ครอบครัวรัตนพันธ์บุกทำเนียบฯ ร้องนายกฯ ให้ตรวจสอบเอสซี แอสเสทฯ รวมทั้งผู้ถือหุ้นใหญ่ ที่สำคัญให้ตรวจเส้นทางการเงินตั้งแต่ปี 2559 โดยเฉพาะพี่เขยอุ๊งอิ๊ง ตั้งข้อสังเกตเงินอาจมาพันการเลือกตั้งในอนาคตได้
16 มี.ค.2566 – ที่ศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์ของรัฐบาล ครอบครัวรัตนพันธ์ที่ลงนามโดย น.ส.ลัดฟ้า รัตนพันธ์, ดร.ศรายุทธ รัตนพันธ์ และ น.ส.ฐานิตา รัตนพันธ์ มายื่นหนังสือให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เพื่อให้ตรวจสอบบริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) และผู้ถือหุ้นใหญ่ เพราะครอบครัวถูกรังแกมากกว่า 6 ปี และขอให้ตั้งคณะกรรมการตรวจสอบการดำเนินกิจการบริษัทเอสซีฯ และผู้บริหารจากการดำเนินธุรกิจส่อพฤติการณ์ขาดความโปร่งใส ไม่มีธรรมาภิบาล ปกปิด อำพราง และไม่เป็นธรรมต่อผู้ถือหุ้นและนักลงทุน รวมถึงขอให้มีการตรวจสอบเส้นทางทางการเงินของบริษัทเอสซีฯ ตั้งแต่ปี 2559ถึงปัจจุบัน
สำหรับเนื้อหาของจดหมายนั้นมีความยาวทั้งสิ้น 53 หน้า พร้อมทั้งแนบเอกหลักฐานประกอบด้วย 1. สัญญาอำพรางเงินกู้ 20 ล้านบาท 3 เมษายน 2561 จากบริษัทมหาชนในตลาดหลักทรัพย์ 2.บันทึกข้อตกลงให้ผู้อื่นได้รับประโยชน์ 200 ล้านบาท จากบริษัทมหาชนในตลาดหลักทรัพย์ 3. คำให้การและฟ้องแย้งของครอบครัวรัตนพันธ์ ศาลมีคำสั่งรับฟ้องแย้ง 1,500 ล้านบาทเศษ 4. หนังสืออนุมัติให้ความช่วยเหลือค่าธรรมเนียมวางศาล 1.4 ล้านบาทเศษ จากกองทุนยุติธรรม 5. หนังสือของบริษัทเอสซีฯ เลขที่ SC-L 262/2561 ลงวันที่ 31 ตุลาคม 2561 6.หนังสือของกรมสอบสวนคดีพิเศษ DSI 7.แบบร้องเรียนสำนักงานคณะกรรมการ ก.ล.ต. เลขที่รับ 6420 ลงวันที่ 14 มีนาคม 2566 8.Press ครอบครัวรัตนพันธ์ ร้องสื่อปมเสียหายเพราะพฤติการณ์ของผู้บริหาร SC Asset และผู้ถือหุ้นใหญ่ตระกูลชินวัตร วันที่ 2 มีนาคม 2566 ณ ห้องกมลพร โรงแรมเดอะสุโกศล กรุงเทพ 9. คลิปเสียงการสนทนาระหว่างนายณัฐพงศ์ คุณากรวงศ์ CEO กับดร.ศรายุทธ รัตนพันธ์ 10.คลิปเสียงการสนทนาระหว่างนายอรรถพล สฤษฎิพันธวาทย์ CCO กับนางสาวลัดฟ้า รัตนพันธ์ และ 11.คลิปเสียงคุณหญิงพจมาน ดามาพงศ์ผู้ถือหุ้นใหญ่บริษัทเอสซีฯ ที่ผู้ใหญ่ท่านหนึ่งติดต่อให้เข้าไปนั่งคุยเพื่อขอความเป็นธรรม ในวันที่ 27 กันยายน 2562
