'หงเปา(Hong Bao)' ขยับสเต็ปพลิกเกมสู่โอกาส! วัดใจเศรษฐกิจ:ปรับกลยุทธ์สู้ปัจจัยเสี่ยงไต่ระดับดาวเด่นภัตตาคารอาหารจีน

ในปัจจุบันภาวะเศรษฐกิจมีความผันผวนสูง ส่งผลให้หลายธุรกิจต้องเร่งปรับตัว เช่นเดียวกับ ‘ธุรกิจภัตตาคาร-ร้านอาหารจีน’ เพื่อให้สามารถแข่งขันและรักษาฐานลูกค้าได้ การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมผู้บริโภค รวมถึงต้นทุนวัตถุดิบและค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานที่เพิ่มขึ้น ทำให้ผู้ประกอบการต้องมองหาแนวทางการเพิ่มประสิทธิภาพทั้งในด้านการบริหารจัดการและการพัฒนาคุณภาพสินค้า เพื่อให้ตอบโจทย์ความต้องการของตลาดในยุคปัจจุบัน

นอกจากนี้ ธุรกิจภัตตาคาร-ร้านอาหารจีนยังต้องให้ความสำคัญกับประสิทธิภาพของบริการและการคัดเลือกวัตถุดิบที่ได้มาตรฐาน เพื่อสร้างประสบการณ์ที่ดีแก่ผู้บริโภคในทุกขั้นตอน ตั้งแต่การต้อนรับ การเสิร์ฟ ไปจนถึงความรวดเร็วและความสะอาดของอาหาร การใช้วัตถุดิบคุณภาพสูงร่วมกับระบบจัดการที่มีประสิทธิภาพ ช่วยลดต้นทุนในระยะยาวและเพิ่มความพึงพอใจของลูกค้า ส่งผลให้ธุรกิจสามารถเติบโตอย่างมั่นคงแม้อยู่ในสภาพเศรษฐกิจที่ท้าทาย

หงเปา (Hong Bao) ภัตตาคารอาหารจีนสไตล์กว้างตุ้ง คือหนึ่งในผู้เล่นของธุรกิจภัตตาคาร-ร้านอาหารจีน ที่เร่งปรับตัวให้สอดรับกับสถานการณ์เศรษฐกิจในปัจจุบันได้อย่างมีประสิทธิภาพ ด้วยกลยุทธ์ที่สำคัญ นั่นคือ การยกระดับคุณภาพเมนูอาหารผ่านการใช้กุ๊กที่มีความเชี่ยวชาญจากประเทศจีน ซึ่งมีความชำนาญเฉพาะด้านและสามารถถ่ายทอดรสชาติแบบดั้งเดิมได้อย่างแท้จริง การผสมผสานความเป็นต้นตำรับเข้ากับรสนิยมคนไทย ช่วยสร้างจุดขายที่โดดเด่นและเพิ่มคุณค่าให้กับแบรนด์ ทำให้ร้านอาหารสามารถรักษาความแตกต่างและสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ลูกค้าได้มากขึ้นในสภาวะการแข่งขันที่เข้มข้น

และกว่าจะมาถึงจุดที่ประสบความสำเร็จในปัจจุบันได้ ต้องบอกว่าเส้นทางของ หงเปา ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ นพดล นฤตรรกกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท หงเปา อีวี จำกัด เล่าว่า ย้อนกลับไปในปี 2564 บริษัทต้องเผชิญกับวิกฤติครั้งใหญ่จากสถานการณ์โควิด-19 ที่ส่งผลกระทบกับบริษัทอย่างหนัก ลูกค้าไม่สามารถเข้ามารับประทานอาหารที่ร้านได้ ส่งผลกระทบต่อรายได้และยังสร้างความท้าทายในหลายด้าน ทั้งด้านการเงิน การบริหารบุคลากร และการดำเนินงานโดยรวม

และเพื่อพยุงธุรกิจให้อยู่รอดต่อไปได้ในสถานการณ์ที่ยากลำบาก ในเดือน ก.ค. 2564 หงเปา  จึงตัดสินใจยื่นขอสินเชื่อกับสถาบันการเงิน โดยมี บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) ค้ำประกันเต็มวงเงิน ภายใต้โครงการ พ.ร.ก. สินเชื่อฟื้นฟูระยะที่ 1 กลุ่ม Micro&SMEs ซึ่งถือเป็นแรงสนับสนุนสำคัญที่ช่วยให้ธุรกิจสามารถยืนหยัดต่อไปได้

ด้วยความมุ่งมั่นของทีมงานทุกฝ่าย บวกกับการสนับสนุนจากพันธมิตรทางการเงิน หงเปา สามารถฟื้นฟูธุรกิจและกลับมาเติบโตได้อย่างแข็งแกร่ง ปี 2567 บริษัทเดินหน้าขยายการลงทุนอีกครั้ง โดยในเดือน ส.ค. 2567 หงเปา เดินหน้าขอสินเชื่อกับสถาบันการเงินอีกรอบ โดยมี บสย. ค้ำประกันสินเชื่อเต็มวงเงินเช่นเดิม ภายใต้โครงการค้ำประกันสินเชื่อ PGS11 บสย. SMEs ยั่งยืน (SMEs Ignite Biz) และสามารถเปิดสาขาแห่งใหม่ที่ ห้างพาราไดซ์ พาร์ค บนพื้นที่กว่า 632 ตารางเมตร สะท้อนถึงศักยภาพและความเชื่อมั่นในอนาคต จากบทเรียนวิกฤติที่เคยเผชิญ สู่ความสำเร็จในการนำพาองค์กรให้เติบโตได้อย่างแข็งแกร่งและยั่งยืน

