ไม่ทิ้งเด็กไว้ข้างหลัง! หนุนแนวทางฟื้นฟูกายใจกลางวิกฤตภัยพิบัติและสงคราม

สสส. ร่วมกับภาคีเครือข่าย เปิดเวทีสื่อสาร “แนวทางการดูแลและฟื้นใจเด็กในภาวะภัยพิบัติ-สงคราม”  หวังก้าวผ่านผ่านวิกฤตเยียวยาฟื้นฟูทั้งทางกายและจิตใจของผู้ที่ได้รับผลกระทบ

28 ธ.ค.2568 – สสส. ร่วมกับภาคีเครือข่าย เปิดเวทีสื่อสาร “แนวทางการดูแลและฟื้นใจเด็กในภาวะภัยพิบัติ-สงคราม”

ปี 2568 นับเป็นปีที่ประเทศไทย เผชิญกับสถานการณ์ที่หนักหน่วงหลายด้าน ทั้งในสถานการณ์ภัยพิบัติ และสงครามชายแดน ความสำคัญของการเยียวยาฟื้นฟูทั้งทางกายและจิตใจของผู้ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ดังกล่าว ไม่ได้มีเพียงแค่ผู้ใหญ่  แต่ “เด็ก” ก็เป็นอีกกลุ่มหนึ่งที่ต้องการการดูแลและฟื้นฟูอย่างใกล้ชิดเช่นกัน

แผนงานสร้างเสริมวัฒนธรรมการอ่าน สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ  หรือ สสส.  ร่วมกับภาคีเครือข่าย ประกอบด้วย เครือข่ายสิทธิเด็กประเทศไทย , Peaceful Death , มูลนิธิสถาบันวิจัยและพัฒนาชุมชนกรุณา  , Cheer Camp ,  ความสุขประเทศไทย  จึงได้ร่วมกันจัดกิจกรรมเวที “ภารกิจนักสื่อสารสุขภาวะเพื่อการดูแลและฟื้นใจเด็กในภาวะภัยพิบัติและสงคราม” เชิญชวนผู้ใหญ่มาเติมข้อมูลและความรู้ แนวทางดูแลและฟื้นใจเด็ก เพื่อให้กำลังใจและขยายขอบเขตการดูแลเด็ก ๆ หากต้องเผชิญกับสถานการณ์ภัยพิบัติหรือสงคราม

โดยมีการเปิดเวทีแลกเปลี่ยน ในหัวข้อ “ประสบการณ์จากพื้นที่ภัยพิบัติและสงคราม”  และ “แนวทางการดูแลเด็กและการออกแบบพื้นที่ที่เป็นมิตรกับเด็ก” รวบรวมเสียงสะท้อนจากผู้ปฏิบัติงานจริงและผู้เชี่ยวชาญ มาถักทอเป็นองค์ความรู้ เพื่อโอบอุ้มจิตใจของเด็กให้ก้าวข้ามผ่านพายุวิกฤต


เจริญพงศ์ ชูเลิศ หรือ “ครูยอด” ผู้ก่อตั้งกลุ่มนิทานใบไม้ เล่าถึงประสบการณ์การเป็นผู้ประสบภัยที่ต้องอพยพซ้ำซ้อน พาครอบครัวหนีสงครามชายแดนไทย-กัมพูชา มาอยู่ที่ศูนย์พักพิงศูนย์สมุนไพรอีสานใต้อภัยภูเบศร ต.สำโรง อ.เมือง จ.สุรินทร์ ถึง 3 ครั้งภายในปีเดียว บรรยากาศในศูนย์พักพิงที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอน สภาพปัญหาที่พบคือความยืดเยื้อและความรุนแรงที่เพิ่มขึ้นจนไม่มีใครคาดเดาจุดจบได้

 “ทุกวันนี้เราคุ้นเคยกับคำว่าสงคราม แต่เราไม่เคยเจอกับคำว่าสงครามเต็มรูปแบบอย่างนี้เลย และยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้น….ตอนนี้ไม่มีใครตอบได้ว่าสงครามครั้งนี้จะไปสิ้นสุดที่ตรงไหน ไม่มีใครตอบได้… บางทีก็มีการพูดกันสนุกๆ ในศูนย์พักพิงว่า เอ้ย ปีนี้เราอาจจะได้เคาท์ดาวน์กันอยู่ที่นี่ก็ได้”

