
เงินบาทแข็งค่ามากสุดในรอบ 4 ปี นำค่าเงินภูมิภาคจาก ทั้งปัจจัยภายนอกโดยเฉพาะการอ่อนค่าของ USD และปัจจัยเฉพาะภายในของไทย
26 ก.ย. 2568 – ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ SCB EIC ระบุว่า นับตั้งแต่ต้นปี 2025 เงินบาทเทียบดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้นมากราว 8% และแข็งค่ามากสุดในรอบ 4 ปีนำค่าเงินภูมิภาค หากพิจารณาดัชนีค่าเงินบาทเปรียบเทียบค่าเงินบาทกับสกุลเงินคู่ค้าและคู่แข่ง (NEER) พบว่าปรับแข็งค่าสูงสุดตั้งแต่วิกฤติการเงินเอเชียปี 1997 สาเหตุจากหลายปัจจัย คือ 1. ดอลลาร์อ่อนค่าเร็ว : หลังประธานาธิบดีทรัมป์เข้ามารับตำแหน่งสมัยที่สอง 2. ราคาทองคำเพิ่มขึ้นต่อเนื่องทำ New high : ตามความเสี่ยงภูมิรัฐศาสตร์ และในฐานะ Safe asset ที่ทองคำเริ่มมีบทบาทแทนดอลลาร์สหรัฐมากขึ้น โดยความสัมพันธ์ของเงินบาทกับราคาทองคำสูงกว่าสกุลเงินอื่นในภูมิภาคมาก 3. ปัจจัยระยะสั้น : เงินทุนไหลกลับเข้าตลาดบอนด์ไทย ขณะที่ FX Hedging เงินลงทุนหลักทรัพย์ต่างประเทศของไทยมีสัดส่วนสูงขึ้น
เงินบาทแข็งค่าขึ้นมากสวนทางปัจจัยพื้นฐานเศรษฐกิจไทยที่เติบโตต่ำ บทบาทของค่าเงินบาทเปลี่ยนจาก Shock absorber ที่ควรจะช่วยลดผลกระทบจาก Shock ต่อเศรษฐกิจ กลายเป็น Shock amplifier ที่กดดันเศรษฐกิจเพิ่มเติม สถานการณ์นี้ยิ่งซ้ำเติมการส่งออกไทยซึ่งเผชิญแรงกดดันจากภาษี Reciprocal tariff ของสหรัฐฯ อยู่แล้ว แม้ไทยสามารถเจรจาอัตราภาษีสหรัฐฯ ได้ที่ 19% ใกล้เคียงคู่แข่งในภูมิภาค แต่เงินบาทที่แข็งค่านำภูมิภาคกลับทำให้ไทยเสียความสามารถในการแข่งขัน หากเปรียบเทียบกับเวียดนามและมาเลเซียที่ถูกสหรัฐฯ เก็บภาษีในอัตราใกล้กัน แต่ค่าเงินไม่ได้แข็งค่ามาก กลายเป็นแรงกดดันต่อภาคส่งออกและเศรษฐกิจไทยโดยรวม ในช่วงที่เศรษฐกิจไทยเติบโตต่ำและมีความเสี่ยงจากนโยบายกีดกันการค้า ยิ่งทำให้ความสามารถในการแข่งขันของประเทศบั่นทอนลง
SCB EIC มองธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากบาทแข็ง เป็นธุรกิจที่เน้นผลิตเพื่อส่งออกและใช้ปัจจัยการผลิตในประเทศสูง รวมถึงธุรกิจบริการที่พึ่งพารายได้ต่างชาติมาก การแข็งค่าของเงินบาทส่งผลกระทบต่อธุรกิจไทยแตกต่างกันไปตามโครงสร้างการพึ่งพารายได้จากต่างประเทศ โดย
1. กลุ่มธุรกิจที่ได้รับผลกระทบเชิงลบสูง–ปานกลาง
ธุรกิจส่งออกที่ใช้ปัจจัยการผลิตในประเทศสูง เช่น เกษตรและอาหารทะเล (ยางพารา, มันสำปะหลัง และกุ้ง) สูญเสียความสามารถแข่งขันเทียบกับคู่แข่งที่ค่าเงินอ่อน และรายได้ส่งออกที่แลกกลับมาเป็นเงินบาทลดลง
ธุรกิจท่องเที่ยว (โรงแรม และบริษัทนำเที่ยว) เสี่ยงเสียเปรียบจากนักท่องเที่ยวต่างชาติมองค่าใช้จ่ายเที่ยวไทยสูงขึ้น โดยเฉพาหากเทียบกับประเทศค่าเงินอ่อน เช่น ญี่ปุ่น
2. กลุ่มธุรกิจที่ได้รับผลกระทบต่ำ
