ท้าทายเพื่อไทย! ‘ตระบัดสัตย์-เปลี่ยนขั้วซบลุง’ แลกเจ้าของพรรคกลับบ้าน

จตุพร อ่านขาดคาด ‘เจ้าของพรรค’ ยอมทำลายเพื่อไทยย่อยยับปูทางฟื้นชีพอำนาจเก่า ท้าถ้าจริงใจ รีบประกาศเป็นพันธะสัญญาออกมา จะไม่ตระบัดสัตย์ ทรยศ ปชช. และไม่ย้ายขั้วไปซบสองลุงตั้งรัฐบาลเพื่อแลกกลับบ้าน ย้ำการเมืองหลังเลือกตั้งตีบตัน สิ้นทางออก

4 มิ.ย.2566-นายจตุพร พรหมพันธุ์ วิทยากรคณะหลอมรวมประชาชน เฟซบุ๊คไลฟ์ประเทศไทยต้องมาก่อน ตอน “เร่งเกม?” โดยประเมินสถานการณ์ตั้งรัฐบาลที่ตีบตัน ไร้ทางออก แต่มีหนทางเดียว คือ พรรคเพื่อไทยนำ 141 เสียงย้ายขั้วไปตั้งรัฐบาลกับฝ่าย 188 เสียง เพื่อแลกให้เจ้าของพรรคได้กลับบ้าน แต่พรรคเพื่อไทยต้องสูญเสียครั้งใหญ่ กลายเป็นพรรคตระบัดสัตย์ ทรยศประชาชน ส่อแนวโน้มถูกต่อต้านอย่างรุนแรง

นายจตุพร ประเมินว่า การเมืองไทยขณะนี้ อยู่ในสถานการณ์ลำบาก เดินไปหาอนาคตตั้งรัฐบาลไม่ราบรื่น เพราะรัฐบาลเก่าออกไม่ได้ ต้องทำหน้าที่รักษาการจนกว่าจะมี ครม.ใหม่ ส่วนคนใหม่ยังเข้าไม่ได้ ดังนั้น ทุกฝ่ายจึงจนมุมเหมือนกัน อีกทั้ง เห็นว่า เมื่อหนทางการเมืองอับตันไปต่อยากลำบาก เพราะ 312 เสียงจัดตั้งรัฐบาลไม่ได้ เนื่องจากไม่มี ส.ว. 64 เสียงมาโหวตให้ แล้วอีกทั้งฝ่าย 188 เสียงยังเป็นปฏิปักษ์กับพรรคก้าวไกล และลามถึงเพื่อไทยด้วย

อย่างไรก็ตาม ในข้อเท็จจริงทางการเมืองในขณะนี้ แม้นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกลและแคนดิเดตนายกฯ ของพรรคก้าวไกล ไม่ถูกร้องเรียนกรณีหุ้นสื่อไอทีวี แต่ก็เป็นนายกฯ ไม่ได้อยู่ดี เนื่องจากรวมเสียงได้เพียง 312 เสียงจากทั้งหมดสองสภา 750 เสียง ซึ่งจะผ่านเป็นนายกฯ ได้ต้องได้เสียงตั้งแต่ 376 เสียง ดังนั้น จึงต้องอาศัย ส.ว.อีก 64 เสียงมาหนุนช่วย แต่ในสถานการณ์ขณะนี้ยากที่จะเป็นไปได้

ส่วนกรณีการถือหุ้นไอทีวีนั้น นายจตุพร กล่าวว่า นายพิธา เดินเข้าไปหากับดักด้วยตัวเอง ซึ่งกรณีนี้สังคมจะใช้ทั้งความรู้สึกหรือข้อเท็จจริงทางกฎหมายมาพิจารณา อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ทุกฝ่ายกลัวคือ ประชาชนจะออกมาชุมนุมที่ถนน ซึ่งในบางสถานการณ์ก็ไม่ใช่สิ่งที่น่ากลัว แต่เมื่อการเมืองไร้ทางออกจึงน่าหวั่นวิตกอย่างยิ่ง  หลายคนสงสัยตนมีอคติกับพรรคเพื่อไทยที่วิพากษ์วิจารณ์จะย้ายขั้วไปจับมือกับฝ่าย 188 เสียง อย่างไรก็ตาม หาก 312 เสียงเป็นนักเลงการเมืองกันจริง พร้อมจับมือกันแน่นหนาแล้ว ก็ไม่มีทางจัดตั้งรัฐบาลได้เลย ขณะที่ 188 เสียงก็ตั้งรัฐบาลไม่ได้เช่นกัน ประกอบกับ ส.ว.ยังไม่โหวตให้ใครด้วย ดังนั้น การเมืองแบบนักเลงจริงทุกฝ่าย ก็ไม่มีรัฐบาลเกิดขึ้นได้เลย

