ถอดโมเดล 10 จังหวัด สู้ภัยโลกร้อน

การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ สร้างผลกระทบในแต่ละพื้นที่ของประเทศไทยแตกต่างกัน ส่งผลให้แต่ละจังหวัดมีการขับเคลื่อนการดำเนินงานเพื่อสู้ภัยโลกร้อนและบรรเทาความเสียหายของทรัพยากรธรรมชาติจากสภาพอากาศที่แปรปรวนเพิ่มขึ้น ปัจจุบันมี 10 จังหวัดนำร่องในการบูรณาการเรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศสู่การจัดทำแผนพัฒนาจังหวัดภายใต้โครงการดำเนินงานด้านนโยบาย แผนงานความร่วมมือไทย-เยอรมัน ด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (TGCP-Policy) ประกอบด้วย กรุงเทพมหานคร, ตาก, ยโสธร,มหาสารคาม, ชลบุรี, จันทบุรี, กาญจนบุรี สุพรรณบุรี, ชุมพร และระนอง โดยมีสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สผ.) และองค์กรความร่วมมือระหว่างประเทศของเยอรมัน ( GIZ) เป็นหน่วยดำเนินงานหลักโครงการ TGCP-Policy ซึ่งจัดพิธีมอบโล่เกียรติคุณจังหวัดนำร่องในงาน Glocal Climate Change, Act Locally, Change Globally เมื่อวันก่อนที่สามย่านมิตรทาวน์ฮอลล์ กรุงเทพฯ

พิรุณ สัยยะสิทธิพานิช เลขาธิการสำนักนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กล่าวว่า โครงการTGCP-Policy มีระยะเวลา 5 ปี (พ.ศ.2561-2565) วงเงิน 650 ล้านบาท มีการสนับสนุนจัดทำแผนยุทธศาสตร์ระยะยาวมุ่งสู่เป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน ปี 2593 และเป้าหมายปล่อยก๊าซคาร์บอนเป็นศูนย์ภายในปี 2608 รวมถึงยกระดับเป้าหมายลดก๊าซเรือนกระจกเป็น 30-40% ภายในปี 2570 พร้อมเสนอแนะเป้าหมายลดก๊าซในภาคส่วนหลัก ทั้งอุตสาหกรรม ของเสีย เกษตรกรรม ป่าไม้ อีกทั้งสนับสนุนพ.ร.บ.การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ฉบับแรกของไทย เพื่อยกระดับการจัดการปัญหาแบบบูรณาการ  รวมถึงขับเคลื่อนประเด็นโลกร้อนไปสู่การปฏิบัติระดับพื้นที่ผ่านการจัดทำแผนพัฒนาจังหวัดอย่างบูรณาการและมีส่วนร่วม ต่อเนื่องจากโครงการ TGCP-Policy ทส.ยังได้รับการสนับสนุนจากสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี ทำโครงการ Climate,Coastal and Marine Biodiversity ระยะเวลา5 ปี (พ.ศ.2565-2570) วงเงิน 360 ล้านบาท ขยายขอบแขตทำงานเชื่อมโยงกับความหลากหลายชีวภาพทางทะเลและชายฝั่งอีกด้วย เพื่อสนับสนุนการบรรลุเป้าหมายของไทย

จตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กล่าวว่า 10 จังหวัดนำร่องที่บูรณาการประเด็นโลกร้อนมาจัดทำแผนพัฒนาจังหวัด จะมีการดำเนินงานที่ประสบผลสำเร็จรูปแบบต่างกันตามบริบทพื้นที่ ตนได้ให้นโยบาย สผ. ถอดบทเรียนและวิเคราะห์กุญแจสู่ความสำเร็จของแต่ละจังหวัด เพื่อใช้เป็นโมเดลนำมาขยายผลสู่จังหวัดอื่นๆ ปูพรมไปทั่วประเทศเพื่อพร้อมรับกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ อยากให้แผนแม่บทอยู่จังหวัด แม้ผู้ว่าฯ เปลี่ยน แต่แผนไม่เปลี่ยน เพื่อแก้ปัญหาไปพร้อมกัน ขณะที่ภาพใหญ่ของประเทศไทยเน้นกักเก็บคาร์บอนผ่านการปลูกป่า และดูดคาร์บอนกลับไปเก็บที่เดิม อีกทั้งแสวงหาความร่วมมือทางเทคโนโลยีและด้านการเงิน