ทั้งนี้เนื้อหาของหนังสือระบุว่า ด้วยบริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือเรียกว่าบริษัทเอสซีฯ เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัท (มหาชน) จำกัด อยู่ในตลาดหลักทรัพย์ จดทะเบียน ณ กรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ มีกรรมการผู้มีอำนาจประกอบด้วย นายณัฐพงศ์ คุณากรวงศ์ ,นายณัฎฐ์พัฒน์ เอื้อใจ, นายอรรถพล สฤษฎิพันธาวาทย์ กรรมการสองในสามคนนี้ลงลายมือชื่อร่วมกันและประทับตราสำคัญ สามารถกระทำการแทนและมีผลผูกพันบริษัท มีวัตถุประสงค์ประกอบธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ โดยพัฒนาที่ดินและขออนุญาตจัดสรรเป็นหมู่บ้านจัดสรรเพื่อการอยู่อาศัยเพื่อจำหน่ายที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างให้แก่บุคคลทั่วไป ผู้ถือหุ้นใหญ่โดยชินวัตรเกี่ยวข้องกับการดำเนินกิจกรรมทางการเมืองและพรรคการเมือง
กล่าวคือบริษัทเอสซีฯ บริหารและดำเนินกิจการจนทำให้ครอบครัวของเราได้รับความเสียหายมายาวนานกว่า 6 ปี หลายคนต้องล้มป่วย บ้านแตกสาแหรกขาด ไม่มีที่อยู่ สูญเสียบ้านและที่ดินมูลค่ากว่า 200 ล้านบาทเศษ เราติดตามให้บริษัทเอสซีฯ รับผิดชอบชดใช้ค่าเสียหาย จนถึงตัวนายณัฐพงศ์ คุณากรวงศ์ CEO (ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร, กรรมการบริหาร และกรรมการผู้มีอำนาจลงนาม) เมื่อทราบก็ให้คำมั่นชดใช้ค่าเสียหายดังกล่าว โดยร่วมกับนายอรรถพล สฤษฎิพันธาวาทย์ CCO (ประเจ้าหน้าที่ด้านสนับสนุนองค์กร, กรรมการบริหารและ กรรมการผู้มีอำนาจลงนาม) และนายสมบูรณ์ คุปติมนัส CLO (เลขานุการบริษัท) เลือกหาวิธีจ่ายค่าเสียหายไม่เป็นธรรมต่อผู้เสียหายและผู้ถือหุ้น,นักลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ ร่วมกันปกปิด ซ่อนเร้น อำพรางความจริงที่เกิดขึ้นโดยซุกซ่อนการจ่ายเงินชดใช้ค่าเสียหายจำนวน 200 ล้านบาทเศษ อำพรางเป็นบันทึกข้อตกลงการให้ประโยชน์จากส่วนต่าง 200 ล้านบาทเศษ 1 ฉบับ และสัญญากู้ยืมเงิน 20 ล้านบาทอีก 1 ฉบับ สิ่งที่ส่งมาด้วย 1 และ 2
จากนิติกรรมอำพรางสัญญากู้ยืมเงิน 20 ล้านบาท ให้เด็กอายุ 23 ปี บุตรของผู้เสียหายในขณะนั้นลงนามเป็นผู้กู้ เพราะอ้างว่าตนเป็นบริษัทมหาชนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ไม่สามารถจ่ายเงินค่าเสียหายออกมาได้ และส่วนที่เหลือให้ได้รับประโยชน์จากส่วนต่างตามบันทึกข้อตกลงจำนวนรวม 200 ล้านบาทเศษ แต่เมื่อเด็กลงนามในสัญญา CEO กลับไม่สุจริต ไม่ดำเนินการตามที่ให้คำมั่นไว้ หลบหนีและโยกโย้ถึงปัจจุบัน ไม่ยอมชดใช้ค่าเสียหายในส่วนที่เหลือ อีกทั้งยังนำสัญญากู้ยืมเงินอำพรางการชดใช้ค่าเสียหายดังกล่าวมาฟ้องเป็นคดีต่อศาลแพ่ง เลขคดี มย.66/2563 การกระทำดังกล่าวเป็นการดำเนินธุรกิจอย่างไม่มีธรรมภิบาล ไม่สุจริตและไม่มีความรับผิดชอบ
