
คนไทยสนใจอยากแก้อะไรก่อน ระหว่าง พฤติกรรม สส. กับ รัฐธรรมนูญ หรือ พรรคเล็ก พรรคตั้งใหม่
5 ต.ค. 2568 – การเมืองไทยกำลังอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของการเปลี่ยนผ่านทั้งในด้าน “บุคลิกภาพทางการเมือง” และ “โครงสร้างของระบบรัฐสภา” ขณะที่พรรคการเมืองเปิดตัวใหม่และพรรคขนาดเล็กเริ่มทยอยเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ประชาชนจำนวนมากจึงตั้งคำถามว่า ควร “แก้อะไรก่อน” ระหว่างพฤติกรรมของนักการเมืองกับกติกาทางการเมือง และจะเปิดโอกาสให้พรรคใหม่อย่างไรเพื่อให้ระบบประชาธิปไตยไทยสมบูรณ์ยิ่งขึ้น
สำนักวิจัยซูเปอร์โพล เปิดเผยรายงานผลสำรวจเรื่อง คนไทยสนใจอยากแก้อะไรก่อน ระหว่าง พฤติกรรม ส.ส. กับ รัฐธรรมนูญ หรือ พรรคเล็ก พรรคตั้งใหม่ จากกลุ่มตัวอย่างทุกสาขาอาชีพทั่วประเทศจำนวน 1,167 ตัวอย่าง ระหว่างวันที่ 3 – 4 ตุลาคม 2568 ที่ผ่านมา
สิ่งที่คนไทยอยากแก้ก่อนมากที่สุด
ผลการสำรวจพบว่า ประชาชนส่วนใหญ่ ร้อยละ 55.8 เห็นว่าควร “แก้พฤติกรรมของนักการเมืองและสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร” ก่อนเป็นอันดับแรก ขณะที่ ร้อยละ 44.2 เห็นว่าควรแก้รัฐธรรมนูญ
รายงานของซูเปอร์โพล ระบุว่า การสะท้อนเช่นนี้แสดงให้เห็นว่า คนไทยมองปัญหาการเมืองในเชิง “พฤติกรรมนักการเมืองตัวบุคคล” มากกว่าปัญหาเชิงโครงสร้าง โดยเชื่อว่าหากนักการเมืองผู้แทนราษฎรมีคุณธรรม โปร่งใส และยึดผลประโยชน์ส่วนรวม ไม่ถูกครอบงำ ไม่มีผลประโยชน์ทับซ้อน ระบบกติกาทางการเมืองก็จะทำงานได้จริงโดยไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงบ่อยครั้ง
เมื่อถามลึกลงไปถึงสิ่งที่อยากให้รัฐสภาแก้อย่างจริงจังก่อน พบว่า ประชาชนให้ความสำคัญกับประเด็นด้านคุณธรรมและธรรมาภิบาลของนักการเมืองเป็นหลัก โดยเรียงลำดับได้ดังนี้
- ยกระดับจริยธรรมและแก้ไขพฤติกรรมของ ส.ส. และ ส.ว. – ร้อยละ 71.4
- ตรวจสอบทรัพย์สินและผลประโยชน์ทับซ้อนอย่างเข้มงวด – ร้อยละ 68.9
- ลดการซื้อเสียงและการใช้อิทธิพลทางการเมือง – ร้อยละ 63.4
- ป้องกันการใช้อำนาจแทรกแซงการเลือกตั้ง – ร้อยละ 52.7
- ปรับรัฐธรรมนูญเพื่อเปิดพื้นที่ให้พรรคใหม่ พรรคเล็กเติบโตได้จริง – ร้อยละ 46.7
ข้อมูลข้างต้นในรายงานของซูเปอร์โพลนี้สะท้อนอย่างชัดเจนว่า ประชาชนมองว่า ปัญหาของประเทศไม่ได้อยู่ที่ “กติกา” เพียงอย่างเดียว แต่คือ “คนในระบบ” ที่จำเป็นต้องถูกตรวจสอบอย่างโปร่งใสและเป็นธรรม พร้อมกันนั้น ยังเรียกร้องให้รัฐสภาเปิดพื้นที่ให้กับ “พลังทางเลือกใหม่” จากพรรคการเมืองขนาดเล็ก ได้เข้ามามีบทบาทมากขึ้น เพื่อร่วมแก้ไขความเดือดร้อนของคนกลุ่มเล็ก ๆ ที่ไม่ค่อยมีโอกาสส่งเสียง ไม่เพียงแต่ชนกลุ่มน้อยเท่านั้น หากยังรวมถึงคนตัวเล็กตัวน้อยอีกจำนวนมากในสังคมไทย