“ รัฐบาลเดินหน้าแก้ปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ขณะที่ภาคเอกชนตื่นตัวมากประกาศเป้าหมายลดก๊าซซึ่งมีส่วนสำคัญต่อการขับเคลื่อนสู่เป้าหมาย อย่างไรก็ตาม การมีส่วนร่วมของประชาชนสำคัญที่สุด ไม่ต้องเสียเวลาอธิบายปัญหาโลกร้อน แต่ต้องร่วมไม้ร่วมมือกัน ตลอดจนความร่วมมือในระดับพื้นที่ภายใต้โครงการ TGCP-Policy เป็นตัวอย่างผลการพัฒนานโยบายปกป้องสภาพภูมิอากาศของไทย ซึ่ง ทส.จะรายงานความคืบหน้าในเวทีประชุมCOP 27 ที่จะเกิดขึ้นเร็วๆ นี้ด้วย “ ปลัด ทส. กล่าว

 10 จังหวัดเป็นต้นแบบที่ดีในการตั้งรับและปรับตัวสู้โลกร้อน ชลธี ยังตรง ผู้ว่าราชการจังหวัดยโสธร เผยว่า ยโสธรเป็น 1 ใน 10 จังหวัดตามโครงการ”จังหวัดก้าวไกล สู้ภัยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ “ โดยแผนพัฒนาจังหวัดบูรณาการเรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ มีการดำเนินงานร่วมกับหน่วยงานต่างๆ  เน้นในด้านจัดการน้ำอย่างเป็นระบบบ  โดยเฉพาะพัฒนาแหล่งน้ำ จังหวัดของเรามีพื้นที่เกษตรอินทรีย์กว่า 4 แสนไร่ ทำให้คนสุขภาพดี สิ่งแวดล้อมดี และมีเป้าหมายมุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอนตามนโยบายรัฐบาล รวมถึงเน้นจัดการมูลฝอยชุมชน ลดปริมาณขยะด้วยการคัดแยกขยะ สิ่งเหล่านี้สนับสนุนการรับมือกับภาวะโลกร้อน ซึ่งจะดำเนินงานอย่างต่อเนื่องไม่หยุดยั้ง

 ส่วน เกียรติศักดิ์ ตรงศิริ ผู้ว่าฯ มหาสารคาม กล่าวว่า จังหวัดมหาสารคามมีพื้นที่ 3.3 ล้านไร่ นำจำนวนนี้เป็นพื้นที่เกษตรกรรม 2.8 ล้านไร่ สภาพภูมิประเทศไม่มีภูเขา เป็นจังหวัดที่มีพื้นที่ป่าน้อยที่สุด ราว 3% ของพื้นที่จังหวัด ไม่มีแหล่งน้ำขนาดใหญ่ในพื้นที่ ขณะที่ความต้องการน้ำในภาคเกษตรปริมาณมาก โดยเฉพาะการทำนา นำมาสู่การบริหารจัดการน้ำ รวมถึงโครงการปลูกต้นไม้คนละต้น ปี 65 จังหวัดมหาสารคามปลูกต้นไม้ไปแล้ว 1.7 แสนต้น  ปีนี้เชิญชวนกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน อปท. 6 หมื่นคน ปลูกเพิ่มเพื่อต่อยอดโครงการ  จะช่วยป้องกันน้ำท่วม น้ำแล้ง

 “มหาสารคาม มหานครปลอดการเผา ปี 65 ทำโครงการเก็บเกี่ยวตอซังเพื่อทำฟาร์มอัดก้อนได้ 1.2 ล้านก้อน นำไปขายผู้ประกอบอาชีพปศุสัตว์ นอกจากสร้างรายได้ ยังลดปริมาณตอซัง เกษตรกรปรับมาไถกลบแทนการเผาส่งผลให้ดินสมบูรณ์ ผลผลิตข้าวดีขึ้น ปีที่แล้วมหาสารคามสามารถลดจุดความร้อนจากค่าเฉลี่ย 3 ปี ได้มากกว่าร้อยละ 65 ความสำเร็จนี้เกิดจากความร่วมมือทุกภาคส่วน ซึ่งมีส่วนสนับสนุนเป้าลดก๊าซของประเทศ “ พ่อเมืองมหาสารคามกล่าว

