‘เอกนิติ’ แจงพร้อมรับฟังทุกความเห็นโครงการ TISA หนุนออมส่วนบุคคลลดหย่อนภาษีสูงสุด 8 แสนบาท ยืนยันไม่ต้องการทำให้ใครเสียประโยชน์และไม่ได้คิดผลทางการเมือง จ่อถอยปมอัตราลดหย่อนภาษี 0.7 และ 1.3 เท่า ชี้ยังเป็นแค่ตุ๊กตา เร่งเครื่องพิจารณารายละเอียดปักธงชง ครม. ภายในปี 2568 คาดเริ่มใช้ได้ในปีภาษี 2569
11 ธ.ค. 2568 -นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.การคลัง กล่าวถึงความคืบหน้ามาตรการ Quick Big Win การเพิ่มโอกาสการออมและความมั่นคงทางการเงินของประชาชน ผ่านโครงการบัญชีการออมการลงทุนส่วนบุคคล (Thailand Individual Savings Account : TISA) ว่า โครงการดังกล่าวเป็นการบูรณาการความร่วมมมือกันกับหลายหน่วยงานในการสนับสนุนการออมเพื่อความมั่นคงทางการเงินของประชาชนที่ประเทศไทยกำลังก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ ที่ต้องยอมรับว่าปัจจุบันคนส่วนใหญ่หลังเกษียณยังไม่มีอะไรมารองรับเลย จึงมีการดึงเครื่องมือทั้งหมดมาใช้ในโครงการ TISA
ทั้งนี้ เชื่อมั่นว่าโครงการ TISA จะเป็นโอกาสสำคัญของนักลงทุนไทยในการบริหารจัดการการลงทุนในระยะยาว จึงมีการปรับสิทธิประโยชน์ทางภาษีสำหรับการออมและการลงทุนระยะยาวเพิ่มเป็น 8 แสนบาท สำหรับการลงทุนผ่านประกันชีวิตแบบบำนาญ, RMF, PVD, กบข., กองทุนสงเคราะห์ครูเอกชน, กอช., หุ้น ETF, กองทุนรวมอื่น ๆ, ตราสารหนี้ และ Infra Fund ส่วนการลงทุนผ่าน Thia ESG จะให้แต้มต่อสามารถลดหย่อนเพิ่มได้ 1.2 เท่า และหากออมเพิ่มอีก 2 แสนบาทต่อปี ในส่วนนี้จะได้รับการยกเว้นภาษีดอกเบี้ย เงินปันผล และ Capital Gains
“ตรงนี้เป็นการทำระบบการออมผ่านการให้แรงจูงใจด้านภาษีแบบถาวรและทำให้คนมีพื้นที่มากขึ้นในการบริหารจัดการการลงทุน อีกทั้งยังเป็นการแก้ปัญหาการให้แรงจูงใจทางภาษีเพื่อการลงทุนในอดีตที่ค่อนข้างผิด เพราะเราไปเลือกให้แรงจูงใจกับผลิตภัณฑ์บางประเภท เช่น LTF ที่ให้ลดหย่อนภาษีได้ทุกคน ซึ่งมองว่าตรงนั้นเป็นการบิดเบือน ขณะเดียวกันคนที่ซื้อ LTF ก็พบว่าขาดทุนประมาณ 25-30% ซึ่งถือเป็นแหล่งทุนสำหรับการดำรงชีวิต และต้องยอมรับว่าหลายคนยังเจ๊งกับ LTF จากความบิดเบือนในอดีต เช่นเดียวกับรัฐบาลเองก็เจ๊งจากค่าลดหย่อนภาษี LTF ถึง 4 หมื่นล้านบาท ตรงนั้นไม่มีใครได้อะไรเลยเพราะมันคือการบิดเบือน” นายเอกนิติ กล่าว
สำหรับรายละเอียดเบื้องต้นของการลงทุนในโครงการ TISA นั้น ในส่วนของประกันชีวิตแบบบำนาญ จะมีการปลดล็อกในหลายมิติ เช่น การลดอากรไมโคร อินชัวร์รันส์ เพื่อสนับสนุนให้ประชาชนรายย่อยสามารถซื้อประกันชีวิตได้ รวมถึงจะมีการปลดล็อกให้บริษัทประกันสามารถลงทุนในตลาดทุนได้มากขึ้น เพื่อให้ผลตอบแทนของผู้ที่ซื้อประกันสูงขึ้น ตรงนี้จะเป็นผลิตภัณฑ์การออมระยะยาวที่ป้องกันความเสี่ยงได้เป็นอย่างดี