“ผมบอกว่ามีประตูเดียวเท่านั้นที่จะตั้งรัฐบาลได้คือ ถ้าเสียง 141 ของพรรคเพื่อไทยไปบวกกับ 188 เสียง ดังนั้น ถ้าจริงจังกับการไม่ทิ้งเพื่อน ยังรักษาจุดยืนไม่ไปซบสองลุง ไม่เอากัญชา ก็ย่อมไม่เป็นไร แต่ยังตั้งรัฐบาลก็ไม่ได้อีก หากสถานการณ์เปลี่ยนใจให้ 141 เสียงย้ายข้างแล้ว คงต้องใช้ปี๊บคลุมหัวแน่ และเป็นช่องทางเดียวที่จะตั้งรัฐบาลได้แน่นอน”

นายจตุพร มั่นใจว่า แม้มีความพยายามติดต่อให้ฝ่ายพรรค 188 เสียงย้ายมาช่วยหนุนเลือกนายกฯ เพื่อตั้งรัฐบาล แต่ไม่มีทางเป็นไปได้ นอกจากพรรคฝ่าย 312 เสียเท่านั้นต้องแยกวงออกไปร่วมกับ 188 เสียงเอง ด้วยสถานการณ์การเมืองสองฝ่ายล้วนขึงพืดกันอย่างนี้ จึงต้องมีพรรคที่ไม่มีใจนักเลงจริง โดยย่อมย้ายข้างไปจับมือตั้งรัฐบาลกับ 188 เสียงเสียเอง อย่างไรก็ดี นักวิชาการวิเคราะห์เชิงตำหนิว่า หากเพื่อไทยย้ายไปอยู่กับฝ่าย 188 เสียงแล้ว อนาคตพรรคเพื่อไทยย่อยยับแน่ เกิดหายนะ และล่มสลาย แต่เมื่อมองอีกด้านหนึ่งแล้ว ถ้าเพื่อไทยไม่ล่มสลายจะแลกกับการกลับบ้านของเจ้าของพรรคได้หรือ? ซึ่งไม่แตกต่างจากการถีบหัวเรือคนเสื้อแดง เพราะ บทเรียนในอดีตสะท้อนถึงการกล้าเอาชีวิต เลือดเนื้อคนไปแลกเปลี่ยนมาแล้ว

“ขณะนี้การถีบหัวเรือเสื้อแดงเพื่อแลกกลับบ้าน (รอบสอง) ยังไม่เกิดขึ้น จึงให้จับตากันไว้ เพราะศักดิ์ศรีนักการเมืองจะมั่วหมองน่าอับอายอย่างยิ่ง แล้วจะยืนอยู่ในสังคมนี้ได้อย่างไรกัน และที่สำคัญที่สุด คุณ (พรรคเพื่อไทย) จะกล้าเป็นนายกฯ เองหรือ? เพราะเพียงแค่ย้ายขั้วคนก็เต็มถนนแล้ว คุณกล้าหรือเปล่า?”

นายจตุพร เชื่อว่า ในสถานการณ์ย้ายขั้วนั้น แคนดิเดตนายกฯ เพื่อไทย คงไม่กล้าขึ้นมาเป็นนายกฯ แน่นอน ดังนั้น หนทางสุดท้ายต้องนำเก้าอี้นายกฯ ไปส่งให้ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ อีกทั้ง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ยังนิ่งอยู่ อาจประเมินว่า ถ้า พล.อ.ประวิตร เอาสถานการณ์ประชาชนลงถนนไม่อยู่แล้ว ก็ถึงเวลาของ พล.อ.ประยุทธ์ อีกรอบ