 สิ่งที่ เจริญพงศ์ พบคือ เด็กๆนับหมื่นคนต้องอยู่อย่างเคว้งคว้างท่ามกลางเสียงปืนใหญ่ ไม่มีกิจกรรมใดๆ ทำตลอดทั้งวัน หลังตั้งหลักได้เขาจึงตั้งคำถามว่า จะทำอย่างไรให้กับเด็กๆ ได้บ้าง เขาและเครือข่ายในนามสภาพลเมืองจังหวัดสุรินทร์ จึงเริ่มระดมอุปกรณ์ศิลปะและกิจกรรมสร้างสรรค์ต่างๆ เพื่อสร้างพื้นที่เยียวยา แต่สิ่งที่น่าสะเทือนใจคือ พวกเขากลับพบว่า ผลงานของเด็กๆ มักสะท้อนภาพจำที่พวกเขาเผชิญ


“บางวันก็จะได้ยินเสียงปืนใหญ่ที่มาพร้อมกับตอนที่เรากำลังพาเด็กๆ วาดรูปทำกิจกรรม ศิลปะอยู่ ก็จะมีเสียง บึ้ม บึ้ม อยู่รอบๆ เรา… เด็กเขาก็สะท้อนออกมาเลย จากภาพที่วาด มีรถถัง มีเครื่องบิน มีบ้าน มีไฟไหม้… ซึ่งมันออกมาจากสิ่งที่เขาเผชิญ ”

 สถานการณ์ชายแดนครั้งนี้ ทำให้ใน จ.สุรินทร์ มีศูนย์พักพิงเกิดขึ้นมากกว่า 100 ศูนย์ พวกเขาพยายามลงพื้นที่ไปทำกิจกรรมกับเด็กๆ ให้ได้มากที่สุด แต่เต็มที่ก็ทำได้เพียงแค่วันละ 3 ศูนย์ โดยกฎเหล็กสำคัญที่ เจริญพงศ์ และเครือข่ายตกลงกัน คือ “จะไม่ตอกย้ำความรุนแรง” ไม่มีการตั้งหัวข้อหรือชี้นำให้เด็กนึกถึงเหตุการณ์เลวร้าย แต่จะให้อิสระเด็กได้ระบายความรู้สึกผ่านศิลปะออกมาอย่างเต็มที่ เพื่อให้พวกเขาได้ระบายความรู้สึกที่อัดอั้นออกมาอย่างปลอดภัย

 “ ในสภาวะแบบนี้เป็นสภาวะที่ไม่ปกติและเราเพิ่งเผชิญกับมัน เราจึงมีข้อตกลงกันว่าจะพยายามไม่ไปลงลึกจนเกินไปในเรื่องเหตุการณ์ที่มันเกิดขึ้นทางด้านความรุนแรง ไม่อยากไปตอกย้ำเรื่องความรุนแรง… แต่ให้เขาได้อิสระ ได้ฟรีฟอร์มออกมาเลยว่าเขาอยากสื่อสารอะไร ”  เจริญพงศ์ กล่าว

เมื่อข้ามฟากไปที่วิกฤตน้ำท่วมหาดใหญ่ พญ.ภัทรภร คงอินทร์ หรือ หมอเป้ อาจารย์จิตแพทย์เด็กและวัยรุ่น สาขาวิชาจิตเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ต้องรับมือกับการดูแลเด็กๆนับพัน ในศูนย์พักพิง ม.อ.ที่มีคนแออัดถึง 7,000 คน สิ่งแรกที่หมอเป้ให้ความสำคัญ นอกเหนือจากเรื่องของปัจจัย 4 คือ “ความปลอดภัยทางกายภาพ” ตั้งแต่การติดแท็กสติ๊กเกอร์ชื่อผู้ปกครองที่ตัวเด็กเพื่อกันการพลัดหลง ไปจนถึงการสอดส่องป้องกันการทอดทิ้งเด็ก หรือเด็กที่ถูกนำตัวมาโดยแยกจากผู้ปกครอง โดยในศูนย์พักพิงจะมีการกำหนดจุดนัดพบที่ชัดเจน หากหายหรือพลัดหลงจากผู้ปกครอง

