บอร์ด รฟท.รับทราบแก้สัญญา 'ไฮสปีด 3 สนามบิน'

‘บอร์ด’ รฟท.รับทราบความเห็นอัยการสูงสุดตอบกลับแก้สัญญา ‘ไฮสปีด 3 สนามบิน’ แนะทบทวน 5 เงื่อนไขให้รอบคอบ ลุ้นเอกชนส่งหนังสือตอบกลับ เตรียมถกร่วมกันเดินหน้าต่อภายในเดือน ก.ย. นี้ ปักธงเซ็นสัญญาปี 68

22 ส.ค.2568 – นายอนันต์  โพธิ์นิ่มแดง รองผู้ว่าการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 21 ส.ค.ที่ผ่านมา คณะกรรมการ (บอร์ด) รฟท.มีมติถึงการรายงานผลการตรวจพิจารณาร่างแก้สัญญาร่วมลงทุนโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน (ดอนเมือง – สุวรรณภูมิ – อู่ตะเภา) ของสำนักงานอัยการสูงสุดนั้น เมื่อวันที่ 15 ส.ค.ที่ผ่านมา โดยอัยการสูงสุดได้ตอบกลับร่างแก้ไขสัญญาโครงการดังกล่าวมาที่ รฟท.แล้ว

ทั้งนี้ ที่ประชุมได้รับทราบภายหลังอัยการสูงสุดตั้งข้อสังเกตในหลายประเด็นโดยให้รฟท.ไปทบทวนเงื่อนไขของสัญญาฉบับใหม่ทั้ง 5 ประเด็นหลักให้เรียบร้อยว่าสามารถดำเนินการได้หรือไม่ เพื่อรักษาประโยชน์ของภาครัฐให้มากที่สุด  เบื้องต้นต้องรอทางเอกชนจัดทำคำชี้แจงตอบกลับข้อสังเกตของอัยการสูงสุดโดยยืนยันว่าจะดำเนินการตามกรอบเวลาที่กพอ.อนุมัติไว้ จากนั้นจะนัดประชุมร่วมกับเอกชนเพื่อหารือถึงข้อสังเกตของอัยการสูงสุดอีกครั้ง โดยคาดว่าจะได้ข้อสรุปภายในเดือนก.ย.นี้

อย่างไรก็ดี ตามแผนหากหารือร่วมกับเอกชนแล้วเสร็จ จะต้องรายงานไปยังสกพอ.และคณะกรรมกำกับสัญญาฯ พิจารณาก่อนเสนอต่อคณะกรรมการกพอ.(บอร์ดอีอีซี) และคณะรัฐมตรี (ครม.) เห็นชอบต่อไป คาดว่าจะเร่งรัดลงนามสัญญาให้ได้ภายในปีนี้  ส่วนความเห็นที่อัยการสูงสุดมีข้อกังวลถึงประเด็นการชำระค่าสิทธิให้ร่วมลงทุนในโครงการแอร์พอร์ตเรลลิงก์ (ARL) โดยให้เอกชนแบ่งชำระค่าสิทธิจำนวน 10,671.09 ล้านบาท เป็น 7 งวด เป็นรายปี จำนวนเท่า ๆ กัน ซึ่งต้องชำระงวดแรก ณ วันที่ลงนามแก้ไขสัญญานั้น หากเอกชนจ่ายค่าใช้สิทธิ์ไม่ครบถ้วนก็ไม่ควรจะได้สิทธิ์บริหารโครงการ

นอกจากนี้ ยังมีประเด็นการปรับวิธีการชำระเงินที่รัฐร่วมลงทุนในโครงการฯ (Public Investment Cost: PIC) ทั้งโครงการากเดิมกำหนดชำระเงินเมื่อก่อสร้างโครงการฯ แล้วเสร็จและเริ่มเปิดให้บริการเดินรถ แล้ว จำนวนไม่เกิน 149,650 ล้านบาท เป็นโดยรัฐต้องจ่ายเร็วขึ้นตามจ่ายเป็นงวด ตามความก้าวหน้าของงานก่อสร้างที่ รฟท. ตรวจรับ ซึ่งวงเงินรวมเป็น 125,932.54 ล้านบาท ซึ่งทำให้รัฐประหยัดค่าดอกเบี้ยได้ประมาณ 24,000 ล้านบาท อาจขัดต่อหลักการกับสัญญานั้น ในประเด็นทั้ง 2 นี้ที่ผ่านมาเคยมีการรายงานผลการเจรจาแก้ไขร่างสัญญาแล้วตามหลักการของกพอ.ซึ่งครม.เคยอนุมัติแล้วไม่ได้ขัดต่อหลักการ