ครอบครัวของเราต้องต่อสู้กับบริษัทอสังหาริมทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์ยักษ์ใหญ่มูลค่าเป็นหมื่นล้าน มีทั้งเงิน ทั้งอำนาจ และอิทธิพลในสังคม พวกเขากระทำการย่ำยีมนุษย์หลายอย่างโดยไม่เกรงกลัวต่อกฎหมาย ไม่เคารพในกระบวนการยุติธรรม เราต้องต่อสู้คดีโดยลำพังไม่มีทนายความ มีเพียงความจริงที่ได้แสดงให้ประจักษ์ต่อศาล ซึ่งการไต่สวนความจริงกว่า 2 ปี หลักฐานปรากฏ ศาลจึงมีคำสั่งให้รับฟ้องแย้งหรือฟ้องกลับบริษัทเอสซีฯ เป็นเงินจำนวน 1,500 ล้านบาทเศษ ตามคำสั่งศาลแพ่งวันที่ 19 มกราคม 2566 สิ่งที่ส่งมาด้วย 3 และ 4 โดยได้รับความช่วยเหลือจากกองทุนยุติธรรมในส่วนของค่าธรรมเนียมวางศาล 1.4 ล้านบาท
ประการแรกเมื่อนายณัฐพงศ์ คุณากรวงศ์ CEO บริษัทเอสซีฯ รับทราบว่ามีการกระทำผิดจนเกิดความเสียหายต่อผู้อื่น และยอมรับผิดชดใช้ค่าเสียหายนั้นก็ย่อมต้องมีความรับผิดชอบ ซื่อสัตย์และสุจริตต่อทั้งผู้เสียหาย และต่อผู้ถือหุ้นและประชาชนส่วนรวม แต่กลับไม่รับผิดชอบต่อผู้เสียหาย หลอกให้ลงนามหวังปิดปาก หนีความผิด อีกทั้งในการดำเนินกิจการของบริษัทการนำเงิน 20 ล้านบาทออกมาให้บุคคลภายนอกกู้ ซึ่งนายอรรถพล สฤษฎิพันธาวาทย์ CCO แจ้งว่าบริษัทเป็นบริษัทมหาชนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ ไม่เคยให้บุคคลภายนอกกู้ ในการที่ให้เด็กอายุเพียง 23 ปี ซึ่งไม่เคยเขียนคำขอกู้ ไม่มีการตรวจสอบเครดิตบูโร ไม่มีหนังสือรับรองการทำงานหรือรายได้อื่นใด เพราะเป็นเด็กจบใหม่ที่ไม่เคยทำงาน และไม่มีหลักทรัพย์ใดๆค้ำประกัน ใช้เพียงบัตรประชาชนใบเดียวก็สามารถอนุมัติสั่งจ่ายเช็คในนามบริษัทเอสซีฯ จำนวนเงิน 20 ล้านบาทให้เด็กอายุ 23 ปีได้ทันทีนั้น เป็นการกระทำที่ถูกต้องและโปร่งใสมีธรรมาภิบาลในการดำเนินธุรกิจของบริษัทมหาชนในตลาดหลักทรัพย์หรือไม่ และบริษัทเอสซีฯ มีการกระทำดังกล่าวนี้อีกหรือไม่ เนื่องด้วยบริษัทเอสซีฯเกี่ยวข้องกับทางการเมืองโดยตรงเพราะผู้ถือหุ้นเกินกว่าร้อยละ 60 คือครอบครัวชินวัตรและผู้ถือหุ้นอันดับ 1 คือนางสาวแพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย หากมีการดำเนินการทางการเงินได้โดยไม่มีหลักหรือแบบแผนเช่นนี้ อาจนำไปสู่การนำเงินออกจากบริษัทเพื่อเข้าสู่กระบวนการเลือกตั้งได้หรือไม่