 “ถ้าเด็กๆ นั่งๆ นอนๆ ไม่มีที่ยึดเกาะ ใจเขาก็จะวนไปนึกถึงเหตุการณ์ยากลำบากที่เพิ่งเผชิญผ่านมา เราจึงเริ่มต้นจากการฟอร์มทีมเท่าที่เราหาได้ เพราะจิตแพทย์ในพื้นที่เอง ก็เป็นผู้ประสบภัยเช่นกัน ก่อนที่จะเริ่มทำกิจกรรม เราให้ผู้ปกครองสามารถมาเข้าร่วมด้วยได้ ”

เพื่อเข้าถึงเด็กกลุ่มนี้ หมอเป้และทีมงานจึงได้สร้าง “พื้นที่ปลอดภัย” เล็กๆ ขึ้นในมุมหนึ่งของศูนย์ฯ ใช้กิจกรรมศิลปะเป็นการปฐมพยาบาลทางใจ โดยให้เด็กๆ วาดภาพ “สถานที่ที่หนูรู้สึกปลอดภัย” ซึ่งช่วยให้ทีมงานสามารถคัดกรองเด็กที่ต้องการการดูแลเป็นพิเศษได้ ก่อนจะขยายผลไปทำงานร่วมกับทีมครูอาสา เพื่อสอดแทรกแนวคิด “การปฐมพยาบาลทางใจ” เข้าไปในทุกกิจกรรมการเล่นอย่างเป็นธรรมชาติ ทั้งผ่านการปั้นดินน้ำมันหรือการนับสี เพื่อดึงเด็กกลับมาอยู่กับปัจจุบัน

 ข้อค้นพบที่น่าสนใจ คือ สภาวะจิตใจของเด็กๆ ซึ่งแตกต่างจากที่ผู้ใหญ่คาดคิด แม้เด็กๆ 80-90% ที่ศูนย์พักพิง จะดูมีความสุข แต่หมอเป้วิเคราะห์ว่า ความสุขนั้นเป็นเพียงภาพภายนอกที่เด็กๆ ตื่นเต้นกับการได้เจอเพื่อนใหม่ในพื้นที่เล่นขนาดใหญ่ แต่ยังมีเด็ก 10-15% ที่ได้รับผลกระทบอย่างเงียบๆ ซึ่งบาดแผลทางใจที่มองไม่เห็นเหล่านี้ของเด็ก อาจแสดงออกมาในสิ่งเล็กน้อยที่ผู้ใหญ่มักมองข้าม

เราได้ตั้งโจทย์ถามเด็กๆ ถึงสถานที่ที่รู้สึกปลอดภัย โดยให้เด็กวาดภาพออกมา จังหวะที่เด็กๆวาด เราจะเห็นเลยว่า มีใครบ้างที่ได้รับผลกระทบ เช่น บางคนเงียบๆวาดส่วนตัว แยกวงไป หรือบางคนพอมีประตูที่เปิดเข้าเปิดออก พอเสียงมันปึ้ง  บางคนสะดุ้ง หรือบางทีเราคุยๆ กันแล้วมีคนพูดว่า “เรือ” เด็กเล็กๆ คนหนึ่งก็พูดออกมาเลยว่า “ไม่เอาเรือ”  ” 

เด็กอีกหลายคนยังเผชิญกับความสูญเสียที่มากกว่าสิ่งของ เช่น มีการสูญเสียคนในครอบครัว หรือ เด็กที่สัตว์เลี้ยงเสียชีวิต ซึ่งเป็นสัตว์ที่เขารักเหมือนคนในครอบครัว การเยียวยาบาดแผลทางจิตใจ คือการอนุญาตให้เขาได้รู้สึกเศร้าอยู่กับมัน โดยที่มีผู้ใหญ่อยู่เคียงข้างคอยรับฟัง และปลอบอารมณ์ได้

