
นายกฯ Kick off นโยบายยุติความรุนแรงสตรี พร้อมทำงานเชิงรุก สร้างความปลอดภัย รับบทบาทผู้หญิงพลังสำคัญของประเทศ
24 พ.ย. 2568 – เมื่อเวลา 10.30 น. ที่ห้องรอยัล จูบิลี่ อิมแพ็ค ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุมอิมแพ็ค เมืองทองธานี นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรมว.มหาดไทย เป็นประธานในงาน Kick off มอบนโยบายการขับเคลื่อนการดำเนินงานด้านการยุติความรุนแรงต่อสตรีในระดับพื้นที่ โดยมี น.ส.ธนนนท์ นิรามิษ ภริยานายกฯ น.ส.ซาบีดา ไทยเศรษฐ์ รมว.วัฒนธรรม น.ส.ศศิธร กิตติธรกุล รมช.มหาดไทย ข้าราชการ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วม
โดยนายกฯ กล่าวว่า เรามาประชุมกันในวันนี้ด้วยภารกิจที่สำคัญยิ่งคือการปกป้องประชากรเพศหญิงซึ่งมีจำนวนเกินครึ่งหนึ่งของประชากร หรือมากกว่าประชากรผู้ชายประมาณ 1.6 ล้านคน แปลว่าผู้หญิงเป็นพลังสำคัญยิ่งของประเทศ ทางด้านสังคมและเศรษฐกิจมีบทบาทมากมายที่เคียงคู่กับผู้ชาย และบทบาทเหล่านั้นบางทีผู้ชายก็ทำได้ไม่ดีเท่ากับผู้หญิง เราต้องดูแลและส่งเสริมให้พวกเขาใช้ศักยภาพอย่างเต็มที่ ถ้าเราปล่อยให้ผู้หญิงอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ไม่ปลอดภัยหรือเจอกับความรุนแรงไม่ว่ารูปแบบใด เท่ากับว่าเรากำลังลดทอนศักยภาพของประเทศไทยในส่วนของนโยบาย
ทั้งนี้ ที่ผ่านมาเราคุยกันถึงเรื่องการป้องกันและการเยียวยามามาก แต่ในปีนี้รัฐบาลต้องการให้เกิดผลอย่างจริงจังในพื้นที่ จึงได้มอบหมายให้กระทรวงมหาดไทย เป็นแกนกลางในการขับเคลื่อนงานยุติความรุนแรงต่อสตรี เพราะเราเป็นหน่วยงานที่ใกล้ชิดกับประชาชนมากที่สุด ตั้งแต่ระดับผู้ว่าราชการจังหวัด นายอำเภอ องค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) เทศบาลไปจนถึงกำนันและผู้ใหญ่บ้าน และเครือข่ายในชุมชน เราต้องการทำงานแบบป้องกันเชิงรุก สร้างความตระหนักรู้ในพื้นที่สนับสนุนโรงเรียน ครอบครัวและผู้นำชุมชนให้รู้จักสัญญาณความเสี่ยง และช่วยยับยั้งเหตุรุนแรงก่อนจะเกิดเหตุขึ้นจริง ทำให้ทุกชุมชนเป็นพื้นที่ที่ผู้หญิงและเด็กรู้สึกปลอดภัย
อีกเรื่องที่ขอเน้นย้ำคือการเชื่อมโยงข้อมูลไปยังจังหวัดและอำเภอ ซึ่งได้ขอให้ทางกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงสาธารณสุข ตำรวจ ศูนย์ดำรงธรรม และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ได้ใช้ข้อมูลร่วมกันเพื่อให้การช่วยเหลือผู้หญิงไม่ว่าจะเป็นการรักษา การแจ้งเหตุ การคุ้มครองให้ทำได้อย่างรวดเร็วต่อเนื่องและมีหลายช่องทางที่ปลอดภัย ทั้งสายด่วน ผ่านทางแอปพลิเคชัน หรือภาคประชาสังคม ข้อมูลที่เป็นหัวใจสำคัญในการช่วยเหลือ ขอให้ทุกฝ่ายไม่นิ่งดูดาย และประสานงานให้ไร้รอยต่อ