ที่น่าสนใจคือ ความรู้สึกของประชาชนต่อพรรคเล็ก พรรคตั้งใหม่
ผลสำรวจพบว่า ประชาชน ร้อยละ 44.9 มีความเห็น “เห็นด้วย” กับการมีอยู่ของพรรคเล็กและพรรคใหม่ โดยให้เหตุผลว่าเป็น “พลังทางเลือกของประชาชน” ที่ช่วยให้การเมืองหลุดจากกรอบเดิม เป็นกลไกถ่วงดุลพรรคใหญ่ ไม่ผูกขาดอำนาจ และเชื่อว่าพรรคใหม่มีแนวคิดทันสมัย ตรงใจคนรุ่นใหม่ รวมถึงมีศักยภาพในการแก้ปัญหาเศรษฐกิจ ปากท้อง และการสร้างงาน ขณะที่ ร้อยละ 38.7 ระบุ “ไม่เห็นด้วย” โดยให้เหตุผลว่ากังวลเรื่องทุนทรัพย์จำกัด ความเสี่ยงที่จะถูกดูดโดยพรรคใหญ่ หรือถูกครอบงำโดยกลุ่มทุน รวมถึงขาดประสบการณ์ทางการเมือง ส่วนอีก ร้อยละ 16.4 ระบุว่า “ไม่มีความเห็น”
เมื่อวิเคราะห์เชิงแนวโน้ม พบว่า กลุ่มที่เห็นด้วยส่วนใหญ่เป็นคนรุ่นใหม่และกลุ่มอาชีพอิสระ ซึ่งเปิดรับพรรคการเมืองรูปแบบใหม่มากกว่ากลุ่มข้าราชการและเกษตรกรที่มีแนวคิดอนุรักษ์นิยม
เมื่อให้ผู้ตอบเลือกพรรคเล็กหรือพรรคใหม่ที่น่าสนใจ พบว่า
- พรรคไทยก้าวใหม่ (ดร.สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ หัวหน้าพรรค) – ได้รับความสนใจสูงสุด ร้อยละ 41.5
ด้วยจุดเด่นด้านนโยบาย “การศึกษาและการสร้างคน”
- พรรคไทยสร้างไทย (คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ หัวหน้าพรรค) – ร้อยละ 22.3
เน้นเปิดโอกาสให้คนรุ่นใหม่เข้าสู่การเมือง
- พรรคปวงชนไทย (นายเอกสิทธิ์ คุณานันทกุล หัวหน้าพรรค) – ร้อยละ 14.8
โดดเด่นในแนวทาง “สร้างคน สร้างงาน สร้างอาชีพ แก้เศรษฐกิจ”
- พรรคไทยภักดี (นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม หัวหน้าพรรค) – ร้อยละ 13.9
ได้รับคะแนนนิยมจากกลุ่มที่ชื่นชอบความซื่อสัตย์และต่อต้านการคอร์รัปชัน
- พรรคเสรีรวมไทย (พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส หัวหน้าพรรค) – ร้อยละ 13.6
เป็นที่ยอมรับในภาพลักษณ์ “คนตรง วีรบุรุษ ต่อต้านอำนาจมืด”
- พรรคอื่น ๆ รวม ร้อยละ 5.9
- และกลุ่มที่ “ไม่สนใจพรรคเล็กใดเป็นพิเศษ” มี ร้อยละ 16.1
ผลดังกล่าวแสดงให้เห็นว่า “พลังของพรรคใหม่-พรรคเล็ก” เริ่มเป็นที่รับรู้ในหมู่ประชาชน โดยเฉพาะกลุ่มพรรคที่มีภาพลักษณ์ “คนทำงานจริง เน้นสร้างอาชีพ-สร้างโอกาส” ซึ่งเป็นสัญญาณบวกต่ออนาคตของการเมืองไทยที่มีความหลากหลายของกลุ่มผลประโยชน์และมีลักษณะพหุวัฒนธรรมทางการเมืองและสังคม ท่ามกลางวิกฤตเศรษฐกิจในเวลานี้