 คุณหมอเป้ยังมองว่า หลังสถานการณ์ผ่านไป หากจะมีการทำกิจกรรมแนะนำแนวทางการเอาตัวรอดจากภัยพิบัติ การคำนึงถึงช่วงเวลาที่เหมาะสมของการทำกิจกรรม ก็มีความสำคัญ เพื่อไม่ให้กลายเป็นตัวกระตุ้นให้เด็กต้องนึกถึงเหตุการณ์ที่เพิ่งทำให้ตนเองบอบช้ำ


 “การที่เรามีใจอยากจะเข้าไปช่วยเขา ขอให้ช่วยเขากลับมาอยู่กับสถานการณ์ปัจจุบันได้เท่านั้นเพียงพอ ไม่มีความจำเป็นที่เราจะต้องไปขุดคุ้ย ว่าที่ผ่านมามันเป็นยังไง” 

 “ สิ่งหนึ่งที่เราได้เรียนรู้จากเด็กๆ คือ หลายครั้งที่เราคิดว่า เด็กเขาอ่อนแอ แต่ในความจริงแล้ว เด็กเขามี Wisdom หรือมีปัญญาของตัวเอง… เขาสามารถปรับตัวได้ค่อนข้างดี ถ้ามีผู้ใหญ่ที่อยู่เคียงข้างรับฟังและปลอบอารมณ์ได้ ”  หมอเป้กล่าวสะท้อนพลังแห่งการฟื้นตัวของเด็กๆ

ประสบการณ์ในภาวะวิกฤต ไม่ได้เป็นเพียงความทรงจำที่เลวร้าย แต่คือสภาวะที่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อการทำงานของสมองและพัฒนาการของเด็กในระยะยาว ในเชิงวิชาการ ผศ.นพ.เทอดพงศ์ ทองศรีราช กุมารแพทย์พัฒนาการและพฤติกรรมเด็ก ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ รพ.รามาธิบดี และผู้เขียนหนังสือ “ปลูกกล้ากลางไฟ” ซึ่งเป็นคู่มือ ในการดูแลและฟื้นฟูจิตใจเด็กในภาวะวิกฤตตามมาตรฐานสากล  กล่าวถึง “แนวทางการดูแลเด็กและการออกแบบพื้นที่ที่เป็นมิตรกับเด็ก”  โดยอธิบายว่าเด็กที่เผชิญกับเหตุการณ์รุนแรงต่อเนื่องจะตกอยู่ในสภาวะที่เรียกว่า “Toxic Stress” หรือความเครียดเป็นพิษ ทั้งเด็กที่ต้องย้ายจากการอพยพ ไม่ได้ไปเรียนหนังสือ และเสียงปืนที่ดังจากการรบ เด็กที่เสียชีวิตจากระเบิดที่ลงในพื้นที่ การที่มีความรุนแรงออกไปในหน้าข่าว เด็กที่ติดตามข่าวก็ได้รับผลกระทบด้วยเช่นกัน

“ เวลาให้เด็กวาดรูปคน ทั้งที่เขาไม่ได้อยู่ในพื้นที่สงครามเขากลับวาดคนถือปืน วาดคนอยู่บนรถถัง ซึ่งพอเรามอง ตอนแรกขำ แต่พอคิดไป ไม่ขำเลย เพราะเด็กอยู่ในวัยที่รับรู้ ช่วงหนึ่งในชีวิตเขาแทนที่จะเรียนรู้เรื่องสร้างสรรค์ แต่กลับต้องเรียนรู้เรื่องความรุนแรง หากได้รับการตอบสนองที่ไม่เหมาะสม อาจะเกิดผลกระทบ กลายเป็นพฤติกรรมของเขาในอนาคต…”

