ผ่ากลยุทธ์ 'พรรคประชาชน' เกมซ่อนเงา 'ซื้ออนาคต' การเมืองไทย!

พรรคประชาชนกำลังเดินหน้าสู่สมรภูมิสำคัญ ในศึกอภิปรายไม่ไว้วางใจ "แพทองธาร ชินวัตร" นายกรัฐมนตรี ซึ่งจะเกิดขึ้นในวันที่ 24 มีนาคมนี้ การซักฟอกครั้งนี้ไม่ได้เป็นเพียงการท้าทายเสถียรภาพของผู้นำฝ่ายบริหาร แต่ยังเป็นหมากสำคัญในยุทธศาสตร์ระยะยาวของพรรคประชาชน ที่ต้องการสถาปนาตัวเองเป็นขั้วอำนาจใหม่ของการเมืองไทย

การอภิปรายไม่ไว้วางใจครั้งนี้ล็อกเป้าไปที่ "แพทองธาร ชินวัตร" พร้อมข้อกล่าวหาหนักหน่วง ตั้งแต่ขาดวุฒิภาวะ ไร้ภาวะผู้นำ หลอกลวงประชาชน คอร์รัปชัน ทำลายระบอบประชาธิปไตยในระบบรัฐสภา ไปจนถึงประเด็นที่อ่อนไหวที่สุด คือการเป็น “นายกฯ หุ่นเชิด” ที่ถูกชักใยโดย "ทักษิณ ชินวัตร" อยู่เบื้องหลัง

ข้อกล่าวหานี้ไม่เพียงส่งผลกระทบต่อสถานะของนายกรัฐมนตรีแพทองธาร แต่ยังย้อนศรกลับไปทำลายความน่าเชื่อถือของพรรคเพื่อไทย ในฐานะพรรคแกนนำรัฐบาล ที่จะเป็นคู่แข่งสำคัญของพรรคประชาชนทั้งในสนามเลือกตั้งท้องถิ่นและระดับชาติ

แต่หากมองให้ลึกกว่าการเผชิญหน้ากันในสภา กลยุทธ์ของพรรคประชาชนในศึกอภิปรายครั้งนี้ ไม่ได้ตั้งเป้าหมายเพียงแค่ “ล้มแพทองธาร” เพราะรู้ดีว่าเสียงฝ่ายค้านไม่เพียงพอจะโค่นรัฐบาลลงได้โดยตรง

ทว่าภารกิจหลักของพรรคคือการใช้เวทีซักฟอกเป็นเครื่องมือสร้าง “ภาพจำ” ให้ตัวเองเป็นคู่แข่งที่แท้จริงของพรรคเพื่อไทย พร้อมทั้งตอกย้ำจุดอ่อนของรัฐบาล เพื่อสร้างแรงส่งไปสู่การเลือกตั้งครั้งต่อไป เป้าหมายสูงสุดของพรรคประชาชน ไม่ใช่แค่การสร้างกระแสชั่วคราว แต่คือการ “ซื้ออนาคต” และปูทางสู่ชัยชนะในสนามเลือกตั้งระดับประเทศ

การเปิดตัวแคมเปญ “เปิด เปลี่ยน กรุง” เมื่อวันที่ 25 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา คืออีกหนึ่งสัญญาณที่บ่งบอกว่าพรรคประชาชนไม่ได้เล่นเกมเฉพาะหน้ากับศึกซักฟอกเท่านั้น แต่กำลังวางหมากเชื่อมโยงไปถึงสนามเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครในปี 2569 ซึ่งจะเป็นบททดสอบสำคัญ ก่อนมุ่งหน้าสู่ศึกใหญ่ในปี 2570

