ทักษิณจะไปสหรัฐ ปลดล็อกภาษี-ดับไฟใต้ 'วาทกรรมคำโต' กับโลกแห่งความจริง

ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีที่ไร้ตำแหน่งทางการเมือง กลับมาเล่นบทผู้นำอีกครั้ง ผ่านการให้สัมภาษณ์เมื่อวันที่ 26 เมษายนที่ผ่านมา ทั้งในประเด็น การเจรจาการค้ากับสหรัฐฯ และการแก้ปัญหาไฟใต้

การเคลื่อนไหวครั้งนี้ ไม่เพียงสะท้อนความเชื่อว่า “ตัวเขา” สามารถจัดการทุกปัญหาระดับชาติได้ด้วยตนเอง หากยังตอกย้ำว่า การเมืองไทยยังไม่อาจหลุดพ้นจากวังวนการเมืองแบบตัวบุคคล ที่กัดกร่อนระบบการเมืองมาอย่างยาวนาน

แม้เวลาจะล่วงเลยหลายปี แต่แก่นความคิดของทักษิณยังคงเดิม นั่นคือ  ความเชื่อว่าปัญหาใหญ่ระดับประเทศสามารถแก้ไขได้ด้วยตัวบุคคล มากกว่าการพึ่งพากระบวนการตามระบบ

กรณีการค้ากับสหรัฐฯ เป็นตัวอย่างหนึ่งที่สะท้อนแนวคิดดังกล่าว ทักษิณเปิดเผยว่า ได้ซักซ้อมข้อมูลเพื่อเตรียมเจรจากำแพงภาษีกับทีมงานของอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ และหากจำเป็น ก็พร้อมขออนุญาตศาลเพื่อดำเนินการด้วยตนเอง

การเคลื่อนไหวเช่นนี้ แม้จะอ้างว่าเพื่อประโยชน์ของประเทศ แต่ในทางหลักการ สะท้อนถึงความพยายามสวมบทบาทแทนกลไกรัฐ ซึ่งขัดกับหลักการบริหารประเทศสมัยใหม่ที่ต้องอาศัยการดำเนินงานผ่านระบบและสถาบันที่เป็นทางการ

ในอีกด้านหนึ่ง ความพยายามจัดองคาพยพดับไฟใต้ ก็แสดงให้เห็นวิธีคิดแบบเดียวกัน ว่า ปัญหาความขัดแย้งทางชาติพันธุ์และศาสนา ซึ่งฝังรากลึกในพื้นที่ สามารถจัดการได้ด้วยการตั้งทีมงานไม่กี่ชุด โดยไม่ต้องสร้างกระบวนการแก้ไขที่มีส่วนร่วมจากชุมชนอย่างแท้จริง

ย้อนกลับไปในปี 2547 ทักษิณเคยลดทอนปัญหาความรุนแรงในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนใต้ด้วยถ้อยคำ “โจรกระจอก” ซึ่งมิได้เพียงสร้างความเข้าใจผิดในสายตาสาธารณะ แต่ยังกลายเป็นชนวนสำคัญที่ผลักให้ไฟใต้ลุกลามเกินกว่าที่จะดับได้ด้วยมาตรการทางทหาร

ความผิดพลาดในวันนั้น ก่อให้เกิดความเจ็บปวดฝังลึกในใจของชาวบ้านในพื้นที่ ความรู้สึกว่าไม่ได้รับความยุติธรรม และไม่ได้รับความเข้าใจจากรัฐส่วนกลาง กลายเป็นรอยร้าวที่ไม่มีใครสมานได้ง่าย ๆ จนถึงทุกวันนี้

กระทั่งในปี 2568 วาทกรรม “เอาอยู่” ก็ถูกหยิบมาใช้อีกครั้ง ทั้งที่สภาพความเป็นจริงในพื้นที่ยังเต็มไปด้วย ปัญหาความไม่ไว้เนื้อเชื่อใจ และความเหลื่อมล้ำที่สะสมเรื้อรังมาอย่างยาวนาน

เมื่อพิจารณารวมกัน จะเห็นได้ว่า ทั้งกรณีภาษีสหรัฐฯ และความไม่สงบในภาคใต้ ล้วนสะท้อนรากความคิดเดียวกัน นั่นคือ ความเชื่อผิด ๆ ของทักษิณ ชินวัตร ที่มองว่าปัญหาใหญ่ระดับชาติสามารถแก้ได้ด้วยวาทกรรมคำโต และการจัดการเฉพาะหน้า โดยไม่ต้องแตะต้องต้นเหตุที่แท้จริง

แนวทางเช่นนี้ไม่ได้เพียงไร้ประสิทธิภาพ หากแต่ยัง ผลักให้ปัญหาบานปลาย ลุกลาม และทำให้ความเสียหายสะสมลึกลงเรื่อยๆ ทั้งในเชิงเศรษฐกิจ ความมั่นคง และสังคม