สำหรับ 5 ประเด็นที่อัยการสูงสุดตั้งข้อสังเกตให้รฟท.ไปดำเนินการทบทวนให้เรียบร้อย ดังนี้  ดังนี้ 1. วิธีชำระเงินที่รัฐร่วมลงทุน (Public Investment Cost : PIC) จากเดิม รัฐจะจ่ายเมื่อเอกชนเปิดเดินรถไฟความเร็วสูง โดยรัฐจะ “แบ่งจ่าย” เป็นเวลา 10 ปี ปีละเท่า ๆ กัน รวมเป็นเงิน 149,650 ล้านบาท เปลี่ยนมาเป็นรัฐจะจ่ายเป็นงวดตามความก้าวหน้าของงานก่อสร้างที่ รฟท.ตรวจรับ วงเงินไม่เกิน 120,000 ล้านบาท แต่มีเงื่อนไขให้เอเชีย เอรา วัน ต้องวางหลักประกันเพิ่มเติมจากสัญญาเดิม รวมเป็นจำนวน 152,164 ล้านบาท เพื่อประกันว่างานก่อสร้างและรถไฟความเร็วสูงจะเปิดให้บริการได้ภายในระยะเวลา 5 ปี กรรมสิทธิ์สิ่งปลูกสร้างจะทยอยตกเป็นของ รฟท.ทันทีตามงวดการจ่ายเงินนั้น ๆ

2. การกำหนดการชำระค่าสิทธิให้ร่วมลงทุนในโครงการแอร์พอร์ตเรลลิงก์ (ARL) จะให้เอเชีย เอรา วัน แบ่งชำระค่าสิทธิ จำนวน 10,671.09 ล้านบาท ออกเป็น 7 งวด เป็นรายปี ในจำนวนแบ่งชำระเท่า ๆ กัน แต่บริษัทจะต้องชำระงวดแรก ณ วันที่ลงนามแก้ไขสัญญากับ รฟท.และบริษัทยังต้องวางหนังสือค้ำประกันที่ออกโดยธนาคารในมูลค่าเท่ากับค่าสิทธิ ARL รวมถึงค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการเงินอื่น ๆ ที่ รฟท.จะต้องรับภาระด้วย 3. การกำหนดส่วนแบ่งผลประโยชน์ตอบแทน (Revenue Sharing) เพิ่มเติม หากในอนาคตอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ของโครงการลดลงอย่างมีนัยสำคัญและเป็นผลทำให้เอเชีย เอรา วัน ได้ผลประโยชน์ตอบแทน (IRR) เพิ่มขึ้นเกินกว่า 5.52% แล้วก็จะให้สิทธิ รฟท.เรียกให้บริษัทชำระส่วนแบ่งผลประโยชน์เพิ่มได้ตามแต่จะตกลงกันต่อไป

4. การ “ยกเว้น” เงื่อนไขการออกหนังสือแจ้งให้เริ่มงาน (Notice to Proceed : NTP) ให้คู่สัญญาจัดทำบันทึกความตกลงยกเว้นเงื่อนไข NTP ที่ยังไม่สำเร็จ (การรับบัตรส่งเสริมการลงทุนจากบีโอไอ) เพื่อให้ รฟท.สามารถออกหนังสือ NTP ให้กับเอเชีย เอรา วัน ได้ทันทีหลัง 2 ฝ่ายลงนามในการแก้ไขสัญญา  และ5. ป้องกันการเกิดปัญหาในอนาคตที่อาจเกิดขึ้นจากเหตุการณ์ที่ส่งผลกระทบรุนแรงต่อสถานะทางการเงินของโครงการ โดยทำการปรับปรุงข้อสัญญาในส่วนของ “เหตุสุดวิสัย” กับ “เหตุผ่อนปรน” ให้สอดคล้องกับสัญญาร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชนในโครงการอื่น

อย่างไรก็ตามในการแก้ไขสัญญาใหม่นั้นยังมีหลักประกันเพิ่มเติมที่เอกชนต้องนำมาวางการันตีในการดำเนินโครงการนี้ รวมวงเงินประมาณ 160,000 ล้านบาท ซึ่งจะต้องนำมาวางให้กับ รฟท.ภายใน 270 วันหลังลงนามแก้ไขสัญญา ประกอบด้วยหนังสือค้ำประกันค่าก่อสร้างงานโยธา 125,932.54 ล้านบาท นอกจากนี้ยังมีหนังสือค้ำประกันงานระบบ 14,813.49 ล้านบาท หนังสือค้ำประกันคุณภาพเดินรถ 748.25 ล้านบาทและหนังสือค้ำประกันค่าสิทธิบริหารรถไฟฟ้าแอร์พอร์ตเรลลิงก์ (ARL) 10,671 ล้านบาท โดยวันลงนามสัญญาใหม่ เอกชนจะต้องชำระค่าสิทธิบริหาร ARL งวดแรกทันทีประมาณ 1,500 ล้านบาท และส่วนที่เหลือกำหนดทยอยชำระรวม 7 งวด

เพิ่มเพื่อน