6 ส.ค.2567 - นายธวัชชัย ไทยเขียว หนึ่งในคณะกรรมการพิทักษ์ระบบคุณธรรมข้าราชการตำรวจ หรือ ก.พ.ค.ตร. และรองโฆษก ก.พ.ค.ตร. โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊กส่วนตัวเกี่ยวกับการพิจารณาวินิจฉัยอุทธรณ์ร้องทุกข์ของ พล.ต.อ. สุรเชชษฐ์ หักพาล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (รอง ผบ.ตร.) ที่ถูกสั่งให้ออกจากราชการไว้ก่อน ว่า วานนี้ (5 ส.ค.) คณะกรรมการพิทักษ์ระบบคุณธรรมข้าราชการตำรวจ (ก.พ.ค.ตร.) ได้ประชุมพิจารณาวินิจฉัยคดีที่เป็นที่สนใจและมีคำวินิจฉัยเรื่องอุทธรณ์ของ พล.ต.อ. สุรเชษฐ์ หรือ สุรเชชษฐ์ หักพาล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (รอง ผบ.ตร.) โดยได้ส่งคำวินิจฉัยไปให้ผู้อุทธรณ์และคู่กรณีในอุทธรณ์ทราบ ซึ่งปรากฎหลักฐานว่าคู่กรณีทั้งสองฝ่ายได้รับคำวินิจฉัยแล้ว
พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ หักพาล ได้อุทธรณ์ว่าคำสั่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ที่ 178/2567 ลงวันที่ 18 เมษายน พ.ศ.2567 ที่สั่งให้ผู้อุทธรณ์ออกจากราชการไว้ก่อน เป็นคำสั่งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ขอให้คณะกรรมการพิทักษ์ระบบคุณธรรมข้าราชการตำรวจ พิจารณาและวินิจฉัยให้เพิกถอนคำสั่งดังกล่าว และมีคำขออื่นๆที่เกี่ยวข้อง
เนื่องจากกรณีนี้เป็นที่สนใจของประชาชน มีการนำเสนอความเห็นผ่านสื่อสารมวลชนจำนวนมาก โดยมีความเห็นที่หลากหลายแตกต่างกันทั้งในข้อกฎหมายและข้อเท็จจริงอย่างกว้างขวาง
ก.พ.ค.ตร.ได้พิจารณาวินิจฉัยตามอำนาจหน้าที่ตามที่กฎหมายบัญญัติ และตามกฎ ก.พ.ค.ตร.ว่าด้วยอุทธรณ์และการพิจารณาวินิจฉัยอุทธรณ์ พ.ศ.2567 ซึ่งกำหนดให้ใช้วิธีการไต่สวนและได้ดำเนินการแสวงหาข้อเท็จจริง โดยคู่กรณีทั้งสองฝ่ายได้ทราบข้อเท็จจริงอย่างเพียงพอ และมีโอกาสได้โต้แย้งแสดงพยานหลักฐานของตนแล้ว
ข้อเท็จจริงตามอุทธรณ์ คำขอคุ้มครองชั่วคราว คำชี้แจงของผู้อุทธรณ์ คำแก้อุทธรณ์ของคู่กรณีในอุทธรณ์ คำชี้แจงและเอกสารที่เกี่ยวข้องของคู่กรณีทั้งสองฝ่าย และการแถลงด้วยวาจาของคู่กรณีทั้งสองฝ่ายรับฟังได้ว่าผู้อุทธรณ์ได้ถูกกล่าวหาว่ากระทำความผิดอาญา และถูกตั้งกรรมการสอบสวนวินัยอย่างร้ายแรง คู่กรณีในอุทธรณ์ซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชาผู้ออกคำสั่งอาศัยอำนาจตามพระราชบัญญัติตำรวจแห่งชาติ พ.ศ. 2565 มาตรา 105 มาตรา 107 มาตรา 133 และมาตรา 199 ประกอบกฎ ก.ตร.ว่าด้วยการสั่งพักราชการและออกจากราชการไว้ก่อน พ.ศ. 2547
วินิจฉัยว่า คำสั่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติที่ 178/2567 ลงวันที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2567 เป็นคำสั่งที่ดำเนินการตามหลักเกณฑ์ วิธีการ ที่กฎหมาย และกฎ ก.ตร. กำหนด และเป็นการใช้ดุลยพินิจที่เหมาะสม จึงเป็นคำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมาย
วินิจฉัยยกอุทธรณ์และยกคำขอกำหนดวิธีการชั่วคราวของผู้อุทธรณ์
ทั้งนี้ หากผู้อุทธรณ์ไม่เห็นด้วยกับคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของ ก.พ.ค.ตร. มีสิทธิฟ้องคดีต่อศาลปกครองสูงสุด โดยวิธีการยื่นฟ้องต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ของศาลหรือยื่นฟ้องโดยส่งทางไปรษณีย์ลงทะเบียนภายในระยะเวลา 90 วันนับแต่วันที่ทราบหรือถือว่าทราบคำวินิจฉัยนี้
ด้าน พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ กล่าวว่า ส่วนตัวยังไม่ทราบว่าผลออกมาเป็นอย่างไร ยังไม่ได้รับผลคำวินิจฉัย อยู่ระหว่างรอ และไม่ทราบว่า เมื่อวานนี้ ก.พ.ค.ตร. มีการประชุมลับจนถึงเกือบเที่ยงคืน พร้อมยืนยันหากผลออกมาเป็นลบ หรือคำสั่งให้ออกจากราชการไว้ก่อนชอบด้วยกฎหมาย ก็จะยื่นศาลปกครองสูงสุดต่อภายใน 90 วัน
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
'บิ๊กอ้อ' ลุยปราจีนฯ คุมสางคดีฆ่า 'สจ.โต้ง' มั่นใจหลักฐานพอ ไม่พึ่งวงจรปิด
'บิ๊กอ้อ' บินสางปมยิง 'สจ.โต้ง ปราจีน' เชื่อชนวนเหตุสังหารจากการเมืองท้องถิ่น มั่นใจหลักฐานเพียงพอ แม้วงจรปิดที่เกิดเหตุเสีย
'ทักษิณ' รับเคยคุย 'สจ.โต้ง' ส่งเมียชิงนายก อบจ. หนุน ตร. ล้างบางบ้านใหญ่ปราจีน
'ทักษิณ' รับเคยคุย 'สจ.โต้ง' ส่งเมียลงชิง 'นายก อบจ.ปราจีนฯ' ในนามเพื่อไทย ซัดเลวร้ายมาก ฆ่ากันเหตุฮั้วไม่ลงตัว ชมเปาะ ตร.ฟิตกวาดล้างผู้มีอิทธิพลเกลี้ยงแน่
เด็ดปีก 'มังกรเทาดำ' ทลายแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ยึดทรัพย์ 152 ล้าน
ตำรวจภาค 2 เด็ดปีก 'มังกรเทาดำ' ทลายเครือข่ายแก๊งคอลเซ็นเตอร์เปิดบริษัทฟอกเงิน ยึดทรัพย์คฤหาสน์-รถหรู 152 ล้านบาท
อย่าเสี่ยง! ‘ก.พ.ค.ตร.’ เตือนผู้มีอำนาจแต่งตั้งตำรวจ ยืนตัวตรงไม่รับเด็กฝาก
มีโอกาสรับฟังข้อสังเกตจาก ก.พ.ค.ตร. จากประสบการณ์การวินิจฉัยสำนวนที่ผ่านมาบ้างก็จะดี เพราะชีวิตบั่นปลายการรับราชการของท่านจะได้ไม่เสี่ยงภัยกับการโดนคดีวินัยและอาญา
'อดีตนายกฯชวน' ไล่บี้ดูแลสนามบินตรังโดนทิ้งงาน ปล่อยโจรขโมยถึง 29 ครั้ง
'อดีตนายกฯชวน' ลงพื้นที่ตรวจสอบความเสียหายสนามบินตรัง หลังผู้รับเหมาทิ้งงาน คนร้ายสบช่องลักสายไฟฟ้า-อุปกรณ์ต่างๆ สารภาพขโมยถึง 29 ครั้ง
พาณิชย์ หารือ สตช. ร่วมมือเร่งปราบปรามนอมินี และบัญชีม้านิติบุคคล
“พาณิชย์” เข้าพบ “บิ๊กต่าย” หารือแนวทาง มาตรการ ข้อกฎหมาย และความร่วมมือ 2 หน่วยงาน เร่งปราบปรามนอมินี และบัญชีม้านิติบุคคล เตรียมร่วมมือทุกรูปแบบ ทั้งประสานข้อมูล ตรวจค้น บังคับใช้กฎหมาย นำตัวผู้กระทำผิดมาลงโทษ เพื่อกำจัดอาชญากรทางเศรษฐกิจ ลดความสูญเสียทรัพย์สินของประชาชน และสร้างความเป็นธรรมให้กับผู้ประกอบการไทย