แม้เทศกาลสงกรานต์จะยังไม่จบลงอย่างเป็นทางการ แต่สัญญาณทางการเมืองหลังหยุดยาว เริ่มส่งแรงสั่นสะเทือนกลับมาเร็วเกินคาด โดยเฉพาะใน รัฐบาลผสมที่มีพรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำ
คำถามไม่ได้อยู่ที่ว่า ร่างกฎหมายสถานบันเทิงครบวงจร จะเข้าสภาอีกเมื่อไร แต่อยู่ที่ว่ารัฐบาลจะจัดการกับแรงเสียดทานที่ปะทุขึ้นกลางสภาอย่างไร ในช่วงที่ไม่สามารถใช้กลไกรัฐสภาได้เต็มที่
นับตั้งแต่วันที่ 11 เมษายนที่ผ่านมา รัฐสภาเข้าสู่ช่วงปิดสมัยประชุม และจะกลับมาอีกครั้งในวันที่ 3 กรกฎาคม
ช่วงเวลานี้ ราว 80 วัน คือช่วงที่รัฐบาลไม่สามารถเสนอร่างกฎหมายใหม่เว้นแต่จะใช้อำนาจพิเศษอย่าง พระราชกำหนด หรือขอเปิดประชุมวิสามัญ ซึ่งต้องมีเหตุอันสมควรและได้รับความเห็นชอบ
แม้รัฐสภาจะเงียบ แต่การเมืองกลับคุกรุ่น โดยเฉพาะหลังคำอภิปรายของ ไชยชนก ชิดชอบ สส.บุรีรัมย์ พรรคภูมิใจไทย ที่ประกาศชัดว่า ไม่เห็นด้วยกับร่างกฎหมายกาสิโน
นั่นไม่ใช่เสียงของฝ่ายค้าน แต่มาจาก พรรคร่วมรัฐบาล และยิ่งกว่านั้น มันคือเสียงของ ตระกูลการเมืองที่มีอิทธิพลสูงสุดในพรรคภูมิใจไทย ซึ่งสะท้อนชัดว่า รัฐบาลนี้ไม่ได้เดินไปในทิศทางเดียวกันตั้งแต่ต้น
ฝั่ง พรรคเพื่อไทย อาจพยายามลดน้ำหนักด้วยการบอกว่าเป็นเพียงความเห็นเฉพาะตัวแต่สิ่งที่ตามมาหลังจากนั้นกลับยืนยันตรงกันข้าม
การแถลงของ แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ว่าร่างกฎหมายจะถูกเลื่อนออกไปอย่างไม่มีกำหนด ไม่ใช่การถอน และไม่ใช่การตอบรับเสียงต้าน แต่มันคือ “การถอย” เพื่อจัดขบวนใหม่หลังม่าน
เพราะความเป็นจริงก็คือ ของแลกเปลี่ยนยังไม่ลงตัว พรรคร่วมบางพรรคยังไม่พร้อมยกมือ และพรรคหลักเองก็ไม่สามารถกดปุ่มนำได้โดยไม่เจรจา
ในอีกด้านหนึ่ง ทักษิณ ชินวัตร กลับเป็นคนที่พูดแทนรัฐบาลมากกว่านายกรัฐมนตรีเอง โดยอ้างว่า “กาสิโนเป็นแค่ส่วนเล็ก ๆ” และหาว่าผู้คัดค้านกำลัง “บิดเบือน”
แต่ยิ่ง ทักษิณ พูดมากเท่าไร คำถามในสังคมก็ยิ่งดังขึ้นว่า -ใครกันแน่ที่เป็นเจ้าของนโยบายนี้?
ทำไมเสียงที่ดังที่สุดในรัฐบาล ถึงไม่ใช่นายกรัฐมนตรี? และเหตุใดการขับเคลื่อนนโยบายสำคัญ จึงอยู่ในมือของคนที่ไม่มีตำแหน่งทางการเมือง?
แพทองธาร อาจยังได้รับความนิยมจากประชาชนบางส่วน แต่ในทางการเมือง กำลังกลายเป็น “ผู้นำโดยตำแหน่ง” มากกว่า “ผู้นำโดยบทบาท” พูดน้อย ออกหน้าช้า และทุกครั้งที่นิ่งเงียบ เสียงของคนอื่นในรัฐบาลก็ยิ่งดังกว่า
ที่สำคัญกว่านั้นคือ ไม่ได้เงียบเพราะสงวนท่าที แต่เพราะยังไม่มีความเข้าใจมากพอในประเด็นสำคัญที่รัฐบาลต้องเผชิญ หลายครั้งเมื่อถูกถามเรื่องนโยบาย คำตอบกลับสะท้อนความไม่มั่นใจ
บางจังหวะก็เลี่ยงที่จะให้คำอธิบายชัดเจน ยิ่งทำให้บทบาทในฐานะผู้นำดูบางเบาลงในทุกสถานการณ์ที่มีเดิมพันทางการเมือง
ภูมิธรรม เวชชยชัย รองนายกฯ ฝ่ายการเมือง จึงเริ่มก้าวขึ้นมาส่งสัญญาณแทนนายกฯ อย่างไม่เป็นทางการโดยเฉพาะเมื่อออกมาตั้งคำถามต่อพรรคร่วมว่า “ตกลงใครเป็นหัวหน้าพรรคภูมิใจไทยกันแน่?”
นั่นไม่ใช่แค่การหยอกเชิงวาทกรรม แต่มัน ทำลายสมดุลของพันธมิตร และเผยให้เห็นว่า ความไว้วางใจในพรรคร่วม เริ่มสั่นคลอนจากแกนนำเอง
ในเวลาเดียวกัน แรงกดดันจากภายนอกก็พุ่งเข้าใส่รัฐบาลอย่างเงียบแต่ชัด กลุ่ม นักวิชาการ นักสิทธิมนุษยชน และภาคประชาชน เริ่มตั้งคำถาม ขยายวงต่อต้านร่างกฎหมายนี้ ซึ่งไม่ใช่แค่ในเชิงศีลธรรม
แต่ในเชิงความโปร่งใส และความเชื่อมั่นว่ารัฐบาลจะจัดการอุตสาหกรรมที่อ่อนไหวเช่นนี้ได้จริงหรือไม่
พวกเขาไม่เชื่อว่า รัฐบาลที่ยังรักษาสมดุลภายในไม่ได้ จะสามารถควบคุมอำนาจผลประโยชน์ภายนอกได้
และเมื่อ คำอธิบายเรื่องนโยบายกลายเป็นหน้าที่ของ ทักษิณ ความชอบธรรมของ แพทองธาร ก็ถูกลดทอนโดยไม่ต้องตั้งคำถาม
ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่สภาถูกปิด แต่นั่นไม่ได้หมายความว่า เกมการเมืองจะหยุดเดิน ตรงกันข้าม-มันคือช่วงที่ผู้เล่นแต่ละฝ่าย เริ่มคุยกันนอกเวที วางหมากใหม่และคิดถึงเงื่อนไขแลกเปลี่ยน
ณ จุดนี้ ทางเลือกของรัฐบาลจึงเหลือเพียงสามทาง
หนึ่ง ถอนร่างกฎหมายกาสิโน ออกจากวาระโดยสมบูรณ์ เพื่อลดแรงต้านจากภาคประชาชน และไม่ให้พรรคร่วมต้องแบกรับต้นทุน แต่ทางนี้ก็อาจ ทำลายความเชื่อมั่นจากกลุ่มผลักดัน ที่อยู่เบื้องหลังร่างกฎหมาย
สอง ปรับคณะรัฐมนตรี เพื่อจัดสมดุลเสียงใหม่ ซื้อเวลาทางการเมือง และส่งสัญญาณว่า แกนนำยังควบคุมเกมได้ แต่การปรับ ครม. ก็เท่ากับ ยอมรับว่าการจัดการพรรคร่วมล้มเหลวตั้งแต่ต้น
สาม ไม่ทำอะไรเลย ปล่อยให้กระแสรอซา แล้วค่อยกลับมาเดินเกมใหม่เมื่อเปิดสภา แต่เส้นทางนี้มีต้นทุนสูง เพราะพรรคร่วมอาจเริ่มเล่นบทของตนเอง โดยไม่รอคำสั่งจากพรรคหลักอีกต่อไป
หากรัฐบาลเลือกทางที่สาม อาจจะยังอยู่ครบในสภา แต่จะไม่ครบในเกมอำนาจ
