'ธ.ก.ส.' รอคลังเคาะแฮร์คัตหนี้เกษตรกรสูงวัย ลุยคุมNPL โยนสำนักงบเคาะจ่ายคืนจำนำข้าว

‘ธ.ก.ส.’ รอคลังสรุปความชัดเจนแฮร์คัตหนี้เกษตรกร อายุเกิน 70 ปีขึ้นไป ก่อนชง ครม. พิจารณา แจงมีราวหมื่นบัญชี วงเงิน 4-5 พันล้านบาท พร้อมเดินเครื่องคุม NPL ตั้งเป้าทั้งปีกดไม่เกิน 5.5% โยนสำนักงบประมาณเคาะจ่ายคืนหนี้จำนำข้าว ยันต้องชดเชยตามที่สำรองจ่ายไป

12 มิ.ย. 2568 – นายฉัตรชัย ศิริไล ผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) กล่าวถึงความคืบหน้าการปรับโครงสร้างหนี้โดยการขอส่วนลดจากเจ้าหนี้แล้วจ่ายทั้งหมดเพื่อปิดบัญชีทันที (แฮร์คัต) ว่า ขณะนี้อยู่ระหว่างประสานข้อมูลกับกระทรวงการคลัง โดยเบื้องต้นน่าจะดำเนินการกับกลุ่มผู้สูงอายุตั้งแต่ 70 ปีขึ้นไป และมีสถานะเป็นหนี้เรื้อรังก่อน แต่การดำเนินการทั้งหมดจะต้องเป็นไปตามกฎกระทรวง ดังนั้นจะต้องมีการกำหนดรายละเอียดเกี่ยวกับขั้นตอน กระบวนการ วิธีการอย่างชัดเจนออกมาก่อน

ทั้งนี้ ปัจจุบัน ธ.ก.ส. มีลูกค้าที่อายุ 70 ปีขึ้นไป และทุกบัญชีของผู้กู้แต่ละรายเป็นหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ประมาณหลักหมื่นบัญชี คิดเป็นมูลหนี้ราว 4,000-5,000 ล้านบาท ซึ่งรายละเอียดทั้งหมดจะต้องรอให้สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) กำหนดให้ชัดเจน โดยเฉพาะนิยามของคำว่า “หนี้เรื้อรัง” ว่าผู้ที่เข้าข่ายแฮร์คัตตามแนวทางนี้จะมีเกณฑ์เป็นอย่างไร แต่หลักคือต้องเป็นหนี้ที่ปิดจบไม่ได้ ซึ่งตรงนี้ก็เข้าข่ายคำว่า “สูงอายุ” อยู่แล้ว เช่น ลูกหนี้อายุ 80 ปี แต่ยังปิดหนี้ไม่ได้ ยังมีภาระหนี้อยู่ ลักษณะนี้ถือว่าเข้าข่ายนิยามของคำว่าหนี้เรื้อรังชัดเจน แต่ท้ายที่สุดคงต้องมารอความชัดเจนจาก สศค. อีกครั้้ง ก่อนสรุปและเสนอให้ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณา

“เรื่องนี้ค่อนข้างซับซ้อน เพราะลูกหนี้ของ ธ.ก.ส. บางรายมีหลายบัญชี บางบัญชีมีหลักประกัน บางบัญชีเป็นการค้ำประกันแบบกลุ่ม บางบัญชีค้ำประกันแบบบุคคล บางรายมี 10 บัญชี ก็ต้องไปดูอีกว่ามีบัญชีหนี้ดีกี่บัญชี และหนี้เสียกี่บัญชี ตอนนี้นโยบายยังไม่ได้สรุปออกมาชัดเจนว่าจะแฮร์คัตให้ลูกหนี้กลุ่มอายุเท่าไหร่ แต่ ธ.ก.ส. ได้เตรียมข้อมูลลูกหนี้กลุ่มอายุ 70 ปี ที่มีสถานะเป็นหนี้เรื้อรังเอาไว้ แต่การแฮร์คัต หรือการตัดหนี้สูญนี้ หลักการของมูลค่าหลักประกัน คือ รัฐจะต้องเสียหายน้อยที่สุด ส่วนรายละเอียดอื่น ๆ ก็ต้องมาดูว่าหากเป็นหนี้ที่มีหลักประกันธนาคารจะดำเนินการอย่างไร หากเกิดความเสียหายต่อธนาคาร คลังในฐานะเจ้าสังกัดจะพิจารณาอย่างไร” นายฉัตรชัย กล่าว

ส่วนภาพรวมการดำเนินงานของ ธ.ก.ส. นั้น ปัจจุบัน มียอดสินเชื่อคงค้าง 1.67 ล้านล้านบาท โดยในปีบัญชี 2568 (เม.ย.68-มี.ค.69) ธนาคารมีเป้าหมายปล่อยสินเชื่อใหม่ 3-5 หมื่นล้านบาท ขณะที่ NPL ปัจจุบันอยู่ที่ 5.31% โดยแนวโน้มในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา หนี้เสียปรับตัวเพิ่มขึ้นต่ำกว่าแผน ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากมาตรการปรับโครงสร้างหนี้ที่ยังดำเนินการอยู่ และการพัฒนาระบบติดตามหนี้ รวมถึงลูกค้าเริ่มมีการปรับพฤติกรรมการชำระหนี้ เมื่อมีกระแสรายได้เข้ามาก็จ่า่ยหนี้ทันทีโดยไม่รอจนกระทั่งครบกำหนดชำระ ส่วนทั้งปีบัญชี 2568 ประเมินว่า NPL ของธนาคารจะอยู่ที่ราว 5.5% บวกลบ ซึ่งยืนยันว่างบดุลของธนาคารสามารถรองรับได้