ประการที่สองการการชดใช้ค่าเสียหายด้วยการให้ประโยชน์จากส่วนต่างจำนวน 200 กว่าล้านบาทเศษกับผู้อื่นของบริษัทมหาชนในตลาดหลักทรัพย์ การกระทำดังกล่าวเป็นการกระทำที่ถูกต้องหรือไม่และอาจจะนำไปสู่การนำเงินออกจากบริษัทไปให้บุคคลภายนอกได้หรือไม่ หากมีการกระทำดังกล่าวเกิดขึ้นย่อมส่งผลกระทบอย่างยิ่งต่อประชาชน เพราะบริษัทเอสซีฯ เป็นบริษัทมหาชนในตลาดหลักทรัพย์ที่ประชาชนเข้าซื้อหุ้นได้ การนำเงินที่ออกจากบริษัทไปให้บุคคลอื่นๆได้โดยไม่มีมาตรฐานข้อบังคับการปฏิบัติที่ชัดเจน ย่อมส่งผลเสียต่อประชาชนผู้เข้าซื้อหุ้นและอาจจะเป็นอีกหนึ่งวิธีที่สามารถนำเงินออกจากบริษัทให้บุคคลภายนอกใดเพื่อประโยชน์ของบริษัทเอสซีฯหรือประโยชน์ทางการเมืองได้
ครอบครัวรัตนพันธ์ร้องขอต่อ ฯพณฯ นายกรัฐมนตรี ได้โปรดตั้งคณะกรรมการตรวจสอบการดำเนินกิจการบริษัทเอสซีฯ และนายณัฐพงศ์ คุณากรวงศ์ , นายอรรถพล สฤษฎิพันธาวาทย์ ผู้บริหาร จากการดำเนินธุรกิจส่อพฤติการณ์ขาดความโปร่งใส ไม่มีธรรมาภิบาล ปกปิด อำพราง และไม่เป็นธรรมต่อผู้ถือหุ้นและนักลงทุน รวมถึงขอให้มีการตรวจสอบเส้นทางทางการเงินของบริษัทเอสซีฯ ตั้งแต่ปี 2559 ถึงปัจจุบัน และได้โปรดกำชับสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เข้าตรวจสอบการกระทำของบริษัทเอสซีฯ โดยป้องกันมิให้มีอำนาจอื่นใดแทรกแซง เพื่อเป็นประโยชน์ต่อประชาชนในวงกว้าง และขอให้กำชับกรมสอบสวนคดีพิเศษหรือ DSI เร่งรับคดีครอบครัวรัตนพันธ์ กับบริษัทเอสซีฯ เป็นคดีพิเศษอย่างเร่งด่วน และได้โปรดกำชับสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน เข้าตรวจสอบเส้นทางการเงินเพื่อป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินในประเทศไทย เนื่องจากพฤติกรรมการที่บริษัทมหาชนในตลาดหลักทรัพย์ ไม่มีมาตรฐานข้อบังคับในการนำเงินออกจากบริษัทอย่างชัดเจนและเคร่งครัด อาจจะนำไปสู่เส้นทางการหลบเลี่ยงทางการเงิน หรือการนำเงินเข้าหรือออกนอกระบบได้ง่ายดาย และอาจเป็นอีกหนึ่งทางที่ใช้ในการดำเนินธุรกรรมทางการเงินอย่างไม่สุจริตทั้งในการประกอบธุรกิจและการดำเนินกิจกรรมทางการเมือง บริษัทเอสซีฯ เป็นบริษัทของตระกูลนักการเมืองเลยก็ว่าได้ เมื่อบริษัทนี้มีพฤติกรรมในการดำเนินธุรกิจดังที่กล่าวมาข้างต้น จึงอาจจะมีการกระทำที่ไม่สุจริต ไม่โปร่งใส อาจจะเป็นการกระทำผิดที่เกี่ยวเนื่องการทุจริตการเลือกตั้งในอนาคตอันใกล้นี้ได้เช่นกัน