ธุรกิจที่พึ่งพารายได้และต้นทุนจากต่างประเทศใกล้เคียงกัน เช่น อาหารแปรรูป (ทูน่ากระป๋องและอาหารสำเร็จรูป) ยานยนต์, อิเล็กทรอนิกส์, ปิโตรเคมี และบริการอย่างสายการบิน–โรงพยาบาลเอกชน แม้รายได้ส่งออกหรือรายได้จากนักท่องเที่ยวต่างชาติอาจลดลง แต่ธุรกิจยังมีส่วนชดเชยจากต้นทุนนำเข้าที่ถูกลง และบางอุตสาหกรรมยังได้ประโยชน์จากหนี้สกุลดอลลาร์สหรัฐที่ชำระเป็นเงินบาทถูกลง
ธุรกิจกลุ่มนี้สามารถใช้ Natural hedging หรือการปรับโครงสร้างการผลิต เพื่อลดความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนในระยะยาวได้
3. กลุ่มธุรกิจที่ได้อานิสงส์เชิงบวก
ธุรกิจที่พึ่งพาตลาดในประเทศ แต่ใช้วัตถุดิบนำเข้ามาก เช่น เหล็ก (นำเข้าเหล็กแผ่นรีดร้อน) ก่อสร้าง อสังหาริมทรัพย์ และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ได้ประโยชน์จากต้นทุนนำเข้าที่ลดลง
ผลบวกที่เกิดขึ้นอาจถูกลดทอนจากการแข่งขันนำเข้าที่รุนแรงขึ้น และความต้องการในประเทศที่ยังฟื้นตัวช้า โดยเฉพาะภาคอสังหาริมทรัพย์
แม้ในระยะข้างหน้าเงินบาทจะแข็งค่าเพิ่มได้อีกไม่มาก แต่ความไม่แน่นอนยังมีอยู่สูง แนะนำผู้ประกอบการให้ความสำคัญป้องกันความเสี่ยงค่าเงิน
SCB FM ประเมินในระยะข้างหน้าเงินบาทจะแข็งค่าเพิ่มอีกไม่มาก เนื่องจากตลาดได้ Price-in ปัจจัยส่วนต่างดอกเบี้ยสหรัฐฯ-ไทยไปมากแล้ว แรงกดดันที่จะทำให้ดัชนีเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าเพิ่มเติมมีน้อยลง นอกจากนี้ปัจจัยหนุนให้ราคาทองคำสูงขึ้นต่อเริ่มมีน้อยลง จึงทำให้อุปสงค์ทองคำอาจไม่เร่งตัวมากเท่าช่วงที่ผ่านมา แรงกดดันเงินบาทแข็งจึงอาจมีไม่มาก มองกรอบเงินบาทปลายปีนี้ที่ราว 31.50-32.00 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ
SCB FM แนะนำให้ผู้ประกอบการให้ความสำคัญป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยน ผ่านการทำ FX Forwards และอาจพิจารณา FX Options เป็นอีกทางเลือก โดยในช่วงที่ผ่านมาความผันผวนของค่าเงิน (FX Volatility) ปรับลดลง ทำให้ต้นทุนการทำ FX Options ถูกลงไปด้วย จึงอาจเป็นจังหวะให้ผู้ประกอบการเข้าทำธุรกรรมป้องกันความเสี่ยงค่าเงินที่ยังมีความไม่แน่นอนสูงในระยะข้างหน้า
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
'น้ำท่วมหาดใหญ่' เพิ่มเงื่อนไขซักฟอก 'อนุทิน'
นายเทพไท เสนพงศ์ โพสต์คลิปพร้อมข้อความผ่านเฟซบุ๊กว่า น้ำท่วมหาดใหญ่ เพิ่มเงื่อนไขซักฟอกอนุทิน
SCB EIC ชี้ปี69อุตฯอาหารทะเลไทยเผชิญปัจจัยเสี่ยงทั้งภาษีทรัมป์-แข่งขันรุนแรง
SCB EIC มองอุตสาหกรรมอาหารทะเลของไทยในปี 2569 มีแนวโน้มเผชิญปัจจัยเสี่ยงด้านลบสูงขึ้น ทั้งจากอุปสงค์ที่อ่อนแอ ภาษีทรัมป์ และการแข่งขันที่รุนแรงขึ้น
'นักวิชาการ' ชี้นายกฯป้องอธิปไตย ไม่ทำไทยเสี่ยง 'รัฐบริวาร'
รศ.ดร.ชิดตะวัน ชนะกุล อาจารย์ด้านเศรษฐศาสตร์และการเมือง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กว่า ไทยไม่ใช่ “รัฐบริวาร”!


