กทม.เตรียมพร้อมมาตรการโควิด-จราจรรับเปิดเทอมวันแรก

ภาพจาก กทม.

17 พ.ค. 2565 – ผู้สื่อข่าว รายงานว่า ผู้บริหารของกรุงเทพมหานคร เตรียมตรวจเยี่ยมความพร้อมโรงเรียนสังกัดกรุงเทพมหานครในการเปิดเรียน (On-site) ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565 ภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19

ทั้งนี้ กทม. โดยสำนักการศึกษาได้เตรียมความพร้อมการเปิดภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565 ของโรงเรียนในสังกัดกรุงเทพมหานครทั้ง 437 โรงเรียน ทั้งในส่วนของมาตรการเฝ้าระวัง ป้องกัน และควบคุมการแพร่ระบาดโควิด-19 ในโรงเรียนเน้นย้ำให้ต้องสวมหน้ากากอนามัยหรือหน้ากากผ้าตลอดเวลา มีการเว้นระยะห่างในห้องเรียน ทางเดิน ขณะทำกิจกรรม และจัดเหลื่อมเวลาเรียน เวลาพักรับประทานอาหาร ตรวจคัดกรองอุณหภูมิทุกคนที่เข้ามา และทำความสะอาดโรงเรียนสม่ำเสมอเพื่อลดความเสี่ยงการติดเชื้อ พร้อมจัดที่ล้างมืออย่างทั่วถึงเพียงพอ พร้อมทั้งได้ประสานผู้ปกครองตรวจคัดกรองบุตรหลานก่อนพามาโรงเรียน หากพบมีไข้ ไอ จาม หรืออาการอื่นใด ให้หยุดเรียนเฝ้าดูอาการที่บ้านหรือพบแพทย์ เพื่อลดความเสี่ยงรับเชื้อเพิ่มและลดการแพร่กระจายเชื้อในโรงเรียน

นอกจากนี้ ในเรื่องความปลอดภัยของเด็กนักเรียนในช่วงเปิดภาคเรียน ได้มอบหมายให้สำนักเทศกิจและสำนักงานเขตในพื้นที่ จัดเจ้าหน้าที่เทศกิจอาสาจราจรปฏิบัติหน้าที่ เพื่ออำนวยความสะดวกและดูแลความปลอดภัยให้กับนักเรียนผู้ปกครองและประชาชนทั่วไป บริเวณด้านหน้าโรงเรียนสถานศึกษา ซอยแยกหรือจุดตัดที่มีปัญหาการจราจร จำนวน 549 โรงเรียน แยกเป็นโรงเรียนในสังกัดกทม. 404 โรงเรียน โรงเรียนในสังกัดสำนักงานการประถมศึกษา 64 โรงเรียน และโรงเรียนเอกชน 81 โรงเรียน มีเจ้าหน้าที่เทศกิจอาสาจราจรปฏิบัติหน้าที่รวม 549 นาย/วัน แบ่งเป็นช่วงเช้าก่อนเข้าเรียน และช่วงหลังเลิกเรียน รวมถึงได้ฝึกอบรมบุคลากรของโรงเรียนให้มีความรู้ด้านการปฏิบัติการอำนวยการจราจร เพื่อมีทักษะและร่วมปฏิบัติกับเจ้าหน้าที่เทศกิจ

