'จตุพร' แนะ 'พิธา' ทำใจชวดเก้าอี้นายกฯ จับตาปรากฏการณ์โคตรงูเห่า!

10 มิ.ย.2566 - นายจตุพร พรหมพันธุ์ วิทยากรคณะหลอมรวมประชาชน เฟซบุ๊กไลฟ์ประเทศไทยต้องมาก่อน ตอน "คำพูด...เป็นนาย?" โดยกล่าวถึงกรณีนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล และแคนดิเดตนายกฯ ของพรรค ถือหุ้นสื่อไอทีวีว่า เป็นข้อหาที่ผสมเกมการเมืองได้จัดเตรียมไว้ หากไม่เข้ามาเล่นการเมืองแล้ว การถือหุ้นสื่อก็ไม่มีปัญหา แต่กฎหมายกำหนดห้ามนักการเมืองถือหุ้นสื่อจึงกลายเป็นปัญหา

อย่างไรก็ตาม แม้ภาพทางสังคมสื่อไอทีวีไม่ได้ออกอากาศ อีกทั้งในข้อกฎหมายแล้ว บริษัทยังไม่ได้ปิดและไม่ได้เปลี่ยนวัตถุประสงค์ ยังรายงานบัญชีทุกปี ดังนั้น กฎหมายจึงไม่ได้สนใจว่า ไอทีวีออกอากาศหรือไม่

นายจตุพร กล่าวต่อว่า วันนี้ไอทีวีไปอยู่ในเครือบริษัท อินทัช โฮลดิ้งส์ จำกัด ซึ่งเจ้าของบริษัทนี้มีความสัมพันธ์กับกลุ่มคนขายอย่างดี นอกจากนี้ ยังแต่งตัวหุ้นกรณีของนายพิธา จนครบถ้วนตามกฎหมายห้ามถือหุ้นสื่ออีกด้วย โดยมีการถาม-ตอบในที่ประชุมผู้ถือหุ้น

ดังนั้น การถือหุ้นสื่อไอทีวีจึงเป็นเรื่องการเมือง และนายพิธา ควรสงสัยมากที่สุดกับคนในฝ่ายเซ็น MOU ร่วมรัฐบาลด้วยกัน เพียงแต่จะยอมรับความจริงได้หรือไม่ อีกอย่างเรื่องนี้ไม่ได้หลุดออกมาจากทางอื่นเลย

"นายพิธา เมื่อเดิมพันด้วยแคนดิเดตนายกฯ จึงตกเป็นเป้าถูกการเมืองเล่นงาน ซึ่งในอดีตมีนักการเมืองโดนกันแทบทุกฝ่าย มีทั้งคนรอดและไม่รอดจากศาล รธน. ดังนั้น วันนี้นายพิธา จึงเจออุปสรรค ต้องต่อสู้ทุกคดีความตามกฎหมายในด่านต่างๆ ต้องมีสมาธิไปต่อสู้คดีการเมืองในทุกด่าน รวมทั้งต้องทำใจรับผลทุกกรณี แม้จะเห็นด้วยหรือไม่ก็ตาม”

นายจตุพร กล่าวว่า นายพิธา แม้ไม่ถูกร้องเรียนเป็นคดีถือหุ้นสื่อก็ตาม แต่ความจริงไม่สามารถได้เป็นนายกฯ ถึงมี 8 พรรครวมเสียง 312 ยังจับมือกันมั่นแน่น รวมทั้งออกข่าวร่วมกันว่า กำลังประสาน ส.ว. 100 คน ซึ่งบรรดากองเชียร์ฟังแล้วคงสบายใจมีความสุขเพิ่มขึ้น ก็ว่ากันไปให้บรรเจิด