ทั้งนี้ ปัจจุบัน หงเปา มีทั้งหมด 13 สาขาในกรุงเทพฯ และอีก 1 สาขาที่กรุงพนมเปญ ประเทศกัมพูชา ภายใต้บริบทที่โดนเด่นด้วยด้วยเมนูอาหารจีนที่มีความหลากหลายจากทีมเทฟมากประสบการณ์จากประเทศจีน ซึ่งทุกเมนูเน้นวัตถุดิบที่มีคุณภาพ สดใหม่ตามฤดูกาล พร้อมกับการยกระดับบริหารชั้นเลิศ ภายใต้ราคาที่สมเหตุสมผล อีกทั้งการตกแต่งร้านที่เน้นให้สื่อถึงวัฒนธรรมจีนสมัยใหม่ ทำให้ หงเปา มีความโดดเด่น และมีความเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว ที่ยังเป็นปัจจัยสำคัญในการดึงดูดกลุ่มลูกค้าให้เข้ามาใช้บริการได้อย่างต่อเนื่อง

“เรายกระดับทุกด้านในการเป็นเครือภัตตาคารอาหารจีนระดับพรีเมียม เพราะเรามองเห็นและเชื่อว่าธุรกิจอาหารจีนยังมีศัยกภาพในการเติบโตได้ในระยะยาว เพราะเป็นประเภทอาหารที่สามารถรับประทานได้ตลอดเวลา และเหมาะสมกับครอบครัว หรือการรวมกลุ่มที่หลากหลายวัย ตรงนี้ถือเป็นจุดเด่นและสอดคล้องกับโครงสร้างประชากรไทยที่มีเชื้อสายจีนอยู่เป็นจำนวนมาก” นพดล กล่าว

นพดล ยืนยันว่า ต้องยอมรับว่าที่ผ่านมาธุรกิจภัตตาคาร-ร้านอาหารจีน มีหลายร้านที่เกิดขึ้นและหายไปตามกระแส ตามเทรนด์ ด้วยปัจจัยหลายอย่างอาจทำให้ไม่เกิดความยั่งยืน แต่ในส่วนการดำเนินธุรกิจของ หงเปา ยึดมั่นใน 3 เสาหลัก คือ 1. คุณภาพอาหารที่สม่ำเสมอ วัตถุดิบทุกอย่างที่ใช้จะต้องเป็นของดี และเพื่อควบคุมรสชาติ รวมถึงคุณภาพของอาหาร หงเปา จึงเดินหน้าลงทุนครัวกลาง (Central Kitchen) ขนาดใหญ่ เพื่อการันตีคุณภาพของอาหารว่าอยู่ในเกณฑ์คุณภาพระดับ หงเปา ทุกสาขา อีกทั้งยังเป็นการช่วยลดต้นทุนและเพิ่มฐานการผลิตที่มีศักยภาพด้วย ซึ่งปัจจุบันอาหารราว 80% ของ หงเปา มาจากครัวกลาง

โดยเมนูที่มาจากครัวกลางส่วนใหญ่คือ ‘ติ่มซำและบาร์บีคิว’ จุดขายที่โดดเด่นของ หงเปา นั่นคือติ่มซำที่ปั้นสดใหม่ทุกเช้า เป็นการการันตีได้ว่าลูกค้าทุกคนจะได้รับประทานของที่สดใหม่ ดีและมีคุณภาพ ขณะเดียวกัน หงเปา ยังใช้เชฟจากประเทศจีนแท้ ๆ ในการรังสรรค์ทุกเมนูอาหารให้กับลูกค้า นั่นเป็นเครื่องสะท้อนได้ชัดเจนว่า ลูกค้าที่มาใช้บริการที่ร้านของเราจะได้พบกับอาหารจีนที่เป็นรสชาติจีนดั้งเดิม (Origial) 100% โดยปัจจุบันมีเชฟจีนในเครือราว 30 คน อยู่ที่ครัวกลาง 10 คน และประจำสาขาต่าง ๆ อีกราว 20 คน