 เวลาที่คนเราต้องเผชิญกับภาวะวิกฤต สภาวะนี้ถูกเปรียบเทียบให้เห็นภาพง่ายๆ ว่าเหมือนสมองที่มีไฟลุกอยู่ตลอดเวลา หรืออยู่ในโหมด “สู้” หรือ “หนี” ตลอดเวลา ซึ่งเป็นสภาวะที่สมองถูกออกแบบมาเพื่อการเอาชีวิตรอด ไม่ใช่เพื่อการเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ดังนั้นไม่ว่าจะนำครูหรือกิจกรรมส่งเสริมพัฒนาการใดๆ เข้าไป แต่หากสมองของเด็กยังคง “ลุกเป็นไฟ”  จากความกลัว ความกังวล การเรียนรู้ก็ย่อมเกิดขึ้นได้ยาก

 ซึ่งผลกระทบนี้ไม่ใช่เรื่องชั่วคราว  แต่ทำให้เด็กเรียนรู้อะไรไม่ได้และส่งผลต่อพฤติกรรมรุนแรงในอนาคต

“เสียงปืนหรือสงคราม ไม่ว่ามันจะสั้นแค่ไหน แต่ผลกระทบต่อจิตใจเด็กมันเกิดขึ้นยาวนานเสมอ เพราะมันเป็นเหตุการณ์รุนแรง ซึ่งในชีวิตเขาไม่เคยเจออย่างนั้นมาก่อน หากเราจัดการได้ไม่ดี ผลกระทบมันจะยาวนาน…หรืออาจจะตลอดไป”

 หากบาดแผลทางใจเหล่านี้ไม่ได้รับการดูแลอย่างถูกวิธี อาจนำไปสู่ภาวะวิตกกังวลหลังเกิดเหตุวิกฤต หรือ PTSD (Post-Traumatic Stress Disorder) ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อพฤติกรรม อารมณ์ และการใช้ชีวิตของเด็กไปตลอดช่วงชีวิต ดังนั้น เป้าหมายสูงสุดของการเยียวยาในระยะแรกจึงไม่ใช่แค่การทำให้เด็กร่าเริง แต่คือการ “ป้องกัน” ไม่ให้บาดแผลเฉียบพลันกลายเป็นแผลเป็นเรื้อรังทางใจ

ผศ.นพ.เทอดพงศ์ ได้อธิบายให้เห็นถึงหลักการสำคัญในการดูแลเด็ก ที่สรุปจากคู่มือ “ปลูกกล้ากลางไฟ” ออกมาเป็นหลัก “4 ป.” ที่เข้าใจง่ายและครอบคลุมกระบวนการทั้งหมดตั้งแต่ต้นจนจบ ได้แก่

ปลอดภัย เป็นขั้นตอนพื้นฐานและสำคัญที่สุด โดยสร้างความปลอดภัยทั้งทางร่างกายและทางจิตใจ เช่น การจัดหาที่พัก อาหาร ทำให้เด็กรู้สึกว่ามีผู้ใหญ่ที่เขาไว้ใจได้คอยดูแลอยู่

ปลอบขวัญ คือ การพยายามคืนความรู้สึกปกติสุขกลับมาให้เด็ก ผ่านการจัดกิจกรรมที่เหมาะสมตามวัย เช่น การเล่น การวาดรูป เพื่อดึงเด็กออกจากความเครียดและทำให้เขารู้สึกว่าชีวิตยังดำเนินไปอย่างปกติเหมือนที่คุ้นเคย

ป้องกัน คือ การป้องกันปัญหาสุขภาพจิตระยะยาว (PTSD) ผ่านการปฐมพยาบาลทางใจ การสังเกตพฤติกรรม และการคัดกรองเด็กที่อาจมีความเสี่ยงสูง

เปิดบริการ คือ การส่งต่อเด็กที่มีความเสี่ยงสูงให้ได้รับการดูแลจากทีมผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง เช่น จิตแพทย์เด็ก หรือนักจิตวิทยา

