'ถาวร-อดีตอัยการ' เตือน อสส. อย่า 2 มาตรฐานคดี 112 ของทักษิณ

“ทักษิณ”ลุ้น รอด-ไม่รอด-เลื่อน คดี 112 พุธนี้ “ถาวร-อดีตอัยการ”เตือน อย่าเขียนด้วยมือลบด้วยเท้า หลังอดีตอสส.เคยสั่งเอาผิดมาแล้ว ชี้หากเลื่อนอีกจะถูกมองมีการแทรกแซงกระบวนการยุติธรรม

26 พ.ค. 2567 – จากกรณีที่อัยการสูงสุด นัดฟังคำสั่งคดีนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีเคยถูกอดีตอัยการสูงสุด สั่งฟ้องในความผิดข้อหามาตรา 112 เมื่อปี 2558 กรณีให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนที่ประเทศเกาหลีใต้
โดยนายถาวร เสนเนียม สมาชิกพรรครวมไทยสร้างชาติ อดีตรมช.มหาดไทย และอดีตอัยการ กล่าวถึงการที่อัยการสูงสุด นัดฟังคำสั่งคดีนายทักษิณ ในวันพุธนี้ว่า คนที่ตกเป็นผู้ต้องหา ไม่อยากเป็นจำเลยให้ถูกสั่งฟ้อง นั่นคือทักษิณ ประชาชนที่อยากเห็นความยุติธรรม ที่บริโภคข่าวสารว่าทักษิณไปพูดไว้ว่าอย่างไร ฟันธงไปแล้วว่าผิด แต่คนที่มีอำนาจหน้าที่โดยตรง ใช้อำนาจรัฐ สั่งฟ้องนายทักษิณ ก็คือ อดีตอัยการสูงสุด( ร.ต.ต.พงษ์นิวัฒน์ ยุทธภัณฑ์บริภาร อัยการสูงสุดในขณะนั้น) เมื่อปี 2558 เป็นการฟ้องในนามรัฐ ไม่ใช่ฟ้องส่วนตัว ต่อมาเมื่อทักษิณเดินทางกลับมา(ปี 2566 ) ก็ยื่นคำร้องขอความเป็นธรรม ว่าตัวเองไม่ได้รับความเป็นธรรมจากการถูกสั่งฟ้องในครั้งนั้น ก็ขอให้พิจารณาพยานหลักฐาน-ขอให้การเพิ่มเติม อัยการก็รับเรื่องแล้วก็เลื่อนฟังการสั่งคดี มาเป็นวันพุธที่ 29 พ.ค.นี้

“เป็นที่จับตามองของนักการเมือง และคนในกระบวนการยุติธรรม รวมถึงประชาชนอย่างมากว่าจะออกมาอย่างไร แต่ผมขอส่งสัญญาณไปยังคณะทำงานของอัยการชุดนี้ รวมถึงอัยการสูงสุดด้วย อย่าเขียนด้วยมือลบด้วยเท้า เพราะอดีตอัยการสูงสุดคนเก่า เป็นผู้เขียนด้วยมือ ว่ามีพยานหลักฐานเพียงพอในการสั่งฟ้อง ซึ่งถ้าจะสั่งไม่ฟ้อง ต้องมีเอกสารหลักฐาน มาแถลงข่าวซึ่งเป็นที่น่าเชื่อถือได้ว่าทักษิณไม่ได้ทำผิด ต้องมีจริงๆ แต่ถ้าอ้อมๆ แอ้มๆ หรือเลื่อนการสั่งคดีไปเรื่อย คนก็ยิ่งสงสัยหนักขึ้น แต่ผมเชื่ออัยการสูงสุดคนเก่าที่สั่งฟ้องคนระดับอดีตนายกฯ เพราะถ้าแกล้งฟ้องเขา ทักษิณอำนาจล้นฟ้า คุณถูกฟ้องกลับตาย ผมก็ว่าไม่น่าเป็นไปได้ เขาก็ต้องฟ้องไปตามข้อกฎหมายและพยานหลักฐาน ”

เมื่อถามว่าหากมีการเลื่อนการสั่งคดีออกไปอีก สันนิษฐานว่าอย่างไร นายถาวร อดีตอัยการกล่าวว่า ก็มีการแทรกแซงกระบวนการยุติธรรม ซึ่งมีอยู่บ่อย