2. บุคลากรและการบริหาร (Personnel and Service) ซึ่ง หงเปา เน้นการอบรม ดูแลพนักงานให้มีประสิทธิภาพเต็มที่ เพื่อที่พร้อมจะอยู่ทำงานด้วยกันในระยะยาว ดังนั้นพนักงานส่วนใหญ่จึงเติบโตตั้งแต่ระดับพนักงานเสิร์ฟ อยู่ด้วยกันจนขยับขยายขึ้นเป็นระดับผู้จัดการสาขาก็มี โดยกระบวนการทำงานสำคัญในส่วนนี้ อยู่ที่การสื่อสารกับลูกค้าอย่างตรงไปตรงมา และ 3. หน้าตาและความสะอาดของร้าน (Store Appearance and Hygiene) ที่ หงเปา มีนโยบายชัดเจนว่า ต้องการยกระดับเป็นภัตตาคารอาหารจีนที่ห้องครัวสะอาด ถูกหลักและได้มาตรฐาน จึงให้ความสำคัญกับเรื่องนี้เป็นอย่างมาก เพื่อลบภาพลักษณ์ หรือภาพจำที่คนส่วนใหญ่มักมองว่าร้านอาหารจีนดั้งเดิมบางแห่งอาจดูเก่าและไม่ได้มาตรฐาน

อย่างไรก็ดี นพดล ระบุว่า ตลาดอาหารจีนในประเทศไทยจะมีมูลค่าสูงถึง 3-4 พันล้านบาทต่อปี และค่าใช้จ่ายต่อหัวสำหรับลูกค้าชาวไทย จะอยู่ที่ราว 800-1,000 บาท ขณะที่ลูกค้าชาวจีน อยู่ที่ราว 2,000 บาทต่อหัว แต่สิ่งหนึ่งที่ต้องยอมรับคือ เศรษฐกิจและสภาพตลาดที่มีการเปลี่ยนแปลงไป โดยเฉพาะตั้งแต่ช่วงหลังการแพร่ระบาดของโควิด-19 เป็นต้นมา ที่ส่งผลต่อพฤติกรรมของผู้บริโภค ต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน ปัจจัยเสี่ยงจากกำลังซื้อที่ไม่แข็งแรงเหมือนที่ผ่านมา จากภาพรวมเศรษฐกิจที่ชะลอตัวในปัจจุบัน ที่เรียกว่า ‘หนักกว่าช่วงโควิด-19’ ยิ่งเป็นปัจจัยที่เร่งทำให้ หงเปา ต้องเร่งปรับตัวอย่างรวดเร็ว

ดังนั้น ‘การลดขนาดของร้าน’ และ ‘ปิดสาขาที่ไม่ทำกำไร’ จึงเป็นแนวทางหนึ่งที่ หงเปา เลือกดำเนินการเพื่อ รักษาเนื้อรักษาตัว นพดล ยกตัวอย่างให้เห็นภาพชัดเจนขึ้น เช่น ก่อนหน้านี้เคยเปิดสาขาที่ห้างใหญ่ใจกลางเมือง และมียอดขายเติบโตอย่างดี แต่หลังจากมีเหตุความไม่ปลอดภัยในช่วงเดือน ต.ค. 2566 ส่งผลทำให้ยอดขายลดลงทันที 30% และหลังจากนั้นยอดขายก็ไม่สามารถกลับมาเติบโตได้เหมือนอดีตอีกเลย ดังนั้นสาขาดังกล่าวจึงถูกปิดไปเมื่อหมดสัญญา

ส่วนพฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนไปชัดเจนโดยเฉพาะช่วงหลังโควิด-19 คือ ลูกค้าไม่นิยมเดินทาวเข้าเมืองเหมือนในอดีต ทำให้ยอดขายสาขาในเมืองชะลอตัวลง ในทางกลับกันยอดขายสาขานอกเมืองกลับเติบโตขึ้นอย่างก้าวกระโดด โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีฐานลูกค้าชาวจีนอยู่เป็นจำนวนมาก และต้องยอมรับว่าลูกค้าหลักของ หงเปา เป็นกลุ่มที่มีค่าใช้จ่ายต่อหัวค่อนข้างสูง ตรงนี้จึงเป็นอีกหนึ่งโอกาสที่ หงเปา มองเห็น นั่นคือ การวางแผนขยายสาขาในเมืองรอง เพราะกำลังซื้อยังมีโอกาสเติบโตอย่างมาก โดยหนึ่งจุดที่น่าจะเป็นยุทธศาสตร์ต่อไป ได้แก่ ‘ขอนแก่น’

“การเร่งปรับตัวในทุกมิติ ทั้งการลดขนาดของร้าน ปิดสาขาที่ไม่ทำกำไร เจาะตลาดที่มีแนวโน้มเติบโตสูง รวมถึงการลงทุนครัวกลาง ที่ไม่เพียงต่อยอดและคงคุณภาพของสินค้าเท่านั้น แต่ยังช่วยลดต้นทุนค่าใช้จ่าย ไม่ว่าจะเป็นด้านพลังงานและด้านบุคลากร รวมถึงการรักษาระดับวัตถุดิบเพื่อตอบโจทย์ความต้องการลูกค้า จะเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้ยอดขายในปี 2568 ของ หงเปา เติบโตได้ราว 500-600 ล้านบาท ภายใต้บริบทการบริหารจัดการอย่างสมดุลเพื่อต่อยอดไปสู่การทำธุรกิจที่สร้างกำไรและการเติบโตได้ในระยะยาวอย่างยั่งยืน” นพดล กล่าวทิ้งท้าย

เพิ่มเพื่อน