"เรื่อง 100 ส.ว. มันเป็นเรื่องร้อยเล่ห์ มันไม่มีจริง แต่สามารถนำมาคุยให้ฟังเพื่อสร้างบรรยากาศความสุขกันได้ แต่ความจริงแล้ว ตอนนี้อย่าว่าแต่ขาดเสียง ส.ว.อยู่ 64 คนเลย แค่หาเพียง 30 เสียงให้ได้ก่อนก็ยังยาก ดังนั้นความเป็นไปได้ที่จะมีเสียงอย่างน้อย 376 เสียงจากทั้งหมดของสองสภา 750 เสียง จึงมีค่าเท่ากับศูนย์ เหตุนี้นายพิธา จึงไม่มีโอกาสได้เป็นนายกฯ เลย"

พร้อมประเมินว่า ถ้านายพิธา มีอุบัติเหตุการเมืองขวางไม่ให้ไปถึงโหวตเลือกแคนดิเดตนายกฯ แล้ว แม้เปลี่ยนแคนดิเดตนายกฯ คนใหม่มาเป็นพรรคเพื่อไทยก็จะมีเสียง 8 พรรค 312 เสียงเหมือนกัน และต้องอาศัยเสียง ส.ว. อีก 64 เช่นกัน จึงยากจะตั้งรัฐบาลได้ไม่แตกต่างกัน

"ดังนั้น เมื่อหมากโหวตนายกฯ ตั้งรัฐบาลมันตัน ให้จับตาไว้จะมีปรากฎการณ์โคตรงูเห่าเกิดขึ้น โดยบางส่วนใน 312 เสียงจะย้ายไปหนุนฝ่าย 188 เสียง ซึ่งจะเป็นสิ่งที่จะเกิดขึ้นอีกไม่นานนี้"

นายจตุพร เชื่อว่า เกมการเมืองแบบนี้ อาจะหลอกได้ในบางเวลาเท่านั้น แต่จะถูกจับได้อยู่ดี เนื่องจากคนที่ย้ายพรรคก่อนเลือกตั้งมาอยู่พรรคเพื่อไทยนั้น ส่วนใหญ่ล้วนมีชนักในคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ปปช.) ทั้งสิ้น อีกอย่างรูปถ่ายในวันไปอำลา พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ที่มูลนิธิป่าร้อยต่อฯ นั้น ยังสะท้อนเบื้องหลังรอยยิ้มเบิกบานเข้าตามแผนการเมืองได้ดี และไม่เพียงเท่านั้น ภาพๆนี้ ยังถูกปล่อยออกมาสื่อสารทางการเมืองเพื่อเขย่าขวัญสาธารณะ

อีกทั้งย้ำว่า การเมืองเป็นเรื่องที่ไม่มีสัจจะใดๆ ใครจะพูดอะไรก็ได้ วันนี้เรื่องไม่กลับบ้าน ทักษิณก็ไม่เหลือสถานภาพคนให้เสียอีกแล้ว แต่สิ่งสำคัญ กลับสร้างภาพให้ครอบครัวเบรคไม่ให้กลับบ้านแสดงถึงที่ผ่านมามีการดีลกันในทุกขั้นตอน เพราะหลุดคำว่า "กลัวจะถูกหลอก" ออกมา

นายจตุพร กล่าวว่า เรื่องราวของทักษิณ เราเคยพยากรณ์มาตั้งแต่ต้นแล้ว กระทั่งถึงวันนี้ สรุปได้ชัดเจน คือ ไม่กลับมา และอีกอย่างยังตอกย้ำว่ามี การดีลทางการเมืองกันจริง อย่างไรก็ตาม ตามประสาการเมืองไม่มีสัจจะ แม้คุยกันต่อหน้าราบรื่น ยิ้มรับการแลกเปลี่ยนด้วยดี แต่ลับหลังพฤติกรรมปกติของนักการเมืองมักถามพวกตัวเองว่า เราจะได้ประโยชน์อะไรบ้าง ซึ่งการเมืองเป็นเช่นนี้มาตลอด ดังนั้น ประเทศต้องเปลี่ยนแปลงโครงสร้างกันใหม่ มาจัดความสมดุลให้เป็นจริง พร้อมกับแบ่งสรรทรัพยากรของชาติกันให้เท่าเทียม ขจัดการเหลื่อมล้ำ เพื่อจะได้นับหนึ่งประเทศกันเสียที