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า คดีดังกล่าว เกิดขึ้นช่วงปี 2558 โดยช่วงดังกล่าว ร.ต.ต.พงษ์นิวัฒน์ ยุทธภัณฑ์บริภาร อัยการสูงสุดในขณะนั้น ได้มีความเห็นสั่งฟ้องนายทักษิณว่ามีความผิดกรณีให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนที่กรุงโซล ประเทศเกาหลีใต้ เมื่อ 21 พ.ค. 2558 ที่ต่อมามีการแจ้งความเอาผิดนายทักษิณ เพราะเห็นว่า เนื้อหาคำให้สัมภาษณ์บางช่วง เข้าข่ายผิดมาตรา 112 จนต่อมาอัยการสูงสุดมีความเห็นสั่งฟ้องนายทักษิณ แต่เนื่องจากขณะนั้น นายทักษิณ หนีคดีอยู่ต่างประเทศ ทำให้คดีไม่คืบหน้า

แต่ต่อมาหลังทักษิณเดินทางกลับไทยเมื่อปีที่ผ่านมา และเข้าสู่การสู้คดี โดยยื่นหนังสือร้องขอความเป็นธรรมและขอให้สอบสวนเพิ่มเติม ทำให้นายอำนาจ เจตน์เจริญรักษ์ อัยการสูงสุดคนปัจจุบัน จึงมีคำสั่งให้สอบสวนเพิ่มเติมเพื่อให้สิ้นกระแสความ และอัยการสูงสุดได้นัดฟังคำสั่งคดีในวันพุธที่ 29 พ.ค.นี้เวลา 09.00 น. หลังก่อนหน้านี้เลื่อนมาแล้วครั้งหนึ่งเมื่อ 10 เม.ย.

ซึ่งจนถึงขณะนี้ ก็ยังมีกระแสข่าวออกมาหลายสาย เช่น อาจมีการเลื่อนการสั่งคดีออกไปอีกครั้งหนึ่ง ขณะที่ข่าวบางกระแส บอกว่าไม่เลื่อน

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

เอาแล้ว! กมธ.ร่างพรบ.สันติสุข สว. จ่อค้านนิรโทษกรรม คนสั่งเผาบ้านเผาเมือง-ผิด ม.112

'สว.ไชยยงค์'คาดมีโอกาสสูงแก้เนื้อหาร่างกฎหมายสังคมสันติสุข เหตุ กมธ.หลายคน ค้านนิรโทษกรรม คนสั่งเผาบ้านเผาเมือง-ผิดอาญา ม.112 จ่อเชิญ 'อภิสิทธิ์-ภรรยาร่มเกล้าฯ-นิกร' ให้ข้อมูล 15 ธ.ค.นี้

รู้จักน้อยไปจริง! กระทุ้ง 'อนุทิน' เผยตัวตนให้มากขึ้น

นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ อดีต สส.พัทลุง พรรคประชาธิปัตย์ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กว่า หรือเรารู้จักท่านนายกรัฐมนตรีน้อยไปจริงๆ

'ทักษิณ' ร่วมเวที 'เสก โลโซ' ร้องเพลงใจสั่งมา ในเรือนจำกลางคลองเปรม

"ทักษิณ" ขึ้นเวทีเรือนจำฯ ควงไมโครโฟนร้องเพลง "ใจสั่งมา" บรรยากาศอบอุ่นมวลความสุข เพื่อนผู้ต้องขังกว่า 1,000 คน ต่างลุกโชว์สเต็ปแด๊นซ์

เพจดังงัดภาพใหม่กว่า ตบหน้าแฟนคลับพรรคแดง ขว้างงูไม่พ้นคอ ทักษิณก็รู้จัก 'เบน สมิธ'

จากกระแสวิพากษ์วิจารณ์ หลังปรากฏภาพนายเบน สมิธ ถ่ายร่วมเฟรมกับบุคคลระดับสูงในแวดวงการเมืองไทย ได้แก่ นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี, นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง

ศาลรับอุทธรณ์คดี ม.112 ให้ 'ทักษิณ' ยื่นคำแก้อุทธรณ์ภายใน 15 วัน

พนักงานอัยการสำนักงานคดีอาญา 8 ได้ยื่นคำอุทธรณ์คดี ที่ศาลอาญายกฟ้อง นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ในความผิดฐานดูหมิ่นสถาบัน ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 และพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