“เราอธิบายกระดานการเมืองนี้เพื่อให้พรรคเพื่อไทยได้คิดกัน เพราะมีประตูเดียวที่จะตั้งรัฐบาลได้ แล้วสองลุงจะกลับมามีอำนาจได้อีก ดังนั้น เจ้าของพรรคเพื่อไทยต้องประกาศออกมาว่าจะไม่ใช้ช่องทางนี้โดยเด็ดขาด เพื่อให้เกิดประโยชน์กับทุกฝ่าย ผมต้องการให้การเมืองเป็นเรื่องของคนจริง โดยในฝ่าย 312 เสียง ตนอยากให้พรรค 141 เสียงเป็นคนจริงเช่นกัน คนจริงที่ไม่ทิ้งเพื่อน แม้นายพิธา จะต้องถูกคดีถือหุ้นไอทีวีหรือไม่ก็ตาม ก็จะไม่ทอดทิ้งกัน ไม่หักหลังนายพิธา และพรรคฝ่าย 312 เสียง”

แม้ข้อเท็จจริงเชิงตัวเลขพรรค 312 เสียง ย่อมหนุนส่งให้นายพิธา เป็นนายกฯ ไม่ได้ ถึงนายพิธา จะเดินทางไปขอบคุณประชาชน และไปพบกลุ่มต่างๆ ก็ย่อมทำได้ และสามารถแสดงบทบาทได้เต็มที่ อย่างไรก็ตาม ในเชิงตัวเลขนายพิธา ไปไม่ถึงนายกฯ และจบแล้ว เพราะปลายทางคำตอบทางการเมืองอยู่ที่ตัวเลขอย่างน้อย 376 เสียงเท่านั้น ถึงจะมีแรงกดดัน ส.ว.ก็ยากเต็มทีที่จะเปลี่ยนใจ ดังนั้นจึงมีแรงกระทุ้งให้ พล.อ.ประยุทธ์ ประกาศยอมรับความพ่ายแพ้ ซึ่งมีนัยยะทางการเมืองว่า พอแล้ว และจะได้ปลดปล่อย ส.ว.เป็นอิสระ หนทางนี้โอกาสของนายพิธา อาจพอเป็นไปได้ที่จะไปถึง 376 เสียง แต่ พล.อ.ประยุทธ์ ยังเงียบอยู่ คงรอส้มหล่น จึงทำให้การตั้งรัฐบาล 312 เสียงเข้าสู่มุมอับ

นายจตุพร มีความกังวลว่า ภายใต้สถานการณ์อับตันทางการเมืองเช่นนี้จะนำไปสู่จุดไหน โดยก่อนการเลือกตั้ง เราพยายามนัดหารือเพื่อให้สติทุกแง่มุม ทั้งประเมินมุมตันในสถานการณ์ข้างหน้าซึ่งตั้งรัฐบาลไม่ได้ แต่ไม่มีเสียงตอบรับ เพราะทุกพรรคประเมินแต่ความได้เปรียบการเลือกตั้งของตัวเองทั้งสิ้น พร้อมทั้งเห็นว่าหลังเลือกตั้ง เมื่อมาถึงสถานการณ์ตั้งรัฐบาลไม่ได้ นอกจากนี้นายพิธา ยังมีคดีหุ้นไอทีวี แม้นักวิชาการประเมินเป็นข้อหาเฉพาะตัว ไม่ลุกลามถึงการรับรองผู้สมัคร ส.ส.ของพรรค ส่วนนายวิษณุ เครืองาม รองนายกฯ ฝ่ายกฎหมายประเมินทางออกอาจทำให้เลือกตั้งโมฆะ เลือกกันใหม่ทั้งประเทศ หรือเฉพาะในเขตของพรรคก้าวไกลได้ ส.ส.เท่านั้น แต่ยังเป็นความเห็นและยังไม่ใช่ข้อเท็จจริงที่น่าจะเป็นไป