ทั้งนี้ ปัจจัยที่เป็นความท้าทายของ ธ.ก.ส. คือ ความสามารถในการชำระคืนหนี้ เนื่องจากปัจจุบันลูกค้าเกษตรกรมีอายุเพิ่มสูงขึ้นเรื่อย ๆ ขณะที่ลูกหลานไม่ได้อยู่ในภาคการเกษตร รวมถึงเทคโนโลยีการผลิตที่ยังเป็นยุคเก่า ทำให้ไม่เกิดการสร้างมูลค่าเพิ่มอย่างมีประสิทธิภาพ โดยสิ่งที่ธนาคารเร่งดำเนินการ คือการส่งเสริมเกษตรกรผ่านการยกระดับเป็น smart farmer และ young smart farmer เพื่อยกระดับการผลิตภาคเกษตรเพื่อให้สามารถผลิตได้เพิ่มขึ้น ซึ่งจะช่วยให้สามารถสร้างมูลค่าเพิ่มได้มากขึ้น เช่น 1 ฤดูกาลผลิตระยะสั้น (4 เดือน) สามารถสร้างมูลค่าได้ 8 หมื่นบาท ตรงนี้จะเท่ากับการทำงานของปริญญาตรีที่อยู่ในเมือง เป็นต้น

นายฉัตรชัย กล่าวอีกว่า ในส่วนของการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนั้น ที่ผ่านมา ธ.ก.ส. ได้มีการปรับลดไปค่อนข้างมากแล้วในช่วงก่อนหน้านี้ ซึ่งเมื่อมาพิจารณาในรายละเอียดภายใต้สัญญากู้เงินของเกษตรกรแต่ละสัญญา ซึ่งมีวงเงินกู้ต่ำกว่า 300,000 บาท เมื่อคำนวณดอกเบี้ยที่ลดลงออกมาก็แทบจะมีผลในหลักบาทเท่านั้น และลูกค้าส่วนใหญ่ในกลุ่มนี้ก็ได้เข้าสู่มาตรการพักหนี้ไปเกือบทั้งหมดด้วย ดังนั้นมองว่าการปรับลดอัตราดอกเบี้ยที่จะมีผลต่อลูกค้าอย่างแท้จริง ก็ต่อเมื่อกรณีที่มีการปรับลดลงเยอะมากจริง ๆ

อย่างไรก็ดี ในส่วนของความคืบหน้ายอดหนี้ที่รัฐบาลต้องชำระคืน ธ.ก.ส. จากการดำเนินโครงการรับจำนำข้าว ในยุครัฐบาล นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นั้น นายฉัตรชัย ระบุว่า ตัวเลขความเสียหายยังเป็นไปตามตัวเลขที่ ธ.ก.ส. ได้ดำเนินการสำรองจ่ายไป ส่วนภาระผูกพันงบประมาณในการใช้คืน ธ.ก.ส. คงเป็นอีกเรื่องหนึ่ง ที่สำนักงบประมาณ ซึ่งเป็นคนคุมตัวเลขบัญชีธุรกรรมตามนโยบายรัฐ (PSA) จะเป็นผู้พิจารณาจัดสรรงบประมาณลงมา

ทั้งนี้ ต้องยอมรับว่าบัญชี PSA ทั้งหมดมีหลายโครงการ และโครงการรับจำนำข้าวก็เป็น 1 ในบัญชีดังกล่าว ซึ่งสำนักงบประมาณจะต้องแจงลงมาว่าแต่ละปีงบประมาณ แต่ละโครงการในบัญชี PSA จะได้รับจัดสรรชดเชยเท่าไหร่ และเหลือยอดเท่าไหร่

“เราไม่ได้เป็นคนคุมยอด เรื่องนี้เป็นหน้าที่อขงสำนักงบประมาณ แต่ในมิติของความเสียหายก็คือความเสียหาย ภาระผูกพันงบประมาณที่ต้องใช้คืนก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง ซึ่งความเสียหายก็ยังต้องเป็นไปตามตัวเลขของ ธ.ก.ส. และสำนักงบประมาณ ดังนั้นตัวเลขความเสียหายเป็นเรื่องที่ต้องไปคำนวณกันเอง ส่วนถามว่าปีงบประมาณ 2569 ยอดเหลือเท่าไหร่ เราจำไม่ได้ เพราะตัวเลขอยู่ที่สำนักงบประมาณ ส่วนการขอจัดสรรงบชดเชยบัญชี PSA เราขอเต็มทุกปี ส่วนสำนักงบประมาณจะจัดสรรมาให้เท่าไหร่ก็เป็นเรื่องของเขา” นายฉัตรชัย ระบุ

เพิ่มเพื่อน