 จ.สุพรรณบุรี เดินหน้าสู้กับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ชูชีพ พงษ์ไชย รองผู้ว่าฯ สุพรรณบุรี กล่าวว่าสุพรรณบุรีฯ เป็นเมืองที่ได้รับผลกระทบจากสภาพอากาศแปรปรวน เผชิญภาวะน้ำท่วมซ้ำซาก จากท่วม 3 เดือนยาวเป็นครึ่งปี โดยเฉพาะพื้นที่บางปลาม้า ถือเป็นพื้นที่รับน้ำ ไม่สามารถระบายน้ำลงอ่าวไทยได้ทันท่วงที และอีกหลายพื้นที่เผชิญกับความไม่มั่นคงด้านอาหาร จังหวัดจึงเห็นสมควรขับเคลื่อนประเด็นการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศให้บรรจุในแผนพัฒนาจังหวัด โดยกำหนด 4 ด้าน ได้แก่ ด้านจัดการทรัพยากรธรรมชาติ ,จัดการน้ำ,ความมั่นคงทางอาหาร และการท่องเที่ยว มีการวางแผนรับมือผลกระทบภายใต้บริบทของพื้นที่ มีการฟื้นฟูป่าที่เหลือร้อยละ 11 หรือราว 3.9 แสนไร่ ให้คงอยู่ เพิ่มพื้นที่สีเขียวในชุมชน ตลอดจนบริหารจัดการน้ำอย่างมีประสิทธิภาพแก้น้ำท่วม

“ สุพรรณบุรีขับเคลื่อนการเกษตรอย่างยั่งยืน ลดใช้สารเคมี รวมถึงสนับสนุนท่องเที่ยวเชิงเกษตร สนับสนุนอปท. บูรณาการการทำงานร่วมกับชุมชนสู่การลดพลังงาน ลดโลกร้อน โดยกำหนดให้เป็นตัวชี้วัดของ อปท. ทั้งยังขอความร่วมมือภาคอุตสาหกรรมลดการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจก ใช้พลังงานทดแทน มีแผนผลิตพลังงานไฟฟ้าจากขยะหนุนคัดแยกขยะมูลฝอยมาต่อยอดเศรษฐกิจหมุนเวียน  มุ่งสู่เป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน “ ชูชีพ กล่าว

 ต้นแบบทางภาคตะวันออก ยกให้จันทบุรี สุรพันธ์ ศิลปสุวรรณ หัวหน้าสำนักงานจังหวัดจันทบุรี บอกว่า จากวิสัยทัศน์จังหวัดเป็นเมืองสิ่งแวดล้อมยั่งยืน เกษตรปลอดภัย จึงตั้งใจขับเคลื่อนประเด็นการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศให้สอดคล้องแผนพัฒนาจังหวัด จีดีพีของจังหวัดเพิ่มขึ้นทุกปี   เกินครึ่งมาจากภาคเกษตร ผลผลิตหลัก คือ ทุเรียนมังคุด เงาะ ซึ่งการทำเกษตรต้องการน้ำ โลกร้อน ทำให้ฝนไม่ตกตามฤดูกาล วิถีชีวิตคนจันทบุรีกระทบ สิ่งแวดล้อมก็เสียหาย กลไกที่ทำขึ้นตามแผน มีเป้าหมายปี 2570 เกษตรกรร้อยละ 60 รับรู้ตระหนักการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ รวมถึง แปลงเกษตรหรือฟาร์มร้อยละ 80 ต้องผ่านมาตรฐาน GPA ระยะยาวจะขยายพื้นที่เกษตรนอกเขตขลประทานให้ได้รับน้ำมากกว่าร้อยละ 50 ภายในปี 2580 ตลอดจนจะสนับสนุนโครงการต่างๆ เพื่อลดก๊าซเรือนกระจกต่อไป