แม้การเปิดตัวแคมเปญนี้จะไม่ได้เป็นข่าวเด่นในกระแสหลัก แต่การเลือกจังหวะเวลาที่สอดคล้องกับศึกซักฟอก แสดงให้เห็นถึงแผนการที่มีแบบแผน พรรคประชาชนกำลังใช้เวทีอภิปรายเป็นกลไกปลุกกระแส ขับเคลื่อนการนำเสนอทางเลือกใหม่ให้กับประชาชน โดยเฉพาะในกรุงเทพฯ ซึ่งเป็นฐานที่มั่นสำคัญของพรรค

ก่อนหน้านี้ พรรคประชาชน(ก้าวไกลเดิม)เคยพลาดโอกาสในสนามเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. จากความล่าช้าในการเฟ้นหาผู้สมัคร และต้องเผชิญกระแส “ชัชชาติฟีเวอร์” ที่ถูกสนับสนุนอย่างไม่เป็นทางการโดยพรรคเพื่อไทยและทักษิณ แต่รอบนี้พรรคเตรียมพร้อมมากขึ้น และเรียนรู้จากบทเรียนในอดีต

หากพรรคประชาชนสามารถคว้าเก้าอี้ผู้ว่าฯ กทม. ได้สำเร็จ นี่จะเป็น “หมุดหมาย” สำคัญ ที่ไม่เพียงช่วยขยายฐานเสียงของพรรค แต่ยังเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับยุทธศาสตร์การเลือกตั้งระดับชาติ พรรคประชาชนไม่ได้มองแค่การสร้างกระแส แต่ต้องการยกระดับตัวเองสู่พรรคหลักของประเทศ เป้าหมายสูงสุดคือการคว้าเก้าอี้ สส. มากกว่า 250 ที่นั่งขึ้นไป เพื่อให้สามารถจัดตั้งรัฐบาลได้โดยไม่ต้องพึ่งพาพรรคร่วม

แน่นอนว่าเป้าหมายนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย แต่หากพรรคประชาชนสามารถคว้าชัยชนะในสนาม กทม. ได้สำเร็จ จะเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่จะช่วยให้พรรคกลายเป็น “ทางเลือกหลัก” แทนพรรคเพื่อไทย ซึ่งจะส่งผลให้การแข่งขันในการเลือกตั้งทั่วไปทวีความเข้มข้นขึ้น

ทั้งหมดนี้สะท้อนให้เห็นถึงยุทธศาสตร์ระยะยาวที่ "พรรคประชาชน" กำลังดำเนินการ การอภิปรายไม่ไว้วางใจครั้งนี้จึงไม่ใช่เพียงศึกการเมืองเชิงพิธีกรรม แต่เป็น "การลงทุนเพื่ออนาคต" เป็นการเดินหมากเพื่อเปลี่ยนขั้วอำนาจในระยะยาว

อย่างไรก็ตาม การเมืองคือ “พลวัต” ไม่มีอะไรแน่นอน แม้พรรคประชาชนจะกำหนดยุทธศาสตร์เดินหน้าซักฟอกแพทองธาร และปักธงในสนามเลือกตั้งผู้ว่าฯกทม. แต่สมการทางการเมืองสามารถเปลี่ยนแปลงได้ในพริบตา

หาก “แพทองธาร” เลือกใช้ไพ่ใบสุดท้าย อย่างการ “ยุบสภา” ก่อนครบวาระ หรือเร่งเลือกตั้งใหม่ก่อนที่พรรคประชาชนจะสร้างกระแสได้เต็มที่ เพื่อรีเซ็ตสถานการณ์และลดทอนแผนการระยะยาวของพรรคประชาชน

ศึกซักฟอกครั้งนี้จึงไม่ใช่แค่การประลองฝีมือของฝ่ายค้านในสภา แต่ยังเป็นตัวชี้วัดว่า พรรคประชาชนจะสามารถสร้างแรงสั่นสะเทือนต่อโครงสร้างอำนาจของพรรคเพื่อไทยได้มากน้อยเพียงใด