ครอบครัวรัตนพันธ์พร้อมเป็นพยานและเปิดเผยความจริงให้กับประชาชนให้รับทราบถึงพฤติการณ์ในการดำเนินธุรกิจของบริษัทเอสซีฯ โดยขอรับการดูแลความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินจากหน่วยงานภาครัฐจากการเปิดเผยความจริงดังกล่าว เราจะทำทุกอย่างเพื่อให้ผู้กระทำความผิดต้องได้รับโทษ ความยุติธรรมในประเทศนี้ต้องไม่ใช่แค่คำพูด แต่ต้องเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้จริงในสังคมไทยของเราทุกคน ขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าตรวจสอบพฤติการณ์ของบริษัทเอสซีฯ ปฏิบัติอย่างถูกต้อง ซื่อสัตย์ ยุติธรรมและตรงไปตรงมา เพื่อให้ประชาชนในสังคมได้รับรู้ความจริงด้วยความเที่ยงธรรม อีกทั้งขอวิงวอนสื่อให้ช่วยกันนำเสนอข่าวเพื่อให้ประชาชนได้รับข่าวสารข้อมูลการดำเนินธุรกิจของบริษัทมหาชนในตลาดหลักทรัพย์ที่เป็นประโยชน์ต่อการตัดสินในการลงทุน และมีข้อมูลในการดำเนินธุรกิจรวมถึงรูปแบบการดำเนินงานของตระกูลชินวัตรที่ขอโอกาสอาสาเข้ามาอยากรับใช้ประชาชนบริหารประเทศ
จึงกราบเรียนมาเพื่อขอได้โปรดพิจารณาดำเนินการเพื่อให้ความยุติธรรมปรากฏขึ้นในสังคมไทยของเราทุกคน
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
ประชุม คกก.ถอดบทเรียนอุทกภัยนัดแรกเล็งลอกการบ้านแดนปลาดิบ
'บวรศักดิ์' ประชุม คกก.ถอดบทเรียนอุทกภัยนัดแรก ชี้ประเทศมี กม.แก้ภัยพิบัติเพียบ แต่เกิดเหตุฉับพลันอำนาจสั่งการไม่ได้ เตรียมถอดบทเรียนแบบญี่ปุ่น ก่อน 'นายกฯ อนุทิน' นั่งหัวโต๊ะนำประชุมต่อ
ต้องตีความ! อนุทินบอก 12 ธ.ค.คาดเข็มขัดนิรภัย
นายกรัฐมนตรี ลั่น คาดเข็มขัดนิรภัย หลังสื่อถาม 12 ธ.ค.ไม่มีอุบัติเหตุทางการเมืองใช่หรือไม่ ยกมือขึ้นมาโบกปฏิเสธ หลัง 'เพื่อไทย' ไม่ยื่นซักฟอกแล้ว บอกทำงานทุกวัน ยังไม่ได้คุย ย้ำอยู่ไม่เกิน 31 มค.
'อนุทิน' ขึงขังห้ามทำลายเกียรติภูมิ-รุกล้ำ!
นายกฯ กร้าว! ห้ามรุกล้ำ ห้ามย่ำยี ห้ามทำลายเกียรติภูมิและคนไทย ปมชายแดนบ้านหนองจาน ปัดขีดเส้นตายให้ชาวกัมพูชาต้องย้ายออกก่อนยุบสภา ย้ำความมั่นคงไม่มีกรอบกำหนด
นายกฯ บอกให้ทุกคนระบายแต่ย้ำเชื่อตัวเลขหมอ-สธ.
นายกฯ ชี้ตัวเลขผู้เสียชีวิต เชื่อแพทย์ - สถาบันนิติเวช บอก ปกปิดไม่ได้ หลังสะพัดมียอดผู้เสียชีวิตจากเหตุอุทกภัยหลักพัน บอกปล่อยให้ระบายแล้วจบ ทำงานต่อ หลังมีคลิปชาดา ไล่นายกฯแป้น
นายกฯ มอบนโยบาย กอ.รมน.เร่งปราบภัยข้ามชาติ-สแกมเมอร์
'นายกฯ' มอบนโยบาย 'กอ.รมน.' กำหนดทิศทางปี 69 มุ่ง 'ยั่งยืน-ทันสมัย' เร่งปราบปรามภัยข้ามชาติ-สแกมเมอร์ ชูงานเชิงรุกร่วมมือชุมชน เข้าถึงเป็นที่พึ่งประชาชน
มิตรแท้! จีนมอบเงินช่วยน้ำใต้อีกกว่า 30 ล้าน
'ทูตจีน' มอบเงินช่วยน้ำท่วมใต้อีก 30 กว่าล้าน ย้ำความสัมพันธ์ไทย - จีน มิตรภาพแน่นแฟ้น มั่นใจภายใต้การนำ 'นายกฯ อนุทิน' ช่วยฟื้นฟูได้รวดเร็ว 'นายกฯ' ขอบคุณรัฐบาลจีน ยันนำเงินเยียวยาช่วย ปชช.- ศก.ใต้ รวดเร็วโปร่งใสเป็นธรรม


