ทุกครั้งที่การเมืองไทยมีประเด็นใหญ่ที่ควรได้รับการตรวจสอบอย่างจริงจัง มักจบลงที่ "โต๊ะเจรจา" มากกว่า "กระบวนการยุติธรรม" และสุดท้ายทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องต่างหาทางออกแบบ "วิน-วิน" ขณะที่ประชาชนกลับไม่ได้รับคำตอบอะไรเลย
กรณี "ฮั้วเลือก สว." ที่กำลังเข้าสู่การพิจารณาของคณะกรรมการคดีพิเศษ (กคพ.) หรือ "บอร์ดคดีพิเศษ" ในวันนี้ (6 มีนาคม) เพื่อลงมติว่าจะรับเป็นคดีพิเศษหรือไม่นั้น กำลังถูกจับตาว่าจะเป็นเพียงอีกหนึ่งตัวอย่างของ "ดีลการเมือง" ที่ใช้ "กฎหมาย" เป็นเครื่องมือหรือจะมีการดำเนินคดีอย่างจริงจัง
หากพิจารณาตามตัวบทกฎหมายแล้ว คดีนี้ไม่ได้มีความซับซ้อนแต่อย่างใด เพราะการตรวจสอบความสุจริตและเที่ยงธรรมในการได้มาซึ่ง สว.เป็นอำนาจโดยตรงของคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.)
แม้กรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) จะใช้ช่องทางแยกข้อกล่าวหา "อั้งยี่-ซ่องโจร" ออกมาเป็นคดีอาญา เพื่อผลักดันให้คดีนี้เข้าสู่การพิจารณาในฐานะ “คดีพิเศษ” แต่ข้อกล่าวหาดังกล่าวมีจุดเริ่มต้นจากกระบวนการเลือกสว.ที่ไม่สุจริตและเที่ยงธรรมตั้งแต่ต้น ดังนั้นการดำเนินคดีในประเด็นนี้จึงยังอยู่ในขอบเขตอำนาจของ กกต. ไม่ใช่หน้าที่ของ DSI
ปัญหานี้มีจุดเริ่มต้นจากความล่าช้าในการดำเนินการของ กกต. ซึ่งอาจเกิดจากข้อจำกัดด้านบุคลากรและทรัพยากร ทำให้การตรวจสอบกรณีร้องเรียนต่างๆ ไม่สามารถเดินหน้าได้ทันสถานการณ์
ทั้งที่โดยปกติ กกต. เป็นผู้รับผิดชอบดูแลการเลือก สว. แต่เมื่อการตรวจสอบล่าช้าและไร้ความคืบหน้า ฝ่ายที่ต้องการให้เกิดการพิจารณาคดีจึงต้องหันไปพึ่งพา DSI ซึ่งอยู่ภายใต้กระทรวงยุติธรรม-องค์กรที่มีความเชื่อมโยงทางการเมืองอยู่แล้ว
มีข่าวลือหนาหูว่า ผู้บริหารระดับสูงของ DSI เองไม่ต้องการรับคดีนี้ตั้งแต่ต้น เพราะแม้จะสามารถแยกฐานความผิดทางอาญาออกมาได้ แต่โครงสร้างของคดีนี้ควรเป็นหน้าที่ของ กกต. เท่านั้น
ทว่าภายใต้แรงกดดันจากพรรคการเมือง โดยเฉพาะจากพรรคเพื่อไทย DSI จึงต้องเข้ามามีบทบาทในการพิจารณาคดีและผลักดันให้เรื่องนี้ได้รับการพิจารณาเป็น "คดีพิเศษ" โดยเสนอต่อ "บอร์ดคดีพิเศษ" ที่มี "ภูมิธรรม เวชยชัย" นั่งหัวโต๊ะและ "ทวี สอดส่อง" นั่งข้าง ซึ่งเป็นที่รับรู้กันในสังคมถึงบทบาทและการเชื่อมโยงทางการเมืองของทั้งสองบุคคล
คำถามที่สำคัญคือ หากพรรคเพื่อไทยผลักดันให้คดีนี้เข้าสู่ DSI แทนที่จะปล่อยให้ กกต. ซึ่งเป็นองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญดำเนินการด้วยตนเอง เป้าหมายที่แท้จริงของพรรคเพื่อไทยคืออะไร?
การตอบคำถามนี้ไม่ยากนัก หนึ่งในเป้าหมายหลักของพรรคเพื่อไทยคือการสลายฐานอำนาจของ "สว. สีน้ำเงิน" ซึ่งเป็นเครือข่ายที่สนับสนุนพรรคภูมิใจไทย และอาจกล่าวได้ว่าเป็นการยึดครองเสถียรภาพของระบบอำนาจในรัฐสภา
การสลาย-ควบคุมสว. สีน้ำเงิน จึงเป็นอีกหนึ่งหมากสำคัญในการกระชับอำนาจ และหากสำเร็จ ก็จะช่วยเสริมสร้างฐานอำนาจทางการเมืองของพรรคเพื่อไทยในอนาคต
แต่ที่สำคัญกว่านั้นคือการใช้คดีนี้เป็นเครื่องมือกดดันโดยตรงต่อพรรคภูมิใจไทย ซึ่งเป็นพรรคร่วมรัฐบาลที่ถือโควตากระทรวงสำคัญหลายกระทรวง และมีบทบาทสำคัญในการรักษาเสถียรภาพของรัฐบาลและสถานะความเป็นนายกรัฐมนตรีของ "แพทองธาร ชินวัตร"
ในประวัติศาสตร์การเมืองไทย มักจะเห็นการต่อรองผลประโยชน์ในกรณีที่เกี่ยวข้องกับนักการเมืองผู้มีอำนาจ แต่สุดท้ายก็จบลงด้วย "ดีลการเมือง" ที่ทั้งสองฝ่ายได้รับผลประโยชน์ร่วมกัน ในขณะที่ประชาชนยังคงไม่มีคำตอบหรือความชัดเจนใดๆ
สิ่งที่ทำให้กรณีนี้น่าสนใจมากขึ้น คือการพบปะกันระหว่างแกนนำพรรคเพื่อไทยและพรรคภูมิใจไทย เช่น ทักษิณ ชินวัตร แพทองธาร ชินวัตร จากพรรคเพื่อไทย และ อนุทิน ชาญวีรกูล เนวิน ชิดชอบ จากพรรคภูมิใจไทย แม้ยังไม่มีการยืนยันว่า การหารือนี้เกี่ยวข้องกับคดีฮั้วเลือก สว. หรือไม่
แต่จากโครงสร้างของการเมืองไทยที่ผ่านมา การเจรจาเช่นนี้มักนำไปสู่ "ข้อตกลงลับ" ที่ทำให้ทุกฝ่ายได้รับผลประโยชน์ร่วมกัน
หากแนวโน้มนี้เกิดขึ้นจริง ผลลัพธ์ที่เป็นไปได้คือการ "ปิดดีล" ที่ช่วยให้พรรคภูมิใจไทยลดแรงกดดันทางการเมือง ขณะที่พรรคเพื่อไทยสามารถโกยคะแนนจากการโหวตอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกฯ แพทองธาร ชินวัตรในวันที่ 24 มีนาคมนี้
อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าจะรับคดีนี้เป็นคดีพิเศษหรือไม่ การกระทำของพรรคเพื่อไทยที่ผลักดันให้คดีฮั้วเลือกสว. เข้าสู่การพิจารณาของ DSI ตั้งแต่ต้น แทนที่จะปล่อยให้เป็นหน้าที่ของ กกต. ยังคงสะท้อนถึงการเมืองที่เต็มไปด้วยการใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือทางการเมือง เพื่อผลประโยชน์ของตนเอง ไม่ใช่เพื่อความยุติธรรมที่แท้จริง
การใช้กฎหมายในลักษณะนี้จึงไม่ใช่การแก้ปัญหาที่แท้จริง แต่เป็นการต่อรองผลประโยชน์ในสนามการเมืองที่ลุ่มหลงไปกับเกมแห่งอำนาจ
