'อดีตอสส.' งัดระเบียบขอความเป็นธรรมฟาด 'ทักษิณ' ให้เกรงใจและเคารพในหลักนิติธรรมด้วย

12มิ.ย. 2567- จากกรณีทีมกฎหมายของนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ผู้ต้องหาคดีความผิดตามมาตรา 112 และ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ ยื่นคำร้องขอความเป็นธรรมถึงอัยการสูงสุด(อสส.) กรณีที่นายทักษิณให้สัมภาษณ์สื่อเกาหลีใต้ เมื่อปี 2558 พาดพิงสถาบัน   ได้ยื่นหนังสือร้องขอความเป็นธรรมถึงอสส. เรื่องการพิจารณาสั่งฟ้องนายทักษิณ ตามมาตรา 112  อ้างว่า พนักงานสอบสวน ถูกข่มขู่จากรัฐบาลคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) จนขาดความเป็นอิสระในการรวบรวมพยานหลักฐานทางคดี ทำให้นายทักษิณ ไม่ได้รับความเป็นธรรมการพิจารณาสั่งคดีจึงขอให้อสส. ทบทวนการสั่งฟ้องนายทักษิณใหม่อีกครั้ง เพื่อความยุติธรรม
 
ทำให้นายตระกูล วินิจนัยภาค อดีตอัยการสูงสุด โพสต์เฟซบุ๊กระบุข้อความว่า ขอยืนยันด้วยเกียรติของลูกผู้ชายว่า ในฐานะเป็น อสส. ในขณะนั้น ซึ่งเป็นพนักงานสอบสวนผู้รับผิดชอบคดีอาญานอกราชอาณาจักรตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 20 ไม่เคยมีใครข่มขู่ โน้มน้าว ชักจูง ให้ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบในการสอบสวนครับ
 
ต่อมา นายตระกูล โพสต์ข้อความพร้อมแนบ ระเบียบสำนักงานอัยการสูงสุด ว่าด้วยการดำเนินคดีอาญาฯ เกี่ยวกับ #การร้องขอความเป็นธรรม  พร้อมระบุว่า   ไม่ว่า ใครจะทำอะไร อย่างไร ผลลัพธ์เป็นประการใด ก็ขอให้เกรงใจและเคารพในหลักนิติธรรม (The rule of law ) และความยุติธรรม (Justice) ด้วยนะครับ  
 
สำหรับระเบียบสำนักงานอัยการสูงสุด ส่วนที่ ๖ การร้องขอความเป็นธรรม มีเนื้อหาดังนี้
 
ข้อ ๖๕ การสั่งคดีกรณีร้องขอความเป็นธรรม
 
กรณีผู้เสียหายหรือผู้ต้องหาหรือบุคคลอื่นใดเพื่อประโยชน์ของผู้เสียหายหรือผู้ต้องหาใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญหรือกฎหมายอื่นหรือระเบียบที่เกี่ยวข้องยื่นหนังสือร้องขอความเป็นธรรมต่อหนักงานอัยการโดยกล่าวอ้างว่าผู้เสียหายหรือผู้ต้องหาไม่ได้รับความเป็นธรรมจากพนักงานสอบสวนหรือพนักงานอัยการให้หนักงานอัยการพิจารณารับคำร้องขอความเป็นธรรมดังกล่าวไว้พิจารณา ทั้งนี้ กรณีที่ผู้ต้องหาซึ่งได้รับการปล่อยชั่วคราวหรือลงลายมือชื่อรับทราบวันนัดไว้ ได้ยื่นหนังสือร้องขอความเป็นธรรม ผู้ต้องหานั้นต้องแสดงตนต่อพนักงานอัยการในขณะยื่นหนังสือ
 
การร้องขอความเป็นธรรม หากเป็นประเด็นที่ผู้ร้องเคยขอความเป็นธรรมและพนักงานอัยการได้เคยพิจารณาไว้แล้ว หรือ มีลักษณะเป็นการประวิงคดีให้ล่าช้า ให้ทำบันทึกข้อความเสนอความเห็นพร้อมเรื่องร้องขอความเป็นธรรมและสำเนารายงานการสอบสวน เสนอตามลำดับชั้นถึงอธิบดีอัยการพิจารณาสั่งยุติเรื่องร้องขอความเป็นธรรมนั้น
 
ให้พนักงานอัยการพิจารณาให้ความเป็นธรรมโดยให้คำนึงถึงข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานอันสำคัญแก่คดีที่จะนำไปสู่การพิสูจน์ความผิดหรือความบริสุทธิ์ของผู้ต้องหาได้
 
คดีที่มีการร้องขอความเป็นธรรม ในกรณีที่จะมีคำสั่งไม่ฟ้องทุกข้อหาหรือบางข้อหา ให้ทำความเห็นในสำนวนแล้วเสนอตามลำดับชั้นถึงอธิบดีอัยการเพื่อพิจารณาสั่งทั้งคดี เมื่อธิบดีอัยการมีคำสั่งประการใดให้ปฏิบัติตามนั้น
 
กรณีที่มีคำสั่งฟ้องทุกข้อหา ให้ดำเนินการให้ได้ตัวผู้ต้องหามายื่นฟ้องต่อศาล และให้รีบทำบันทึกข้อความส่งคำร้องขอความเป็นธรรม สำเนาความเห็นและคำสั่งพร้อมทั้งสำเนารายงานการสอบสวนเสนออธิบดีอัยการเพื่อทราบ
 
กรณีในวรรคห้า หากเป็นกรณีที่ต้องกลับความเห็นหรือกลับคำสั่งเดิม หรือต้องถอนฟ้อง ให้นำความในวรรคสามของข้อ ๑๐ หรือข้อ ๑๓๒ มาใช้บังคับแล้วแต่กรณี

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

เอาแล้ว! กมธ.ร่างพรบ.สันติสุข สว. จ่อค้านนิรโทษกรรม คนสั่งเผาบ้านเผาเมือง-ผิด ม.112

'สว.ไชยยงค์'คาดมีโอกาสสูงแก้เนื้อหาร่างกฎหมายสังคมสันติสุข เหตุ กมธ.หลายคน ค้านนิรโทษกรรม คนสั่งเผาบ้านเผาเมือง-ผิดอาญา ม.112 จ่อเชิญ 'อภิสิทธิ์-ภรรยาร่มเกล้าฯ-นิกร' ให้ข้อมูล 15 ธ.ค.นี้

รู้จักน้อยไปจริง! กระทุ้ง 'อนุทิน' เผยตัวตนให้มากขึ้น

นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ อดีต สส.พัทลุง พรรคประชาธิปัตย์ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กว่า หรือเรารู้จักท่านนายกรัฐมนตรีน้อยไปจริงๆ

'ทักษิณ' ร่วมเวที 'เสก โลโซ' ร้องเพลงใจสั่งมา ในเรือนจำกลางคลองเปรม

"ทักษิณ" ขึ้นเวทีเรือนจำฯ ควงไมโครโฟนร้องเพลง "ใจสั่งมา" บรรยากาศอบอุ่นมวลความสุข เพื่อนผู้ต้องขังกว่า 1,000 คน ต่างลุกโชว์สเต็ปแด๊นซ์

เพจดังงัดภาพใหม่กว่า ตบหน้าแฟนคลับพรรคแดง ขว้างงูไม่พ้นคอ ทักษิณก็รู้จัก 'เบน สมิธ'

จากกระแสวิพากษ์วิจารณ์ หลังปรากฏภาพนายเบน สมิธ ถ่ายร่วมเฟรมกับบุคคลระดับสูงในแวดวงการเมืองไทย ได้แก่ นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี, นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง

ศาลรับอุทธรณ์คดี ม.112 ให้ 'ทักษิณ' ยื่นคำแก้อุทธรณ์ภายใน 15 วัน

พนักงานอัยการสำนักงานคดีอาญา 8 ได้ยื่นคำอุทธรณ์คดี ที่ศาลอาญายกฟ้อง นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ในความผิดฐานดูหมิ่นสถาบัน ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 และพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