หากพรรคประชาชนสามารถต่อยอดจากเวทีซักฟอก เชื่อมโยงประเด็นการอภิปรายไปสู่การเลือกตั้งท้องถิ่น โดยเฉพาะศึกชิงผู้ว่าฯ กทม. พรรคก็มีโอกาสสูงที่จะเปลี่ยนศึกซักฟอกครั้งนี้ให้กลายเป็น “แต้มต่อ” สำหรับการเลือกตั้งใหญ่ในปี 2570

แต่หากพรรคประชาชนมุ่งโจมตี "แพทองธาร-ทักษิณ" เพียงอย่างเดียว โดยไม่สามารถต่อยอดพลังจากการอภิปรายไปสู่การขยายฐานเสียงให้เข้มแข็งขึ้น ยุทธศาสตร์ “ซื้ออนาคต” อาจกลายเป็นเพียงเกมการเมืองระยะสั้น ที่ไม่สามารถเปลี่ยนสมดุลอำนาจได้อย่างแท้จริง

ดังนั้น พรรคประชาชนต้องเดินเกมอย่าง "รอบคอบ" และ "เฉียบขาด" ไม่หลงไปกับการปะทะเฉพาะหน้า แต่ต้องใช้ทุกจังหวะทางการเมืองเป็นก้าวสำคัญสู่เป้าหมายใหญ่ ศึกซักฟอกครั้งนี้จึงไม่ใช่แค่การต่อสู้ของวันนี้ แต่เป็นหมากสำคัญในการวางรากฐานเพื่อการเปลี่ยนขั้วอำนาจของประเทศไทยในระยะยาว.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

เปิดชื่อผู้สมัคร สส.กทม. พรรคประชาชน ครบ 33 เขต

เปิดชื่อว่าที่ผู้สมัคร สส. กทม. พรรคประชาชน ครบ 33 เขต ส่วนใหญ่หน้าเดิม พบ 10 เขต เปลี่ยนตัว คาด ‘ณัฐชา-รักชนก-ปิยรัฐ’ ขยับลง สส. บัญชีรายชื่อ พร้อมส่ง ‘ชุลพล หลักคำ’ ลงลาดกระบังซ้ำ หวังแก้มือ ‘ธีรรัตน์’ ด้าน ‘เฉลิมชัย-พงศ์พันธ์’ หลุดโผ

ดร.สติธร ประเมินเลือกตั้ง “น้ำเงิน-ส้ม” สู้กันเดือด ก่อน ภูมิใจไทย โกย 150 ที่นั่ง นั่งแกนนำตั้งรัฐบาล สดใส

ดร.สติธร ธนานิธิโชติ อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ประเมินภาพรวมสนามเลือกตั้งครั้งใหม่ว่า แม้จะเห็นภาพ 3 สี 3 ขั้ว แต่ในทางปฏิบัติ คู่ชิงตัวจริงมีเพียง 2 พรรค คือ พรรคประชาชน และพรรคภูมิใจไทย

มาถูกทาง! 'หมอสุภัทร' เปิดใจลงสมัคร สส. ในนามพรรคประชาชน

"หมอสุภัทร" เผยตัดสินใจสวมเสื้อพรรคส้ม ถึงเวลาที่ต้องก้าวออกจากเซฟโซน ลาออกราชการรับใช้บ้านเกิด มั่นใจหาดใหญ่ต้องดีกว่านี้

เพื่อไทยไม่หยุดประชานิยม พร้อมสานต่อดิจิทัลวอลเล็ต ยังค้างประชาชนอีก 20 ล้านคน

นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีพรรคเพื่อไทย ให้สัมภาษณ์ถึงการประชุมเพื่อวางแผนยุทธศาสตร์ในการเตรียมความพร้อมเลือกตั้ง ว่า เรามีการประชุมกันอย่างต่อเนื่อง ซึ่งมีการหารือเกี่ยวกับเรื่องการเลือกตั้ง รวมถึงมีการประเมินกระแสหลังจากที่มีการเปิดตัวแคนดิเดตนายกฯ ของพรรคทั้ง 3 คนแล้วว่าเป็นอย่างไร