ทั้งนี้ สผ.และ GIZ เตรียมจะขยายผล 10 จังหวัดนำร่อง และสนับสนุนองค์ความรู้ เทคนิควิชาการให้กับจังหวัดต่างๆ เข้ามามีส่วนร่วมแก้ปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเพื่อสนับสนุนการบรรลุเป้าหมายประเทศและร่วมลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสู่โลกใบนี้

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ทส. มอบของขวัญปีใหม่ 2569 เปิดแหล่งท่องเที่ยวธรรมชาติฟรีทั่วประเทศ เติมสุขประชาชน

กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) เดินหน้ามอบของขวัญปีใหม่ พ.ศ. 2569 ให้แก่ประชาชนทั่วประเทศ เปิดให้เข้าชมแหล่งท่องเที่ยวธรรมชาติ โดยยกเว้นค่าธรรมเนียม พร้อมจัดบริการอำนวยความสะดวกและกิจกรรมส่งความสุขช่วงเทศกาลปีใหม่ เพื่อช่วยลดภาระค่าใช้จ่าย เติมเต็มความสุข และส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์อย่างยั่งยืน

“รมว.ทส. มอบนโยบายขับเคลื่อนการบริหารทรัพยากรธรรมชาติอย่างยั่งยืน เน้นรับมือไฟป่า ดูแลความปลอดภัยนักท่องเที่ยว และแก้ปัญหาช้างป่า

วันนี้ (25 ธันวาคม 2568) เวลา 10.00 น. นายสุชาติ ชมกลิ่น รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ลงพื้นที่เพื่อตรวจราชการในพื้นที่จังหวัดจันทบุรี และมอบนโยบายด้านการบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืนแก่ผู้บริหาร และเจ้าหน้าที่ในสังกัดกระทรวงฯ ณ ห้องประชุมอาคาร กปร.

ทส. จัดกิจกรรม “พิทักษ์ผืนป่า ถวายพระมารดาแห่งแผ่นดิน” สืบสานพระราชปณิธาน สมเด็จพระราชชนนีพันปีหลวง ณ อุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน จ.เพชรบุรี

วันนี้ (24 ธันวาคม 2568) เวลา 11.00 น. ดร.รวีวรรณ ภูริเดช ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นประธานเปิดกิจกรรม “พิทักษ์ผืนป่า ถวายพระมารดาแห่งแผ่นดิน” โดยมีคณะผู้บริหาร ตลอดจนเจ้าหน้าที่กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช กรมป่าไม้ และกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง

“รองนายกฯ สุชาติ สั่ง คพ. จับตาลักลอบทิ้งสารเคมี 24 ชม. รุกสร้างเครือข่ายเฝ้าระวังสิ่งแวดล้อมฉะเชิงเทรา ตรวจพบต้องสอบทันที”

นายสุรินทร์ วรกิจธำรง อธิบดีกรมควบคุมมลพิษ (คพ.) เปิดเผยว่า นายสุชาติ ชมกลิ่น รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม มีความห่วงใยต่อสถานการณ์การลักลอบทิ้งกากของเสียและสารอันตรายในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) โดยเฉพาะจังหวัดฉะเชิงเทรา ซึ่งมีแนวโน้มทวีความรุนแรงและซับซ้อนมากขึ้น

รองนายกฯ สุชาติ เรียกประชุมนัดแรก คกก.อำนวยการฯ เร่งเครื่องแก้ปัญหาหมอกควัน-ฝุ่น PM2.5 ปี 2569

นายสุชาติ ชมกลิ่น รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการอำนวยการเพื่อการจัดการปัญหามลพิษทางอากาศ ครั้งที่ 1/2569 เมื่อวันที่ 19 ธันวาคม 2568

“รองนายกฯ สุชาติ” เป็นประธาน กก.สิ่งแวดล้อมแห่งชาติ เห็นชอบ EIA โครงการสำคัญ แก้ปัญหาอุทกภัย–เสริมบริหารจัดการน้ำ

นายสุชาติ ชมกลิ่น รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ครั้งที่ 6/2568 เมื่อวันที่ 18 ธันวาคม 2568 ณ ห้องประชุม 301 ตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล