สองศาล สองจังหวะ 'ยึดทรัพย์-บังคับโทษ' กับการเมืองใต้ร่มอำนาจตระกูลชินฯ

แม้การเมืองไทยจะเปลี่ยนผ่านรัฐประหารและการเลือกตั้งมาหลายรอบ แต่ชื่อของ ตระกูลชินวัตร ก็ยังไม่เคยหลุดจากความขัดแย้ง ทั้งในฐานะฝ่ายที่ถูกจัดการ และฝ่ายที่ยังมีอิทธิพลในสนามอำนาจ

ตั้งแต่ปี 2544 เมื่อ ทักษิณ ชินวัตร ก้าวสู่อำนาจด้วยกลไกเลือกตั้ง จนถึงวันนี้ที่ แพทองธาร ชินวัตร นั่งเก้าอี้นายกรัฐมนตรีในวัย 38 ปี ตระกูลนี้ไม่ได้เป็นแค่ผู้เล่นในสนามการเมือง แต่กลายเป็นจุดรวมความขัดแย้งและความแตกแยกอย่างชัดเจน

วันนี้ ศาลปกครองสูงสุด จะพิจารณาคดียึดทรัพย์ของ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกฯตระกูลชินวัตร จากโครงการรับจำนำข้าว ซึ่งมีมูลค่าความเสียหายสูง และเคยมีคำถามถึงการละเว้นไม่ดำเนินการกับเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องกับการทุจริต

คดีนี้ไม่ใช่แค่เรื่องจำนวนเงินเสียหาย แต่เป็นบทพิสูจน์ความรับผิดชอบของรัฐบาลที่อ้างว่า “ประชาชนเป็นเจ้าของอำนาจ” ว่าจะต้องรับผิดชอบอย่างไร

ในอดีต กระทรวงการคลังเคยใช้อำนาจบังคับให้ ยิ่งลักษณ์ ชดใช้กว่า 35,000 ล้านบาท แม้ว่ากระบวนการนี้ไม่ได้ผ่านศาลอย่างเป็นทางการ แต่สะท้อนเจตนาทางการเมืองที่จะกดดันผู้นำที่หนีคดีให้ชดใช้ค่าเสียหายด้วยทรัพย์สิน

เมื่อยิ่งลักษณ์ฟ้องศาลปกครองกลาง ศาลฯ วินิจฉัยว่ารัฐบาลขาดอำนาจดำเนินการ เพราะขาดขั้นตอนไต่สวนที่เป็นธรรมตามหลักกระบวนการยุติธรรม

วันนี้ ศาลปกครองสูงสุดต้องตอบคำถามใหญ่ของสังคมว่า การใช้อำนาจรัฐยึดทรัพย์ผู้นำที่หลบหนีคดีเป็นไปตามรัฐธรรมนูญหรือไม่ และจะกลายเป็นบรรทัดฐานใหม่ของการบังคับใช้กฎหมายในประเทศหรือไม่

คำตัดสินนี้มีผลเกินกว่าห้องพิจารณาคดี เพราะเกี่ยวข้องกับ “ความรับผิดชอบต่อความเสียหายของประเทศ” และ “ใครคือผู้รับผิดชอบจริง”

หากศาลปกครองสูงสุดกลับคำพิพากษาเท่ากับว่าได้ตอกย้ำว่า รัฐบาลยิ่งลักษณ์ บริหารผิดพลาดอย่างร้ายแรงจนต้องรับผิดในทางละเมิดต่อรัฐจริง ซึ่งจะ กลายเป็นหลักฐานทางการเมือง ที่ฝ่ายตรงข้ามสามารถใช้ต่อยอด สร้างภาพจำว่า ระบอบทักษิณ คือความเสียหายซ้ำซาก

ในทางกลับกัน ถ้าศาลปกครองสูงสุดยืนคำพิพากษาศาลชั้นต้นที่เพิกถอนคำสั่งกระทรวงการคลังให้ชดใช้ค่าเสียหายอาจกลายเป็นจุดเปลี่ยนทางการเมือง เพราะกลุ่มผู้สนับสนุนพรรคเพื่อไทยอาจตีความว่า ศาลปกครองสูงสุดส่งสัญญาณ “ปลดล็อก” การเมืองหลังรัฐประหาร ด้วยการจำกัดโซ่อำนาจที่เคยเชื่อกันว่าใช้จัดการฝ่ายตรงข้ามอย่างต่อเนื่อง

และอาจเป็นแรงกระตุ้นให้การเมืองในนามระบอบประชาธิปไตยกลับมาเติบโตอีกครั้ง แม้ยังอยู่ภายใต้ร่มเงาของโครงสร้างอำนาจเดิม

เมื่อดูภาพรวมกับคดีของ ทักษิณ ที่จะถูกไต่สวนโดย ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ในวันที่ 13 มิถุนายน ซึ่งเกี่ยวกับอิสรภาพส่วนบุคคล ศาลจะพิจารณาอย่างเข้มงวดว่า มี การบังคับโทษตามหมายขัง เกิดขึ้นจริงแล้วหรือไม่