นายจตุพร เห็นว่า ถ้าพรรค 312 เสียงยังจับมือกันแน่น การโหวตนายพิธา เป็นนายกฯ คงไม่ผ่าน 376 เสียง ก็ต้องมาถึงแคนดิเดตของพรรคเพื่อไทย โดยตนเชื่อว่า โอกาสไม่ได้เป็นายกฯ ก็มีสูง ดังนั้น เมื่อเกิดสภาพทางตันของฝ่าย 312 เสียงแล้ว ก็จะเป็นเหตุผลให้เกิดการย้ายขั้วไปจับมือกับ 188 เสียงเพื่อตั้งรัฐบาล โดยอาจอ้างความจำเป็นจึงต้องเสียสัตย์เพื่อชาติแบบ พล.อ.สุจินดา คราประยูร ที่กลืนคำพูดไม่เป็นนายกฯ เมื่อปี 2535 แล้วประชาชนยอมรับไม่ได้ ก็ออกมาต่อต้านเต็มถนน

“ดังนั้น ไม่ว่ามิติใดก็ตาม ในหนทางนักเลงจริง (312 เสียงจับมือกันไม่แยกจากกัน) ถึงตั้งรัฐบาลไม่ได้ ก็จะมีเรื่องน้อยที่สุด ถ้าเป็นนักเลงขี้หมา (เพื่อไทยย้ายขั้วไปจับมือ 188 เสียง) แม้ตั้งรัฐบาลได้ แต่จะมีเรื่องมากขึ้น แล้วคนหมดความนับถือ ไร้เกียรติ ไปที่ไหนคนก็สาปแช่ง อย่างไรก็ตาม แม้หนทางนี้ทำให้เพื่อไทยจบสิ้นทางการเมือง แต่เจ้าของพรรคอยากกลับบ้าน เขาก็ต้องนำเพื่อไทยที่เป็นสมบัติชิ้นเดียวที่เหลืออยู่ไปแลก และทำให้จบสิ้นการเมืองกันไป”

นายจตุพร ย้ำว่า เมื่อเจ้าของพรรคเพื่อไทยต้องการกลับบ้านจึงต้องแลกด้วยการทำลายพรรคเพื่อไทยเท่านั้น และตนหวังว่าจะไม่เห็นภาพนี้ และอยากจะวิเคราะห์ผิดมากที่สุด แต่ที่พูดมานั้นเป็นเพราะการเมืองมีเพียงประตูเดียวที่จะได้กลับบ้าน คือ ต้องแลกด้วยการตระบัดสัตย์ ทรยศประชาชน และทำลายพรรคเพื่อไทยให้ย่อยยับ

“ผมจึงให้สติกับทุกฝ่ายในการหาทางออกของประเทศ ไม่ให้ลุกลามรุนแรงขยายไปสู่วิกฤตเลือดนองท้องช้างในวันข้างหน้า แต่ทุกฝ่ายกลับเห็นแต่ประโยชน์ของพรรคตัวเอง ไม่ยอมให้ประเทสเริ่มนับหนึ่งกันใหม่ แล้วที่สุดจึงมาถึงทางตัน ส่วนทางออกต้องเดินฝ่าข้ามประชาชนบาดเจ็บ ล้มตายอีก ซึ่งมันไม่ควรเกิดขึ้นอีกแล้ว”

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

แฉเล่ห์ 'พท.' วางยาแก้ รธน. ล็อกคำถามประชามติครั้งแรก

นายเทพไท เสนพงศ์ อดีต สส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กว่า พรรคเพื่อไทยจริงใจแก้ไขรัฐธรรมนูญหรือไม่

ชงไทยบี้เมียนมา งดขายน้ำมันให้ เจรจาสันติภาพ

"โรม" เสนอให้ไทยงดขายน้ำมันให้ "เมียนมา" ปูดใช้ไทยฟอกเงินเครือข่ายซื้ออาวุธที่ใช้ปฏิบัติการ เตือนถูกดึงไปเอี่ยวร่วมฆ่าล้างเผ่าพันธุ์

สส.ระยอง ก้าวไกล ตั้งข้อสงสัยวางเพลิงโรงงานเก็บสารเคมี 'วิน โพรเสส' จี้รัฐบาลตรวจสอบ

นายชุติพงศ์ พิภพภิญโญ สส.ระยอง พรรคก้าวไกล แถลงข่าวกรณีไฟไหม้โรงงานเก็บสารเคมีของบริษัท วินโพรเสส จำกัด ว่า ในฐานะเจ้าของพื้นที่ ตนได้ลงพื้นที่จุดหลังเกิดเหตุตั้งแต่ช่วงเช้าถึงเวลา 22.00 น.