลิตอาหารแช่แข็งที่ได้มาตรฐาน และติดตามกฎระเบียบการส่งออกอย่างใกล้ชิด เพื่อลดความเสี่ยงจากเศรษฐกิจโลกที่ผันผวน พร้อมพิสูจน์ว่า “แป้ง” ไม่ใช่แค่ส่วนประกอบอาหารธรรมดา แต่คือศิลปะแห่ง “เนื้อสัมผัส” ที่สามารถสร้างประสบการณ์ใหม่ให้กับผู้บริโภค และยกระดับแบรนด์อาหารไทยสู่เวทีโลกอย่างมั่นคง โดยตอนนี้เริ่มมีการสำรวจตลาดบ้างแล้ว และจะมีการไปออกบูธที่อินเอียปลายปีในงาน ไอศกรีม เอ็กซ์โป ก็จะมีการนำผลิตภัณฑ์ไปเสนอ มองว่าเป็นตลาดใหญ่และน่าสนใจ”
“ต้องบอกว่าเริ่มแรกเลยคุณพ่อคุณแม่ไม่มีธุรกิจอะไรมาก่อน แต่กล้าฝันและลงมือทำ สิ่งที่เราถูกปลูกฝังคือคือการที่จะกล้าฝันและลงมือทำตามความัน ไม่ต้องไปกลัว แต่ในขณะเดียวกันก็ต้องรอบคอบ ไม่ใช่ทุ่มสุดตัวจนไม่ได้คิดอะไร ก่อนจะลงมือต้องคิดให้ถี่ถ้วนเสียก่อน บางอย่างอาจจะไม่ประสบความสำเร็จบ้าง แต่ไม่ใช่ทุ่มไปจนบริษัทเสียหาย ลองแล้วให้เรียนรู้ รวมถึงเรื่องของความซื่อสัตย์และเครดิจก็สำคัญมาก อย่าไปเอาเปรียบผู้อื่นในการค้าขาย เราอยากผลักดันให้ธุรกิจนี้ เป็นธุรกิจที่มอบสิ่งดีๆ กับทุกคนที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็นลูกค้า ซัพพลายเออร์ และพนักงานในองค์กร ก็อยากให้เติบโตไปด้วยกัน เราพยายามอบรมพนักงานมาตลอด แม้เราจะเป็นองค์กรเอสเอ็มอีต่างจังหวัดก็อยากให้เขาสามารถเติบโตได้อีก แม้ว่าจะออกไปจากเรา ก็มีความสามรรถที่ดีติดตัวไปทำงานที่อื่น” สถาพร กล่าวปิดท้าย