ขณะเดียวกันจะมีการปลดล็อกการออมผ่านพันธบัตรออมทรัพย์ของรัฐบาล เพื่อให้ประชาชนเข้าถึงได้มากขึ้น โดยจะให้มีการเปิดจำหน่ายทุกเดือน และสามารถให้ขายคืนได้ตลอดเวลาเมื่อมีความจำเป็น รวมถึงจะให้สามารถนำสิทธิประโยชน์ทางภาษีสำหรับการออมและการลงทุนระยะยาว วงเงิน 8 แสนบาทนี้ มาเป็นหลักประกันการกู้เงินได้ ในสัดส่วน 25% ของมูลค่าบัญชีอีกด้วย ส่วนการลงทุนในหุ้นนั้น จะเน้นที่หุ้นไทยเป็นหลัก ซึ่งสำนักงานกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) จะเป็นคนพิจารณาเลือกหลักทรัพย์ที่มีความปลอดภัยให้เข้ามาอยู่ในโครงการ TISA
“โครงการ TISA นี้เป็นเรื่องที่ ก.ล.ต. ศึกษามานานว่าจะทำอย่างไรให้การลงทุนของคนไทยมีความยืดหยุ่นมากขึ้น โดยขอยืนยันในความตั้งใจคือต้องการจะดูแลคนทั้งระบบ ซึ่งผมและทุกฝ่ายพร้อมรับฟังทุกความคิดเห็นหากเห็นว่าอะไรสามารถปรับให้เหมาะสมได้ก็พร้อมจะพิจารณาเพื่อให้ทุกอย่างดีขึ้น และอยากให้ทุกคนเข้าใจว่าทุกหน่วยงานครั้งนี้ไม่ได้มีเจตนาที่ต้องการจะทำให้ใครเสียประโยชน์ ในทางกลับกันอยากให้คนไทย โดยเฉพาะคนที่มีรายได้น้อยมีหลักประกันในชีวิต ทีมทำงานทุกคนตั้งใจทำโดยไม่ได้คิดผลทางการเมืองใด ๆ แต่ทำเพื่อให้คนไทยมีความมั่นคงทางการเงิน” รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.การคลัง ระบุ
นายเบญจรงค์ สุวรรณคีรี ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงการคลัง กล่าวว่า จะเร่งเสนอโครงการ TISA ให้ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาภายในปี 2568 โดยระหว่างนี้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกำลังเร่งสรุปรายละเอียดที่ชัดเจนที่สุด หลังจากนั้นจะมีการชี้แจงที่ลึกมากขึ้น และมีคำตอบที่ชัดเจนในทุกประเด็น แต่ยืนยันว่าโครงการนี้เป็นโครงการเพื่อสนับสนุนการออมในระยะยาวของคนไทย เนื่องจากปัจจุบันการออมของคนไทยลดลง สะท้อนจากสัดส่วนการออมต่อจีดีพีของประชากรไทยในช่วง 10 ปีที่ผ่านมาลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2557 อยู่ที่ 27.20% ต่อจีดีพี ขณะที่ปี 2566 อยู่ที่ 25.60% ต่อจีดีพี ถือเป็นความเสี่ยงต่อประชาชน ต่อประเทศ และเป็นโจทย์สำคัญที่จะเร่งดำเนินการเพื่อให้คนไทยออมเร็วขึ้นและออมต่อเน่องขึ้น ผ่าน 3 โครงการสำคัญ คือ โครงการ TISA, โครงการพันธบัตรออมพลัส และผ่านมาตรการประกันภัย
นางพรอนงค์ บุษราตระกูล เลขาธิการ ก.ล.ต. กล่าวว่า โครงการ TISA ได้รับการออกแบบมาเพื่อแก้ปัญหาการออมที่ไม่เพียงพอของมนุษย์เงินเดือน โดยใช้มาตรการภาษีเป็นแรงจูงใจ โดยคาดว่าหากที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาเห็นชอบ จะสามารถเดินหน้าโครงการได้ภายในปีภาษี 2569 โดยอาจจะมีบางส่วน เช่น การลงทุนตรง ที่จะต้องมีการเตรียมระบบรองรับ ซึ่ง ก.ล.ต. จะพยายามดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในครึ่งแรกของปี 2569
ส่วนกรณีการกำหนดเพดานให้ผู้ที่มีรายได้ต่ำกว่า 1.5 ล้านบาทต่อปี สามารถลดหย่อนภาษีได้เพิ่มขึ้น 1.3 เท่า ขณะที่ผู้มีรายได้มากกว่า 1.5 ล้านบาทต่อปี หักลดหย่อนภาษีได้ 0.7 ซึ่งเป็นประเด็นที่ถูกมองว่าเป็นการบังคับให้ผู้มีรายได้มากกว่า 1.5 ล้านบาทต่อปีต้องเสียภาษีเพิ่มนั้น เลขาธิการ ก.ล.ต. ระบุว่า ตัวเลขการลดหย่อนภาษียังไม่ได้มีข้อยุติ จนกว่าจะเสนอเรื่องให้ ครม. พิจารณา ซึ่งจริง ๆ ตัวเลขลดหย่อนมีอีกหลายคู่ที่เตรียมไว้ แต่ยอมรับว่าหากมองแค่ตัวเลขลดหย่อน 1.3 เท่า และ 0.7 เท่า ซึ่งตอนนี้ยังเป็นแค่ตุ๊กตา ก็อาจเป็นการลดทอนแรงจูงใจการลงทุนได้ แต่ในข้อเท็จจริงโครงการยังมีอีกหลายบริบท และควรมองในภาพรวมเป็นหลักด้วย โดยเห็นว่าหากการลงทุนในส่วนไหนได้รับผลกระทบ ก็ควรได้รับการดูแลเป็นพิเศษด้วยตัวคูณที่เป็นโปรโมชั่น
นายชูฉัตร ประมูลผล เลขาธิการคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) กล่าวว่า ในส่วนของมาตรการด้านการประกันภัยนั้น จะมีการปลดล็อกให้บริษัทประกันภัยสามารถลงทุนในตราสารทุนได้เพิ่มมากขึ้น สืบเนื่องจากคลังได้ลงนามในประกาศการลงทุนของบริษัทประกันภัยในตราสารทุน โดยมีการปรับเกณฑ์เรื่องการส่งเงินเข้ากองทุนเพื่อเป็นค่าความเสี่ยงของบริษัประกันภัยให้สอดคล้องและตรงตามความเป็นจริงมากขึ้น ซึ่งจะช่วยให้บริษัทประกันชีวิตและบริษัทประกันวินาศภัยมีเม็ดเงินที่สามารถนำไปลงทุนในตราสารทุนได้เพิ่มขึ้น จากปัจจุบันอยู่ที่ 2 แสนล้านบาท เพิ่มเป็นไม่ต่ำกว่า 1 แสนล้านบาทต่อปี.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
คลังดันออมรูปแบบใหม่ ลดหย่อนสูงสุด 8 แสน-ยันไทยไม่ผิดเขาโจมตีก่อน
รมว.คลังเผยมาตรการออมรูปแบบใหม่ เพิ่มเพดานลดหย่อนสูงสุด 800,000 บาท เตรียมคนไทยเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ พร้อมมอบ “ศุภจี” ติดตามผลกระทบการค้ากับสหรัฐฯ หลังเหตุปะทะชายแดน ย้ำ “ไทยไม่ผิด เขาโจมตีก่อน”
รัฐบาลอัดฉีดแพ็กเกจใหญ่ เพิ่มสภาพคล่อง SME มาตรการสินเชื่อ-คืนภาษี วงเงิน 3.27 แสนล้าน
นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยภายว่าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 2 ธันวาคม 2568 มีมติเห็นชอบมาตรการ “Quick Big Win เพื่อ SMEs ไทย
นายกฯลงหาดใหญ่ครั้งที่ 5 นำทีมเศรษฐกิจหารือช่วยเหลือผู้ประกอบการ
นายกฯนำทีมเศรษฐกิจ-หน่วยงานการเงิน บินลงหาดใหญ่รอบที่ 5 คุยผู้ประกอบการ พร้อมลงพื้นที่สำรวจความเสียหายย่านธุรกิจตลาดกิมหยง ด้าน ‘ศุภจี’ยันมีมาตรการช่วยเหลือแน่นอน
‘คลัง’ตั้งศูนย์อำนวยการเครือข่ายวายุภักษ์ช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยภาคใต้
‘เอกนิติ’สั่งการตั้งศูนย์อำนวยการเครือข่ายวายุภักษ์ช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยภาคใต้ เร่งด่วนบูรณาการความร่วมมือทุกหน่วยงานในสังกัดกระทรวงการคลัง พร้อมออกมาตรการช่วยเหลือ เยียวยา และฟื้นฟู
‘ธ.ก.ส.’ส่งข้าวพร้อมทานหมื่นถ้วยให้ประชาชนในพื้นที่น้ำท่วมภาคใต้
‘เอกนิติ’ สั่ง ‘ธ.ก.ส.’ ส่งข้าวพร้อมทานตราอุ่นอิ่ม 10,000 ถ้วย ให้ประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนจากสถานการณ์อุทกภัยภาคใต้
ชงเพิ่ม‘คนละครึ่ง’ฟื้นศก.ใต้
"เอกนิติ" เตรียมชง ครม.เคาะแพ็กเกจเยียวยาหลังวิกฤตน้ำท่วม