ผศ.นพ.เทอดพงศ์ เน้นย้ำหัวใจสำคัญของการเยียวยาคือการสร้าง “พื้นที่ปลอดภัยสำหรับเด็ก” หรือ “Child-Friendly Space”  อย่างไม่เลือกปฏิบัติ  เป็นแนวคิดที่องค์กรระดับโลกอย่าง UNICEF และ WHO ให้การยอมรับ  ซึ่งไม่จำเป็นต้องใหญ่โต เพียง 1×1 ตารางเมตร ที่สงบ อากาศถ่ายเท และอยู่ใกล้ห้องน้ำเพื่อป้องกันการถูกล่วงละเมิด, และต้องไม่มีของเล่นที่เป็นปืน หรือของเล่นที่ดูเป็นทางการทหาร เพราะของเหล่านี้เมื่อเด็กเห็นแล้วเขาจะรู้สึกว่า Trauma มากกว่าเดิม โดยเจ้าหน้าที่เองก็ต้องเรียนรู้ด้วยเช่นกัน เรื่องของจรรยาบรรณในการพูดคุยกับเด็ก

 “ การออกแบบพื้นที่ความปลอดภัยสำหรับเด็ก กิจกรรมควรเน้นความสงบ เช่น การอ่านนิทาน การวาดภาพ และการแสดงผลงานของเด็กไว้ในพื้นที่ ซึ่งการมีพื้นที่ที่เด็กได้แสดงผลงานของตัวเอง จะทำให้เขารู้สึกว่า พื้นที่นี้เป็นพื้นที่สำหรับเขาจริงๆ ”  ผศ.นพ.เทอดพงศ์ กล่าว

ด้าน นางสุดใจ พรหมเกิด ผู้จัดการแผนงานสร้างเสริมวัฒนธรรมการอ่าน  สสส.  กล่าวว่า “ ทุกภาคส่วนมีบทบาทสำคัญในการร่วมกันปกป้องเด็กๆ ให้มีความเข้มแข็ง พร้อมก้าวต่อไปแม้มีภัยคุกคาม การออกแบบพื้นที่ที่เป็นมิตรกับเด็ก (Child-Friendly Spaces : CFS) ถือเป็นกลไกสำคัญในการคุ้มครอง ฟื้นฟู และส่งเสริมพัฒนาการของเด็กอย่างรอบด้าน ทั้งด้านร่างกาย อารมณ์ สังคม และสติปัญญา ออกแบบโดยคำนึงถึงความต้องการและศักยภาพของเด็กเป็นศูนย์กลาง ใช้ต้นทุนภูมิปัญญาและทรัพยากรของท้องถิ่นๆ  นั้นๆ  เด็กสามารถเข้าไปใช้พื้นที่เพื่อเล่น เรียนรู้ แสดงออกทางความคิดและความรู้สึก รวมถึงได้รับการดูแลทางจิตใจจากผู้ใหญ่ที่มีความเข้าใจ ควรมีการติดตั้งและเตรียมพร้อมไว้ในทุกๆ ชุมชน เราจะเห็นว่า ในสถานการณ์วิกฤติต่างๆที่ เกิดขึ้น บางครั้งความช่วยเหลือจากหน่วยงานภายนอก  ยากที่เข้าถึง เพราะฉะนั้น รัฐเองต้องสนับสนุน  ให้มีทั้งนโยบาย แผนปฏิบัติการ และงบประมาณในการจัดให้พื้นที่พักใจและเป็นมิตรกับเด็กขึ้นในระดับชุมชน หรือทุกๆ ตำบล”

นางวรรณา จารุสมบูรณ์ ประธานมูลนิธิสถาบันวิจัยและพัฒนาชุมชนกรุณา, กลุ่ม Peaceful Death กล่าวทิ้งท้ายว่า  “ผู้แทนองค์กร  หน่วยงานต่างๆ ที่เข้าร่วมในครั้งนี้ ทุกคนให้ความสนใจ และพร้อมจะสานพลังให้ความช่วยเหลือพื้นที่ประสบภัยต่างๆ การจัดพื้นที่ปลอดภัยให้กับเด็กและการดูแลจิตใจของเด็กๆ ในภาวะวิกฤติ ภัยพิบัติ และสงคราม ถือเป็นเรื่องใหม่ของสังคมไทยและคนทำงานจากนี้ จะมีการจัดตั้งกลุ่มเพื่อศึกษา แลกเปลี่ยนประสบการณ์ ถ่ายทอดการนำแนวคิดไปประยุกต์ใช้  หรือช่วยกันเผยแพร่เครื่องมือในการทำงานที่เกี่ยวข้องต่อไป”