ขณะที่ประเทศไทยมีนายกรัฐมนตรีตามกฎหมายอย่าง แพทองธาร ชินวัตร ดำรงตำแหน่ง ทว่าการกำหนดทิศทางที่แท้จริงยังคงอยู่ในมือของอดีตผู้นำที่ไร้ตำแหน่งทางการเมืองอย่างเปิดเผย โดย ไม่สนใจสายตาของประชาชนไทยและนานาชาติที่จับจ้องมองอย่างสงสัย

การเคลื่อนไหวเช่นนี้ ไม่เพียงแต่ลดทอนความน่าเชื่อถือของรัฐบาล หากแต่ยังตอกย้ำว่า การเมืองไทยยังคงปล่อยให้ตัวบุคคลมีอำนาจเหนือกระบวนการบริหาร และกำหนดทิศทางประเทศโดยไม่ผ่านกระบวนการตรวจสอบตามครรลอง

ในเวทีการเจรจาการค้าระหว่างประเทศ  ความน่าเชื่อถือของรัฐไม่สามารถสร้างได้จากการเจรจาส่วนตัวหรือความสัมพันธ์ส่วนบุคคล แต่ต้องผ่านกระบวนการทูตที่เป็นทางการ และยืนหยัดผลประโยชน์ของประเทศในระยะยาวอย่างเป็นระบบ

ขณะเดียวกัน ความไม่สงบในพื้นที่ชายแดนภาคใต้ก็ไม่ใช่ปัญหาที่จะแก้ไขได้ด้วยคำพูด หรือการจัดทีมเฉพาะกิจแบบเฉพาะหน้า การแก้ไขอย่างแท้จริงต้องเริ่มจากการสร้างความยุติธรรม ฟื้นฟูความเชื่อใจ และเปิดทางให้ประชาชนในพื้นที่มีส่วนร่วมอย่างแท้จริงในกระบวนการเปลี่ยนแปลง

วาทกรรมคำโตของ ทักษิณ จึงไม่เพียงแต่ชนกับความเป็นจริงทางเศรษฐกิจและความมั่นคง หากแต่สะท้อนวิธีคิดที่สวนทางกับความจำเป็นในการพัฒนาการเมืองไทยให้ก้าวข้ามวัฏจักรของการเมืองแบบอิงตัวบุคคล

ตราบใดที่ การเมืองไทยยังผูกติดอยู่กับตัวบุคคล ไม่ว่าจะในนามหรือนอกนาม ประเทศไทยก็ยากจะก้าวพ้นความขัดแย้งซ้ำซาก และเดินหน้าไปสู่ประชาธิปไตยเต็มใบได้อย่างแท้จริง

ทักษิณ ชินวัตร คือภาพสะท้อนที่ชัดเจนที่สุดของปัญหานี้ พิสูจน์ให้เห็นว่าการเมืองที่ยึดติดกับตัวบุคคล นอกจากไม่อาจแก้ปัญหาระดับชาติได้อย่างแท้จริง ยังนำมาซึ่งความเสียหายที่สะสมซ้ำซ้อนต่อระบบการเมืองไทยในระยะยาว

ประเทศชาติจึงตกอยู่ในสภาพที่ เรื่องใหญ่กลายเป็นเพียงวาทกรรม เรื่องยากกลายเป็นแค่คำสัญญา และความเสียหายถูกกลบเกลื่อนด้วยการพูดซ้ำๆ ว่า “เอาอยู่”

โลกแห่งความจริง ไม่เคยอ่อนข้อให้กับวาทกรรมคำโต และประเทศไทยก็ไม่ควรต้องวนเวียนอยู่ใน โลกแห่งมายา ที่สร้างขึ้นจาก ตัวบุคคลคนเดิม อีกต่อไป.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

'กัณวีร์' โร่แจงโดนปลดพ้นเลขาฯพรรคเป็นธรรม

นายกัณวีร์ สืบแสง สส.พรรคเป็นธรรม โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กว่า ตามที่พรรคเป็นธรรมได้ออกแถลงการณ์เรื่องการเปลี่ยนแปลงตำแหน่งภายในพรรค และมีมติปลดผมออกจากตำแหน่งเลขาธิการพรรค ผมขอเรียนชี้แจงต่อสาธารณชนและพี่น้องประชาชนดังต่อไปนี้

ลูกพรรครอเก้อ! 'ทวี' ชิ่งประชุมสรรหาผู้สมัคร สส. พบโผล่หาดใหญ่กับคณะเพื่อไทย

พรรคประชาชาติได้จัดประชุมคณะกรรมการสรรหาผู้สมัครรับเลือกตั้ง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร โดยที่ประชุมได้เห็นชอบส่งผู้สมัครเฉพาะใน  3 จังหวัดชายแดนภาคใต้รวม 13 เขต มี 7 ส.ส. ในนามพรรคยังคงเป็นผู้สมัครในนามพรรค และรายชื่อทั้งหมดจะนำเข้าสู่การพิจารณาของ