"แต่การเปลี่ยนแปลงสู่การนับหนึ่งประเทศใหม่ เกิดได้ยากมากภายใต้สมการการเมืองแบบไร้สัจจะ เอาเปรียบและมุ่งแสวงหาประโยชน์ของตนเองเช่นนี้ นักเลือกตั้งก็คิดแต่การเลือกตั้งครั้งต่อไป แต่ไม่คิดถึงประเทศในวันต่อไป นักการเมืองจะไม่มีใจเป็นรัฐบุรุษ มีแค่จิตใจของนักเลือกตั้งเท่านั้น เราผ่านสิ่งเหล่านี้มาซ้ำแล้วซ้ำเล่า" นายจตุพร กล่าว

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

'จตุพร' แนะ 'อนุทิน' อย่ามัวแต่พูดอธิบายภาพ 'เบน สมิธ' ต้องรุกกลับปราบสแกมเมอร์ให้สิ้นซาก

'จตุพร' แนะ 'อนุทิน' อย่าพะวงกับรูปถ่ายร่วมเฟรม 'เบน สมิธ' อย่ามัวแต่พูดอธิบายภาพ อ้างไม่สนิท จี้ปฏิบัติให้จริง รุกกลับปราบ'แก๊งสแกมเมอร์' ให้ราบคาบจากไทย ลั่นรู้นะ คนปล่อยรูปหวังทำลายการเมือง

เอาแล้ว 'จตุพร' เตือน นายกฯหนู แบ่งแยกเยียวยาศพน้ำท่วม 2 ล้าน ระวังทำรัฐบาลพัง

'จตุพร' เตือน นายกฯหนู แบ่งแยกเยียวยาศพน้ำท่วม 2 ล้านระวังทำรัฐบาลพัง แนะน้ำท่วมใต้จากพายุชื่อเหมือนกันต้องเป็นธรรม ชดเชยเท่ากัน อย่าคิดแบบเขลาๆ แถเอาแต่สถานการณ์ฉุกเฉินมาอ้าง จะเกิดเหตุไม่พอใจ ลุกลามไปกันใหญ่

กกต.ขยับรับสมัครอบต.ใต้เป็น 8-12 ธ.ค. เหตุอุทกภัยกระทบหลายจังหวัด

กกต.ปรับรอบรับสมัครเฉพาะ 5 จังหวัดน้ำท่วม ส่วนจำนวน อบต.ทั่วประเทศลดเหลือ 4,985 แห่งจากการยกฐานะเป็นเทศบาล ต้องแบ่งเขตใหม่ก่อนจัดเลือกตั้งช่วงเมษายน 2569 หลายพื้นที่เปิดรับสมัครวันแรกคึกคัก

กกต. แจงนักการเมือง-พรรค บริจาคช่วยน้ำท่วมได้เต็มที่ แต่ระดับท้องถิ่นต้องระวังช่วง 180 วันก่อนครบวาระ

กกต. ชี้ "บริจาคช่วยภัยพิบัติ" สส.-สมาชิกพรรคทำได้เต็มที่ไม่เกินครั้งละ 3 แสนบาท แต่จะบริจาคกี่ครั้งก็ได้ ส่วนพรรคการเมืองไม่เกิน 3 ล้านบาทต่อเหตุการณ์ ย้ำโปร่งใส–โฆษณาได้ 

กกต. ขอเชิญชวนสมัครรับเลือกตั้ง สมาชิกสภา อบต. และนายก อบต. ระหว่างวันที่ 1 - 5 ธันวาคม 2568

สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง ขอเชิญชวนผู้ที่สนใจสมัครรับเลือกตั้งสมาชิก สภาองค์การบริหารส่วนตำบลและนายกองค์การบริหารส่วนตำบล ระหว่างวันที่ 1 – 5 ธันวาคม 2568 เวลา 08.30 – 16.30 น. (ไม่เว้นวันหยุดราชการ) ณ สถานที่ที่ผู้อำนวยการการเลือกตั้งประจำองค์การบริหารส่วนตำบลกำหนด สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง ขอประชาสัมพันธ์ผู้ที่สนใจสมัครรับเลือกตั้งสามารถตรวจสอบคุณสมบัติและลักษณะต้องห้าม และเตรียมหลักฐานและเอกสารประกอบการ ยื่นใบสมัครรับเลือกตั้ง พร้อมทั้งค่าธรรมเนียมการสมัครรับเลือกตั้ง โดยมีรายละเอียดดังนี้ 1. คุณสมบัติของผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง 1.1 มีสัญชาติไทยโดยการเกิด 1.2 ผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนตำบล ต้องมีอายุ ไม่ต่ำกว่า 25 ปีนับถึงวันเลือกตั้ง สำหรับผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นนายกองค์การบริหารส่วนตำบล ต้องมีอายุไม่ต่ำกว่า 35 ปีนับถึงวันเลือกตั้ง 1.3 มีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านในเขตองค์การบริหารส่วนตำบลที่สมัครรับเลือกตั้ง ในวันสมัครรับเลือกตั้ง เป็นเวลาติดต่อกันไม่น้อยกว่า 1 ปี นับถึงวันสมัครรับเลือกตั้ง 1.4 วุฒิการศึกษา • สมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนตำบล ไม่ได้กำหนดวุฒิการศึกษา • ผู้สมัครนายกองค์การบริหารส่วนตำบล ต้องสำเร็จการศึกษาไม่ต่ำกว่ามัธยมศึกษาตอนปลายหรือเทียบเท่า หรือเคยเป็นสมาชิกสภาตำบล สมาชิกสภาท้องถิ่น ผู้บริหารท้องถิ่น หรือสมาชิกรัฐสภา 2. ลักษณะต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้ง 2.1 ติดยาเสพติดให้โทษ 2.2 เป็นบุคคลล้มละลายหรือเคยเป็นบุคคลล้มละลายทุจริต 2.3 เป็นเจ้าของหรือผู้ถือหุ้นในกิจการหนังสือพิมพ์หรือสื่อมวลชนใด ๆ 2.4 เป็นบุคคลผู้มีลักษณะต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิเลือกตั้งตามพระราชบัญญัติ การเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ. 2562 มาตรา 39 (1) เป็นภิกษุ สามเณร นักพรตหรือนักบวช (2) อยู่ในระหว่างถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งไม่ว่าคดีนั้นจะถึงที่สุดแล้วหรือไม่ หรือ (4) วิกลจริตหรือจิตฟั่นเฟือนไม่สมประกอบ 2.5 อยู่ระหว่างถูกระงับการใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นการชั่วคราวหรือ ถูกเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง 2.6 ต้องคำพิพากษาให้จำคุกและถูกคุมขังอยู่โดยหมายของศาล 2.7 เคยได้รับโทษจำคุกโดยได้พ้นโทษมายังไม่ถึง 5 ปี นับถึงวันเลือกตั้ง เว้นแต่ ในความผิดอันได้กระทำโดยประมาทหรือความผิดลหุโทษ 2.8 เคยถูกสั่งให้พ้นจากราชการ หน่วยงานของรัฐ หรือรัฐวิสาหกิจเพราะทุจริต ต่อหน้าที่หรือถือว่ากระทำการทุจริตหรือประพฤติมิชอบในวงราชการ 2.9 เคยต้องคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลอันถึงที่สุดให้ทรัพย์สินตกเป็น ของแผ่นดินเพราะร่ำรวยผิดปกติ หรือเคยต้องคำพิพากษาอันถึงที่สุดให้ลงโทษจำคุกเพราะกระทำความผิดตามกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต 2.10 เคยต้องคำพิพากษาอันถึงที่สุดว่ากระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ หรือต่อตำแหน่งหน้าที่ในการยุติธรรม หรือกระทำความผิดตามกฎหมายว่าด้วยความผิดของพนักงาน ในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ หรือความผิดเกี่ยวกับทรัพย์ที่กระทำโดยทุจริตตามประมวลกฎหมายอาญา ความผิดตามกฎหมายว่าด้วยการกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน กฎหมายว่าด้วยยาเสพติด ในความผิดฐานเป็นผู้ผลิต นำเข้า ส่งออก หรือผู้ค้า กฎหมายว่าด้วยการพนันในความผิดฐานเป็นเจ้ามือหรือเจ้าสำนัก กฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ หรือกฎหมายว่าด้วย การป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินในความผิดฐานฟอกเงิน 2.11 เคยต้องคำพิพากษาอันถึงที่สุดว่ากระทำการอันเป็นการทุจริตในการเลือกตั้ง 2.12 เป็นข้าราชการซึ่งมีตำแหน่งหรือเงินเดือนประจำ 2.13 เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภา สมาชิกสภาท้องถิ่น หรือผู้บริหารท้องถิ่น 2.14 เป็นพนักงานหรือลูกจ้างของหน่วยราชการ หน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ หรือราชการส่วนท้องถิ่น หรือเป็นเจ้าหน้าที่อื่นของรัฐ 2.15 เป็นตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ หรือผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระ 2.16 อยู่ในระหว่างต้องห้ามมิให้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง 2.17 เคยพ้นจากตำแหน่งเพราะศาลฎีกาหรือศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองมีคำพิพากษาว่าเป็นผู้มีพฤติการณ์ร่ำรวยผิดปกติ หรือกระทำความผิดฐานทุจริตต่อหน้าที่ หรือจงใจปฏิบัติหน้าที่หรือใช้อำนาจขัดต่อบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญหรือกฎหมาย หรือฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง 2.18 ต้องคำพิพากษาถึงที่สุดว่ากระทำความผิดตามพระราชบัญญัติการเลือกตั้ง สมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ. 2562 ไม่ว่าจะได้รับโทษหรือไม่ โดยได้พ้นโทษหรือ ต้องคำพิพากษามายังไม่ถึง 5 ปีนับถึงวันเลือกตั้ง แล้วแต่กรณี 2.19 เคยถูกถอดถอนออกจากตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภา สมาชิกสภาท้องถิ่น หรือผู้บริหารท้องถิ่น ตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย หรือกฎหมายว่าด้วยการลงคะแนนเสียงเพื่อถอดถอนสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น แล้วแต่กรณี มายังไม่ถึง 5 ปีนับถึงวันเลือกตั้ง 2.20 อยู่ในระหว่างถูกจำกัดสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาท้องถิ่น หรือผู้บริหารท้องถิ่น ตามมาตรา 42 แห่งพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ. 2562 หรือตามกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 2.21 เป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหรือรับเลือกเป็นสมาชิกวุฒิสภา หรือเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่นขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเดียวกันหรือองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นอื่น 2.22 เคยพ้นจากตำแหน่งใด ๆ ในองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เพราะเหตุมี ส่วนได้เสียไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อมในสัญญาหรือกิจการที่กระทำหรือจะกระทำกับหรือให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นนั้น หรือมีส่วนได้เสียไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อมในสัญญาหรือกิจการ ที่กระทำกับหรือจะกระทำกับหรือให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นอื่น โดยมีพฤติการณ์แสดงให้เห็นว่าเป็นการต่างตอบแทน หรือเอื้อประโยชน์ส่วนตนระหว่างกัน และยังไม่พ้น 5 ปีนับแต่วันที่พ้นจากตำแหน่งจนถึงวันเลือกตั้ง 2.23 เคยถูกสั่งให้พ้นจากตำแหน่งใด ๆ ในองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเพราะจงใจไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย กฎ ระเบียบของทางราชการ หรือมติคณะรัฐมนตรี อันเป็นเหตุให้เสียหาย แก่ราชการอย่างร้ายแรง และยังไม่พ้น 5 ปีนับแต่วันที่พ้นจากตำแหน่งจนถึงวันเลือกตั้ง 2.24 เคยถูกสั่งให้พ้นจากตำแหน่งใด ๆ ในองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เพราะทอดทิ้งหรือละเลยไม่ปฏิบัติการตามหน้าที่และอำนาจ หรือปฏิบัติการไม่ชอบด้วยหน้าที่ และอำนาจ หรือประพฤติตนฝ่าฝืนต่อความสงบเรียบร้อยหรือสวัสดิภาพของประชาชน หรือมีความประพฤติในทางที่จะนำมาซึ่งความเสื่อมเสียแก่ศักดิ์ตำแหน่ง หรือแก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น หรือแก่ราชการ และยังไม่พ้น 5 ปีนับแต่วันที่พ้นจากตำแหน่งจนถึงวันเลือกตั้ง 2.25 ลักษณะอื่นตามที่กฎหมายว่าด้วยการจัดตั้งองค์การบริหารส่วนตำบลกำหนด 3. หลักฐานและเอกสารประกอบการยื่นใบสมัครรับเลือกตั้ง ให้ผู้สมัครยื่นใบสมัครต่อผู้อำนวยการการเลือกตั้งประจำองค์การบริหารส่วนตำบลพร้อมทั้งหลักฐานการสมัคร ดังนี้ 3.1 ใบสมัครรับเลือกตั้งตามแบบ ส.ถ./ผ.ถ. 4/1 3.2 รูปถ่ายหน้าตรงไม่สวมหมวก หรือ รูปภาพที่พิมพ์ชัดเจนเหมือนรูปถ่ายของตนเอง ขนาดกว้างประมาณ 8.5 เซนติเมตร ยาวประมาณ 13.5 เซนติเมตร จำนวนตามที่ผู้อำนวยการการเลือกตั้งประจำองค์การบริหารส่วนตำบลกำหนด 3.3 สำเนาบัตรประจำตัวประชาชน 3.4 สำเนาทะเบียนบ้าน 3.5 ใบรับรองแพทย์ 3.6 หลักฐานการศึกษา 3.7 หลักฐานการเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาเป็นเวลาติดต่อกัน 3 ปี (2565, 2566, 2567) นับถึงปีที่สมัครรับเลือกตั้ง เว้นแต่เป็นผู้ไม่ได้เสียภาษีเงินได้ ให้ทำหนังสือยืนยัน การไม่ได้เสียภาษี พร้อมทั้งสาเหตุแห่งการไม่ได้เสียภาษีตามแบบ ส.ถ./ผ.ถ. 4/2 4. ค่าธรรมเนียมการสมัครรับเลือกตั้ง 4.1 นายกองค์การบริหารส่วนตำบล 2,500 บาท 4.2 สมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนตำบล 1,000 บาท ทั้งนี้ ผู้ใดลงสมัครรับเลือกตั้งโดยรู้อยู่แล้วว่าตนเป็นผู้ขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามในการสมัครรับเลือกตั้ง ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 1 - 10 ปี และปรับตั้งแต่ 20,000 – 200,000 บาท และให้ศาลสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของผู้นั้นมีกำหนด 20 ปี ตามมาตรา 120 แห่งพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ. 2562 และที่แก้ไขเพิ่มเติม สามารถติดตามข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับการเลือกตั้งสมาชิกสภาองค์การบริหาร ส่วนตำบลและนายกองค์การบริหารส่วนตำบลได้ทางเว็บไซต์สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง www.ect.go.th หรือ Application Smart Vote หรือสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง ประจำจังหวัดทุกจังหวัด หรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่บริการสายด่วน 1444