ขณะที่ก่อนหน้านี้ นายชวินทร์ ศิรินาค รองปลัดกรุงเทพมหานคร เปิดเผยว่า กรุงเทพมหานครได้เน้นย้ำสร้างความรู้ความเข้าใจแก่ผู้ปกครองในการเตรียมความพร้อมบุตรหลาน ก่อนเปิดภาคเรียนที่ 1/2565 ของโรงเรียนสังกัด กทม. เพื่อให้ปลอดภัยจากโรคโควิด-19 โดยสำนักการศึกษาได้ประชุมโรงเรียนในสังกัด กทม. ทั้ง 437 โรงเรียน เพื่อสร้างความรู้ ความเข้าใจให้แก่ผู้ปกครอง ในการดูแลบุตรหลานให้สวมหน้ากากอนามัยให้ถูกต้องก่อนออกจากบ้าน และได้กำชับโรงเรียนในการดูแลนักเรียน ให้งดการพุดคุยกันในขณะรับประทานอาหารกับเพื่อนที่โรงเรียน และไม่สนทนาระหว่างกันโดยไม่สวมหน้ากาก เป็นต้น ซึ่งทางโรงเรียนในสังกัด กทม. ได้ประสานผู้ปกครองให้ตรวจคัดกรองบุตรหลานก่อนพามาโรงเรียน หากพบว่ามีไข้ ไอ จาม หรืออาการอื่นใด ให้นักเรียนหยุดเรียนเพื่อเฝ้าดูอาการที่บ้านหรือพบแพทย์ในทันที เพื่อลดความเสี่ยงการรับเชื้อโรคเพิ่มขึ้นและลดการแพร่กระจายเชื้อในโรงเรียน ตลอดจนขอความร่วมมือผู้ปกครองในการแจ้งข้อมูลการเจ็บป่วยของนักเรียนให้โรงเรียนได้รับทราบ

ในส่วนของการเตรียมความพร้อมมาตรการเฝ้าระวัง ป้องกัน และควบคุมการแพร่ระบาดโควิด-19 ในโรงเรียนสังกัด กทม. มีดังนี้

1.เน้นย้ำให้นักเรียน ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา กทม. บุคลากรของโรงเรียน ผู้ปกครอง และผู้มาติดต่อราชการ ต้องสวมหน้ากากอนามัยหรือหน้ากากผ้าตลอดเวลา

2.จัดให้มีการเว้นระยะห่างในห้องเรียน ระหว่างทางเดิน หรือในขณะทำกิจกรรมในโรงเรียน การย้ายห้องเรียน การเหลื่อมเวลาเรียนหรือเวลาพักรับประทานอาหาร

3.ตรวจคัดกรองอุณหภูมิร่างกายนักเรียน ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา กทม. บุคลากรของโรงเรียน และผู้มาติดต่อราชการทุกคนที่เข้ามาในบริเวณโรงเรียน การทำความสะอาดในโรงเรียน เพื่อลดความเสี่ยงการติดเชื้อโควิด-19 ในโรงเรียน และ

4.ทำความสะอาด พื้นผิวสัมผัสต่าง ๆ ที่ใช้ร่วมกัน อาทิ โต๊ะ-เก้าอี้ในห้องเรียน สนามเด็กเล่น ห้องน้ำ ลูกบิดประตู ตลอดจนอาคารสถานที่และบริเวณโรงเรียนโดยสม่ำเสมอและต่อเนื่อง พร้อมจัดให้มีที่ล้างมือด้วยสบู่ เจล แอลกอฮอล์ หรือน้ำยาฆ่าเชื้อโรค อย่างทั่วถึงเพียงพอ ทั้งนี้ สำนักอนามัย จะมีการประสานงานกับพยาบาลอนามัยโรงเรียนในทุกศูนย์บริการสาธารณสุข ให้เป็นพี่เลี้ยง ดูแลมาตรการต่าง ๆ เพื่อให้โรงเรียนปฏิบัติตามมาตรการอย่างเคร่งครัด เป็นที่ปรึกษาเมื่อพบผู้ป่วยในโรงเรียน และออกสอบสวนโรคหากพบผู้ป่วยเป็นกลุ่มก้อน

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

คุมประพฤติ 'คดีเมาขับ' ฉลองสงกรานต์ 4 วัน พุ่ง 3,737 คดี

เรืองศักดิ์ สุวารี อธิบดีกรมคุมประพฤติ เปิดเผยว่า ในช่วงเทศกาลสงกรานต์ มีสถิติคดีที่ศาลสั่งคุมความประพฤติในวันที่ 14 เมษายน 2567 รวมทั้งสิ้น 2,136 คดี

ผ่าน 3 วันสงกรานต์ เกิดอุบัติเหตุ 936 ครั้ง เสียชีวิต 116 ราย บาดเจ็บ 968 คน

ศูนย์อำนวยการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลสงกรานต์ พ.ศ. 2567 โดยกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยและความร่วมมือของหน่วยงานภาคีเครือข่ายได้รวบรวมสถิติอุบัติเหตุทางถนนประจำ