ผู้สนใจ ข้อมูลต่างเพิ่มเติม สามารถเปิดอ่านและดาวน์โหลดหนังสือ “ปลูกกล้ากลางไฟ : แนวทางการดูแลจิตใจและเลี้ยงดูเด็กในภาวะสงคราม” ทาง www.happyreading.in.th หรือสอบถามข้อมูลการดำเนินงานพัฒนาเด็กด้วยการอ่าน ติดต่อ เพจอ่านยกกำลังสุข.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

สถานการณ์ในตะวันออกกลางจะยังคงตึงเครียดต่อไปในปี 2026

การละเมิดข้อตกลงหยุดยิงในฉนวนกาซา การเปลี่ยนแปลงอำนาจในซีเรียและเลบานอน การเลือกตั้งในอิสราเอล: สถานการณ์ในตะวันออกกลางยังคงเปราะบางและตึงเครียดในปี 2026

ขับเคลื่อน...ข้อมูลสุขภาพ กุญแจหยุดโรคเรื้อรังของสังคมไทย

ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงของสังคม เศรษฐกิจ และวิถีชีวิตยุคดิจิทัล โรคไม่ติดต่อเรื้อรัง หรือ NCDs ได้ค่อยๆ แทรกซึมเข้ามาเป็นภัยเงียบของคนไทยอย่างต่อเนื่อง จากเดิมที่โรคเบาหวาน

สสส. สานพลัง เครือข่ายเล่นเปลี่ยนโลก-เครือข่ายเด็ก เยาวชนภาคใต้ เดินหน้าหนุนชุมชนสร้าง “ลานเล่นอิสระ” ใกล้บ้าน

น.พ.พงศ์เทพ วงศ์วัชรไพบูลย์ ผู้จัดการกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) กล่าวว่า เหตุการณ์วิกฤตน้ำท่วมใหญ่ในพื้นที่ภาคใต้ที่ผ่านมา ส่งผลให้ประชาชนในพื้นที่ต้องเผชิญกับความยากลำบากในการใช้ชีวิต เกิดผลกระทบโดยตรงต่อสุขภาพทั้งด้านร่างกายและจิตใจ

สสส. ปลื้ม แนวคิด “Happy Workplace” ช่วยคนทำงานอุตสาหกรรมขนส่ง 102 แห่ง สุขภาวะดี-ลดป่วย NCDs-ลดอุบัติเหตุทางถนน เดินหน้าสานพลัง สมาคมขนส่งสินค้าฯ เปิดเวที “TRUCK HERO : ฮีโร่รถบรรทุก ขับเคลื่อนความปลอดภัย ใส่ใจสุขภาวะ”

สสส. สานพลัง สมาคมขนส่งสินค้าและโลจิสติกส์ไทย จัดกิจกรรม “TRUCK HERO: ฮีโร่รถบรรทุก ขับเคลื่อนความปลอดภัย ใส่ใจสุขภาวะ” ภายใต้โครงการขับเคลื่อนและขยายผลการเสริมสร้างสุขภาวะในองค์กรแก่บุคลากรในธุรกิจขนส่ง ณ อาคารศูนย์เรียนรู้สุขภาวะ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)

รัฐบาลไทยเร่งแก้ปัญหาท้องในวัยรุ่น บูรณาการความร่วมมือ 3 หน่วยงาน ถอดบทเรียน 8 คู่มือปฏิบัติงานเสริมสร้างกลไภความเข้มแข็งในระดับพื้นพื้นที่

นายพัฒนา พร้อมพัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธาน พิธีเปิด "การประชุมวิชาการแลกเปลี่ยนเรียนรู้เพื่อส่งมอบผลงานโครงการเสริมสร้างความเข้มแข็งในการดำเนินงาน ป้องกันและแก้ไขปัญหาการตั้งครรภ์ในวัยรุ่นของประเทศ" โดยจัดขึ้นร่วมกันระหว่างสมาคมแพทย์สตรีแห่งประเทศไทยในพระบรมราชินูปถัมภ์ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)