“สิ่งที่ผมอยากขอบคุณเป็นพิเศษคือภาคประชาสังคม ทุกองค์กรที่ทำงานอยู่หน้างานมาโดยตลอด หลายครั้งองค์กรเหล่านี้เป็นองค์กรแรกที่ช่วยเหลือผู้ประสบภัย และเป็นกำลังสำคัญที่ช่วยเติมเต็มงานของรัฐ รัฐบาลมองเห็นคุณค่าและบทบาทนี้และเราจะทำงานร่วมกันต่อไป อย่างไรก็ตาม รัฐบาลมีความมุ่งมั่นที่จะบูรณาการร่วมกับทุกภาคส่วน ทั้งกระทรวงต่างๆท้องถิ่น เอกชน ภาคประชาสังคม รวมถึงองค์การระหว่างประเทศ เพื่อให้สตรีทุกคนมีความปลอดภัยและได้รับการคุ้มครองเยียวยาอย่างเหมาะสมที่สุด ตนจึงขอฝากภารกิจสำคัญนี้ไว้กับทุกท่านด้วย” นายอนุทิน ระบุ
จากนั้น นายกฯ เดินทักทายกลุ่มสตรีภายในงาน พร้อมถ่ายภาพเซลฟี่อย่างเป็นกันเอง.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
'นิพิฏฐ์' โอดเมื่อเรากลับมาแล้วขอคนใต้เลือกทั้งหัวทั้งหาง
นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ สมาชิกพรรคประชาธิปัตย์
นายกฯ ถกด่วน 'เลขาฯสมช.' หลังพบสายลับเขมร-ยึดขีปนาวุธสัญชาติจีน
นายกฯ เรียกถกด่วน 'เลขาฯ สมช.' ติดตามสถานการณ์ไทยแดนไทยกัมพูชา หลังพบสายลับทหารฝั่งเขมร - ยึดขีปนาวุธสัญชาติจีน รับมีโอกาสขยายพื้นที่ประกาศกฎอัยการศึก
'อนุทิน' ลั่นเป็นนายกฯต้องรับผิดชอบ ปท. มั่นใจสถานการณ์ขัดแย้งไม่ถึงวันเลือกตั้ง
‘อนุทิน’ เผยคนเป็นนายกฯลอยตัวไม่ได้ ต้องรับผิดชอบต่อประเทศ เผยคุย ‘ทรัมป์’บอกไทยตอบโต้แรง สวนกลับส่งคลิปยิงจรวด BM-21 พิสูจน์ใครแรงกว่าใคร อัด ผู้นำเขมร มีสิทธิ์อะไรเอาดาวเทียมมาจับการปฏิบัติการทางทหารไทย มั่นใจสถานการณ์ขัดแย้งไม่ถึงวันเลือกตั้ง
ส่งทีม สธ. SRRT–SehRT 52 ชุด ลงศูนย์พักพิง เคลื่อนย้ายผู้ป่วยออกนอกพื้นที่ชายแดน
รัฐบาล ตรียมพร้อมแผนการเคลื่อนย้ายผู้ป่วยออกนอกพื้นที่ชายแดน มอบหมาย สธ. ส่งทีม SRRT–SehRT จำนวน 52 ทีม
รู้แล้วฝีมือใคร! จุดเริ่มต้นดรามา 'ซีเกมส์ 2025'
รศ.หริรักษ์ สูตะบุตร อดีตรองอธิการบดีฝ่ายบริหารบุคคล มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กว่า วิพากษ์วิจารณ์กันจนเป็นดรามา คือเรื่องพิธีเปิดการแข่งขันกีฬาซีเกมส์ครั้งที่ 33 ที่ไทยเป็นเจ้าภาพ
‘เอกนิติ’กางผลงาน2เดือนกว่าปัก5เสาหลัก1ฐานรากฟื้นศก.
‘เอกนิติ’ โพสต์ขอบคุณ ‘นายกรัฐมนตรี’ เห็นความตั้งใจ-จริงใจ ให้โอกาสเข้ามาทำงาน 2 เดือนกว่าช่วยดูแลเศรษฐกิจประเทศช่วงเปลี่ยนผ่าน พร้อมขอบคุณแรงสนับสนุน-ความร่วมมือจากทุกหน่วยงานรัฐ-เอกชน ผู้บริหาร ข้าราชการกระทรวงคลัง เดินหน้ามาตรการ ‘Quick Big Win’ ปัก 5 เสาหลัก 1 ฐานราก ฟื้นเศรษฐกิจอย่างเป็นรูปธรรม