รายงานของซูเปอร์โพล ระบุด้วยว่า โดยภาพรวม ผลสำรวจนี้สะท้อนแนวโน้มสำคัญสามประการ คือ
- ประชาชนต้องการการเมืองที่มีคุณธรรมมากกว่าการเมืองเชิงอำนาจ
สังคมไทยเริ่มตระหนักว่าปัญหาการเมืองไม่ได้อยู่ที่รัฐธรรมนูญเพียงอย่างเดียว แต่อยู่ที่ “พฤติกรรมของนักการเมือง” ที่ต้องปรับปรุงให้สอดคล้องกับจริยธรรมและจิตสำนึกของผู้แทนประชาชน
- พรรคตั้งใหม่คือสัญลักษณ์ของความหวัง
แม้ประชาชนยังมีข้อกังวลเรื่องทุนและประสบการณ์ แต่ก็เปิดใจให้โอกาสพรรคใหม่ เพราะมองว่าเป็น “พลังเปลี่ยนผ่าน” ที่สามารถสร้างความสมดุลทางการเมือง และตอบโจทย์เศรษฐกิจปากท้องได้ตรงจุดกว่า
- ประชาชนต้องการระบบการเมืองที่เปิดกว้างและโปร่งใส
การเปิดโอกาสให้พรรคเล็กเข้าสู่สนามการเมือง ไม่เพียงเพิ่มความหลากหลายของนโยบาย แต่ยังสร้างแรงกดดันเชิงบวกให้พรรคใหญ่ต้องไม่ประมาทและต้องแข่งขันด้วยผลงานมากกว่าการใช้ทุนหรืออิทธิพล
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
ดร.ณัฏฐ์ ชี้ชัดนิยาม ผู้สมัคร อบต. ต้องนับตั้งแต่ ‘เสนอตัว’ ไม่ใช่วันได้สมัครต่อ กกต.
“ดร.ณัฏฐ์ วงศ์เนียม” ผ่าปมกฎหมายเลือกตั้งท้องถิ่น หลังนักการเมือง อบต.ฮือฮาแจกของช่วยน้ำท่วมหาดใหญ่ ระบุชัด สถานะ ผู้สมัคร เริ่มต้นตั้งแต่วันที่ประกาศตัวลงสนาม ไม่ใช่วันที่ยื่นใบสมัครต่อ กกต. พร้อมเตือ
ดร.ณัฏฐ์ ผ่าเกมการเมืองสามก๊ก ชิงยุบสภาแก้รัฐธรรมนูญเป็นหมันทันที
สืบเนื่องจากนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีได้ออกมาโต้ตอบทางการเมืองในเชิงหากฝ่ายค้านอย่างพรรคเพื่อไทยไม่รอ แต่ญัตติขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจ
ดร.ณัฏฐ์ ชี้ชัด เกณฑ์ยุบสภา นับจากบรรจุวาระ ไม่ใช่วันฝ่ายค้านยื่นญัตติ
สืบเนื่องจากข้อถกเถียงระหว่างนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาผู้แทนราษฎรกับศาสตราจารย์ ดร.บวรศักดิ์ อุวรรณโณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายกฎหมาย มีค
'แก้วสรร' ออกบทความเดือด! ใครรังแกมึงวะ?
นายแก้วสรร อติโพธิ นักกฎหมาย นักวิชาการ เผยแพร่บทความในรูปถาม-ตอบ
'นักวิชาการ' ชี้นายกฯป้องอธิปไตย ไม่ทำไทยเสี่ยง 'รัฐบริวาร'
รศ.ดร.ชิดตะวัน ชนะกุล อาจารย์ด้านเศรษฐศาสตร์และการเมือง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กว่า ไทยไม่ใช่ “รัฐบริวาร”!
‘ดร.ณัฏฐ์’ ผ่าปมคดีฮั้วเลือกสว. กรณีพยานกลับคำให้การ
สืบเนื่องจากมีพยานบางปากกลับคำให้การในชั้นสอบสวน ในคดีฟอกเงินที่กรมสอบสวนคดีพิเศษไ