เสียงข้างมากในสภาจะไร้ความหมาย หาก พันธมิตรไม่ยอมเดินร่วม และหากนายกรัฐมนตรีไม่ยืนอยู่กลางวงด้วยเสียงของตนเอง เสียงของคนที่ไม่มีตำแหน่งก็จะพูดแทนต่อไป
ช่วงปิดสภา 80 วัน จึงไม่ใช่เพียงเวลารอ แต่มันคือช่วงตัดสินใจ ว่ารัฐบาลจะ ปรับ โครงสร้างอำนาจให้มั่นคง ถอน ความขัดแย้งออกไปก่อนลุกลาม หรือจะ ปล่อย ให้ทุกอย่างค่อยๆตายลงโดยไม่มีใครยอมรับตรงๆว่ารัฐบาลกำลังมีปัญหา
ไม่ใช่เกมล้มรัฐบาล แต่คือเกมวัดว่าใครจะเหลืออยู่บนโต๊ะอำนาจ เมื่อเปิดสภาครั้งหน้า.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
'เพื่อไทย' ง้างมือศาลรธน. เชือด 'รมต.รัฐบาลอนุทิน'
'พท.' จ่อร้อง 'ศาล รธน.' เอาผิดจริยธรรม 'รมต.รัฐบาลอนุทิน' ก่อนยื่นซักฟอกต่อ 'สุทิน' ขอรอดูถกร่าง รธน.วาระ 2 ก่อนเคาะวัน เย้ย ควรยกธงขาวเตรียมเผ่นหลังขู่ยุบสภาหนี เตือนฝ่ายค้ำระวังล้มทับกันเอง
ดร.ณัฏฐ์ ผ่าเกมแก้รัฐธรรมนูญ วาระ 3 คือดักทาง ยุบสภาปี 68 เป็นศูนย์
นักกฎหมายมหาชนชี้ แก้รัฐธรรมนูญแม้ผ่านวาระ 2 ไม่ยาก แต่ต้องแช่แข็งร่าง 15 วันก่อนขึ้นวาระ 3 ทำเกมยุบสภาไร้ทางเกิดขึ้นภายในปีนี้ ขณะตัวแปรชี้ชะตาอยู่ที่เสียง สว. สีน้ำเงิน ในขั้นสุดท้ายก่อนประชามติ
รัฐสภาประชุมแก้ รธน. 10-11 ธ.ค. เชื่อผ่านวาระสาม สภาสูงไม่ตีตก
ในช่วงวันที่ 10-11 ธันวาคม จะมีการประชุมร่วมกันระหว่างสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและสมาชิกวุฒิสภา อันเป็นการประชุมรัฐสภาในช่วงการเปิดประชุมสมัยวิสามัญ
สะพัดเตรียมชงที่ประชุมสส.เพื่อไทยเปิดซักฟอก 'อนุทิน' ปมแก้น้ำท่วม-สแกมเมอร์ กดดัน พรรคส้มร่วมวง
แหล่งข่าวจากพรรคเพื่อไทย เปิดเผยว่ากรรมการบริหารพรรคเพื่อไทย ได้ประชุมกันอย่างไม่เป็นทางการ มีความเห็นร่วมกันว่า จะยื่นญัตติเปิ
'หมอวรงค์' มองภาพ 'เบนสมิธ' ร่วมวง 'ทักษิณ-ธรรมนัส' น่ามีผลต่อปท. มากกว่ารูปเก่า 'อนุทิน'
ภาพที่มีเบน สมิธกับทักษิณ และมีธรรมนัส น่าจะมีน้ำหนักสร้างผลกระทบต่อประเทศชาติมากกว่า เมื่อเทียบกับภาพเมื่อ 10 ปีที่แล้วของนายอนุทิน แต่สิ่งที่นายอนุทินต้องพิสูจน์ อาจจะมีบางสิ่งบางอย่างผ่านมาทางธรรมนัสก็ได้
'เด็จพี่' โผล่หยัน 'ปชน.' ไม่กล้าซักฟอก 'อนุทิน' กลัว 'ยุบสภา' ทำแก้รัฐธรรมนูญค้างเติ่ง
‘พร้อมพงศ์’ อัด ปชน. ตรรกกะย้อนแย้ง จี้ ‘อนุทิน’ ปลดรัฐมนตรีทุนเทา ไม่ได้ผล สอนมวย ยื่นอภิปรายใช้เสียงสภาฯ เกินครึ่งโหวตคว่ำ ปลดได้แน่ ผิดหวังห่วงเรื่องแก้รธน. มากกว่า ซักฟอกในสภาฯ ชี้ ทำแฟนคลับผิดหวัง เตรียมโดนลงโทษวันเลือกตั้ง

