SCB EIC มองอุตสาหกรรมอาหารทะเลของไทยในปี 2569 มีแนวโน้มเผชิญปัจจัยเสี่ยงด้านลบสูงขึ้น ทั้งจากอุปสงค์ที่อ่อนแอ ภาษีทรัมป์ และการแข่งขันที่รุนแรงขึ้น
นางสาวโชติกา ชุ่มมี ผู้จัดการกลุ่มธุรกิจสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมการผลิต ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB EIC) เปิดเผยว่า ภาพรวมการเติบโตของอุตสาหกรรมอาหารทะเลของไทยในปี 2569 ยังอยู่ในภาวะเปราะบาง ท่ามกลางความเสี่ยงรอบด้านในระบบเศรษฐกิจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผลกระทบจากนโยบายภาษีทรัมป์ รวมทั้งความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ และปัญหาความขัดแย้งในหลายภูมิภาคของโลกที่ยังคงมีแนวโน้มยืดเยื้อ ซึ่งความเสี่ยงด้านลบ เหล่านี้ ส่งผลให้แนวโน้มการเติบโตทางเศรษฐกิจในประเทศคู่ค้าหลักดั้งเดิมของไทย ซึ่งได้แก่ จีน, สหรัฐฯ และญี่ปุ่น รวมทั้งการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกโดยรวมจะยังอยู่ในภาวะซบเซาต่อเนื่อง ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของผู้บริโภคในตลาดโลก และมีผลให้การใช้จ่ายในสินค้าอาหารที่ถูกจัดอยู่ในกลุ่ม Luxury food เช่น โปรตีนจากอาหารทะเล ได้รับผลกระทบตามไปด้วย
โดยมูลค่าการส่งออกทูน่ากระป๋องของไทยในปี 2569 มีแนวโน้มเติบโตดีขึ้นจากปีนี้ โดยคาดว่าจะอยู่ที่ 1.6%YOY แต่ยังถือว่าเป็นระดับการเติบโตที่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในอดีตอยู่พอสมควร เนื่องจากคาดว่าผลกระทบจากนโยบายภาษีทรัมป์ ทำให้ไทยมีความเสี่ยงที่อาจจะสูญเสียส่วนแบ่งตลาดบางส่วนในตลาดส่งออกหลักอย่างสหรัฐฯ ให้กับคู่แข่งที่โดนเก็บ Reciprocal tariff ต่ำกว่าอย่าง เอกวาดอร์ อย่างไรก็ดี ภาพรวมผลกระทบต่อแนวโน้มการส่งออกทูน่ากระป๋องอาจจะไม่รุนแรงมากนัก เนื่องจากไทยยังคงมีความได้เปรียบและจุดแข็งในเรื่องต้นทุนการผลิตที่ต่ำกว่าคู่แข่งหลักรายอื่นในตลาด รวมทั้งคุณภาพและมาตรฐานสินค้าที่ได้รับการยอมรับในระดับสากลมาอย่างยาวนาน
ขณะที่การส่งออกกุ้งและผลิตภัณฑ์มีแนวโน้มได้รับผลกระทบจากมาตรการภาษีทรัมป์รุนแรงมากกว่าทูน่า โดยคาดว่ามูลค่าการส่งออกกุ้งในปี 2569 จะหดตัวต่อเนื่องเป็นปีที่ 4 ที่ -2.6%YOY โดยคาดว่าภาพรวมอุปสงค์กุ้งโลกในปีหน้าจะยังคงอยู่ในภาวะอ่อนแอ ท่ามกลางแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจที่ยังเปราะบาง ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นและกำลังซื้อผู้บริโภคให้ปรับลดลงตามไปด้วย นอกจากนี้ คาดว่าผลกระทบจากมาตรการภาษีสหรัฐฯ จะเห็นผลชัดเจนมากขึ้น ซึ่งจะยิ่งกดดันให้ศักยภาพการแข่งขันของกุ้งไทยในตลาดโลกปรับตัวแย่ลงมากขึ้นกว่าเดิม เนื่องจากการผลิตกุ้งของไทยมีต้นทุนที่สูงกว่าคู่แข่งเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ทั้งในส่วนของต้นทุนอาหารกุ้ง ค่าแรง ต้นทุนด้านพลังงาน รวมทั้งต้นทุนในการควบคุมโรคและมาตรการการเลี้ยงกุ้งในฟาร์มที่เข้มงวดมูลค่าการส่งออกทูน่ากระป๋องและกุ้งของไทย
นางสาวโชติกากล่าวว่าสำหรับความท้าทายสำคัญที่ผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมอาหารทะเลและภาครัฐจำเป็นต้องให้ความสำคัญ ซึ่งจะมีผลต่อแนวโน้มการเติบโตของอุตสาหกรรมอาหารทะเลในระยะข้างหน้า ได้แก่ มาตรการกีดกันทางการค้าที่ไม่ใช่ภาษี (NTBs) โดยเฉพาะอย่างยิ่งปัญหาการค้ามนุษย์และการใช้แรงงานผิดกฎหมายในอุตสาหกรรมประมง ซึ่งประเด็นปัญหานี้เป็นสิ่งที่รัฐบาลไทยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องเร่งแก้ไขเพื่อให้สอดคล้องกับมาตรฐานขั้นต่ำของสหรัฐฯ ซึ่งนอกจากจะลดอุปสรรคทางการค้าที่มิใช่ภาษี (NTBs) แล้ว ยังมีส่วนช่วยส่งเสริมภาพลักษณ์ที่ดีของสินค้าอาหารทะเลไทยในสายตาชาวโลกได้อีกด้วย นอกจากนี้ ภาครัฐจะต้องให้ความสำคัญกับมาตรการกำกับดูแลการทำประมงอย่างยั่งยืนและการเฝ้าระวังการทำประมงผิดกฎหมาย (IUU fishing) ควบคู่กันไปด้วย ขณะที่ความท้าทายด้านอื่น ๆ ที่ผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมอาหารทะเลต้องติดตามอย่างใกล้ชิด คือ ปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate change) และภาวะ Ocean warming ที่มีผลต่อระบบนิเวศทางทะเล ความหลากหลายทางชีวภาพ และกระทบต่ออุปทานสัตว์น้ำต่าง ๆ รวมทั้งต้องเตรียมรับมือกับปัญหาขาดแคลนแรงงานในอุตสาหกรรมประมง และการแข่งขันจากสินค้านวัตกรรมใหม่ ๆ (Novel foods) เช่น โปรตีนทางเลือกใหม่ ๆ รวมทั้งโปรตีนทดแทนจากพืช (Plant-based seafood) ที่กำลังทยอยพัฒนาออกสู่ตลาดอาหารทะเล และได้รับการตอบรับจากผู้บริโภคในตลาดโลกมากขึ้นอย่างต่อเนื่องในปัจจุบัน
อย่างไรก็ตาม SCB EIC มองว่า ผู้ประกอบการอุตสาหกรรมอาหารทะเลควรปรับเปลี่ยนกลยุทธ์การเติบโตเพื่อรับมือกับความท้าทายด้านต่าง ๆ และยกระดับศักยภาพการแข่งขันในตลาดโลก ดังนี้ วิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์อาหารทะเลโดยเน้นการสร้างมูลค่าเพิ่มที่สูงขึ้น โดยต้องให้ความสำคัญกับเรื่องมาตรฐานและคุณภาพ ความปลอดภัย และความยั่งยืน ตลอดห่วงโซ่การผลิต พร้อม ๆ ไปกับเน้นปรับพอร์ตสินค้าอาหารทะเลไปสู่กลุ่มพรีเมียมและสินค้าเพื่อสุขภาพให้มากขึ้น เพื่อให้สอดรับกับ Megatrend โลก ลดอุปสรรคทางการค้าระหว่างประเทศ และหลีกหนีการแข่งขันด้านราคา (Price war)
นอกจากนี้ต้องเร่งกระจายตลาดส่งออกให้มีความหลากหลายมากขึ้น เพื่อลดความเสี่ยงจากการพึ่งพาอุปสงค์จากตลาดส่งออกดั้งเดิมโดยเฉพาะสหรัฐฯ โดยควรพยายามเจาะฐานผู้บริโภคในตลาดเกิดใหม่ (Emerging markets) ซึ่งยังมีคู่แข่งน้อย นำ AI, IoT และเทคโนโลยีที่ทันสมัย เช่น Blockchain เข้ามาปรับใช้ในห่วงโซ่การผลิต ตั้งแต่การจับปลา เพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ แปรรูป ไปจนถึงขนส่งและโลจิสติกส์ เพื่อยกระดับประสิทธิภาพการผลิต ลดต้นทุน และเพิ่มความน่าเชื่อถือจากการพัฒนาระบบตรวจสอบย้อนกลับ และสร้างพันธมิตรเพื่อวิจัยและพัฒนานวัตกรรมใหม่ ๆ ร่วมกัน (Collaborative innovation) เช่น การเชื่อมโยงผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมอาหารทะเลกับผู้พัฒนาเทคโนโลยี หรือกลุ่ม Startup เพื่อช่วยให้สามารถตอบโจทย์ผู้บริโภคและผลิตสินค้าออกสู่ตลาดได้รวดเร็วยิ่งขึ้น.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
'น้ำท่วมหาดใหญ่' เพิ่มเงื่อนไขซักฟอก 'อนุทิน'
นายเทพไท เสนพงศ์ โพสต์คลิปพร้อมข้อความผ่านเฟซบุ๊กว่า น้ำท่วมหาดใหญ่ เพิ่มเงื่อนไขซักฟอกอนุทิน
'นักวิชาการ' ชี้นายกฯป้องอธิปไตย ไม่ทำไทยเสี่ยง 'รัฐบริวาร'
รศ.ดร.ชิดตะวัน ชนะกุล อาจารย์ด้านเศรษฐศาสตร์และการเมือง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กว่า ไทยไม่ใช่ “รัฐบริวาร”!
'จตุพร' ปลุกม็อบต้าน 'ทรัมป์-อันวาร์' 22 พ.ย. ฟาดฝ่ายค้านหัวหด
'คณะรวมพลัง' นัดสำแดงพลังเอกราชชาติ ม็อบหน้าสถานทูต 22 พ.ย. ต้าน 'ทรัมป์-อันวาร์' รุมข่มเหงไทย ฟาดฝ่ายค้านหัวหดกลัวสหรัฐ
อดีตรองอธิการบดี มธ. สะกิด 'สภาหอการค้า-สภาอุตฯ' หนุน 'นายกฯ' หาตลาดใหม่สู้สหรัฐ
อดีตรองอธิการบดี มธ. ขอเชียร์ให้นายกรัฐมนตรียึดมั่นในความถูกต้อง ไม่ยอมก้มหัวให้ประเทศมหาอำนาจ จัดการกับกัมพูชาให้จบให้ได้ หากทำได้โอกาสที่จะกลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีอีกครั้งหลังการเลือกตั้ง จะเท่ากับ 100%