ท้ายที่สุดหากคดี "ฮั้วเลือก สว." ไม่ได้รับการพิจารณาอย่างจริงจัง ทั้งจาก กกต. และ DSI ก็ยิ่งเป็นการตอกย้ำว่า "วงจรอุบาทว์" ของการต่อรองผลประโยชน์ทางการเมืองยังคงอยู่ ฝ่ายการเมืองสามารถหาข้อตกลงที่ลงตัวสำหรับทุกฝ่าย ขณะที่ประชาชนยังคงถูกทิ้งไว้ข้างหลัง เป็นเพียงผู้สังเกตการณ์ที่แทบไม่มีอำนาจต่อรองใดๆ กับโครงสร้างอำนาจที่ดำรงอยู่
ปัญหาความโปร่งใสและความยุติธรรมจึงไม่เคยได้รับการแก้ไขอย่างแท้จริง แต่กลับถูกกลบฝังภายใต้กลไกทางกฎหมายที่ถูกใช้เป็นเครื่องมือในเกมแห่งอำนาจ.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
ตร.บางพลีบุกช่วยนศ. โดนแก๊งคอลฯอ้างเป็นDSI สูญเงิน 2 แสน
ตำรวจบางพลี บุกช่วยนักศึกษามหาวิทยาลัยดัง หลังโดนแก๊งคอลเซ็นเตอร์หลอก อ้างเป็นดีเอสไอ โอนเงินเกือบ 2 แสนบาท
มีคำตอบ! รัฐบาลอนุทินมี ‘ศุภจี‘ เป็นจุดเด่น ทำไมปล่อยให้มี ’ธรรมนัส’ เป็นจุดอ่อน
คุณศุภจีคือตัวแทนของ "ภาพลักษณ์ความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจ" ที่ช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้นักลงทุน ดึงดูดชนชั้นกลางและคนเมือง และเป็นเกราะป้องกันทางการเมือง เมื่อฝ่า
ขนลุก! กูรูใหญ่ สาปแช่งพรรคเพื่อไทย หลังข่าวซูเอี๋ยพรรคส้ม
ความคิดที่เพื่อไทยและประชาชนจะจับมือกันตั้งรัฐบาลหลังเลือกตั้งแล้วเลื่อนการอภิปรายไม่ไว้วางใจ คือท่าดีทีล้มละลายทางการเมือง
ดีเอสไอเผยคืบหน้าคดีคุกวีไอพี อธิบดีราชทัณฑ์ ยันขรก.ทุจริตต้องถูกลงโทษ
"ดีเอสไอ" เร่งสอบเส้นทางเงินผู้ต้องขังชาวจีน พร้อมเรียกเจ้าหน้าที่และอดีต ผบ.เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ให้ปากคำครบทุกฝ่าย
สส.บริจาคภัยพิบัติเต็มที่ ท้องถิ่นระวังช่วง180วัน!
กกต.ไฟเขียวบริจาคช่วยภัยพิบัติ สส.-สมาชิกพรรค ทำได้เต็มที่ไม่เกินครั้งละ 3 แสนบาท
กกต.ขยับรับสมัครอบต.ใต้เป็น 8-12 ธ.ค. เหตุอุทกภัยกระทบหลายจังหวัด
กกต.ปรับรอบรับสมัครเฉพาะ 5 จังหวัดน้ำท่วม ส่วนจำนวน อบต.ทั่วประเทศลดเหลือ 4,985 แห่งจากการยกฐานะเป็นเทศบาล ต้องแบ่งเขตใหม่ก่อนจัดเลือกตั้งช่วงเมษายน 2569 หลายพื้นที่เปิดรับสมัครวันแรกคึกคัก