ถ้าศาลพบกระบวนการไม่ถูกต้อง อาจสั่งให้ดำเนินการตามคำพิพากษาเดิมอย่างเคร่งครัด ซึ่งจะนำไปสู่การนำตัว ทักษิณ กลับเข้ารับโทษจำคุกทันที

การกลับเข้าสู่เรือนจำในฐานะผู้ต้องโทษตามคำพิพากษาศาลฎีกา ไม่ใช่แค่ผลลัพธ์ทางกฎหมาย แต่เป็นสัญลักษณ์ของการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญทางการเมืองของประเทศ

ผู้ก่อตั้งและผู้นำพรรคเพื่อไทยที่ยังมีอิทธิพลต่อทิศทางรัฐบาลในปัจจุบัน จะเผชิญสถานะ “นักโทษเด็ดขาด” อีกครั้ง ภายใต้การบังคับใช้กฎหมายโดยตรงของศาลยุติธรรม

เมื่อจับคู่สองคดีนี้ คือ การยึดทรัพย์ของยิ่งลักษณ์ กับการส่งทักษิณกลับเข้าสู่เรือนจำ ชื่อ “ชินวัตร” จึงไม่ได้เป็นแค่เงาหรือความทรงจำทางการเมือง แต่กลายเป็น “ตัวชี้วัดสำคัญ” ที่สังคมใช้วัดความเชื่อมั่นในความเสมอภาคของกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม

ถ้าศาลปฏิบัติตามหลักเหตุผลและความยุติธรรม ไม่ว่าจะจบที่ การยึดทรัพย์หรือไม่ หรือ การกลับเข้าคุก หรือไม่ ทุกคำตัดสินจะเป็น “สมการแห่งความยุติธรรม” ที่ประชาชนจับตามองอย่างใกล้ชิด

ความใกล้ชิดของรัฐบาลแพทองธารกับครอบครัวชินวัตรไม่ได้ลดทอนความสงสัยในสังคม แต่ยิ่งตอกย้ำภาพว่า รัฐบาลชุดนี้คือ “รัฐบาลของตระกูลเก่า” ที่ผูกพันลึกซึ้งกับอำนาจรัฐ

โดยเฉพาะเมื่อคำพิพากษาศาลปกครองและการไต่สวนของศาลฎีกาฯ เกิดขึ้นใกล้เคียงกัน สังคมจึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะมองว่านี่คือ “ช่วงเวลาชี้ชะตา” ของตระกูลชินวัตรอีกครั้ง

หากผลของสองคดีนี้ไม่ส่งผลกระทบต่อครอบครัวชินวัตร ภาพการเมืองที่เชื่อมโยงกับอำนาจเก่าเดิมจะยิ่งชัดเจนขึ้น และเปิดช่องให้ฝ่ายตรงข้ามโจมตีความชอบธรรมของระบบ

แต่ถ้าผลคำตัดสินออกในทางตรงกันข้าม คือ ยึดทรัพย์ยิ่งลักษณ์ และให้ ทักษิณรับโทษใหม่ สถานการณ์จะกลายเป็นแรงสั่นสะเทือนการเมืองครั้งใหญ่ เพราะฐานเสียงหลักของพรรคเพื่อไทยอาจมองว่าเป็นการใช้อำนาจกฎหมายจัดการทางการเมืองอย่างไม่เป็นธรรม

คดีของทักษิณและยิ่งลักษณ์ยังดำเนินต่อไป ขณะที่ แพทองธาร ในฐานะนายกรัฐมนตรีต้องเผชิญแรงกดดันและผลกระทบทางการเมืองที่เลี่ยงไม่ได้

บทบาทสมาชิกตระกูลชินวัตร ถูกโยงเข้าด้วยกันอย่างแยกไม่ออก และส่งผลต่อ เสถียรภาพทางการเมือง และทิศทางการบริหารประเทศในปัจจุบันอย่างชัดเจน

ในสายตาประชาชน รัฐบาลชุดนี้ไม่ใช่เพียงรัฐบาลทั่วไป แต่เป็นตัวแทนอำนาจที่ผูกพันกับประวัติศาสตร์การเมืองเก่า ที่ยังไม่อาจตัดขาดได้

และหากไม่สามารถตอบคำถามได้ว่า “ใครรับผิดชอบ ใครได้รับโอกาส ใครมีอภิสิทธิ์” สังคมไทยก็อาจวนกลับไปเริ่มนับหนึ่งแห่งความขัดแย้งอีกครั้ง ด้วยคนหน้าเดิม และครอบครัวชุดเดิม

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

รู้จักน้อยไปจริง! กระทุ้ง 'อนุทิน' เผยตัวตนให้มากขึ้น

นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ อดีต สส.พัทลุง พรรคประชาธิปัตย์ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กว่า หรือเรารู้จักท่านนายกรัฐมนตรีน้อยไปจริงๆ

นายกฯอนุทิน นำแถลงยึดทรัพย์หมื่นล้าน 'สแกมเมอร์ข้ามชาติ' ลั่นต้องขยายผลไม่มีหยุดพักปีใหม่

นายกฯ อนุทิน นำแถลง ยึดทรัพย์เครือข่ายอาชญากรรมข้ามชาติ "เฉิน จื้อ - ก๊ก อาน - ยิม เลียก - เบน สมิธ" พร้อมยึดทรัพย์มูลค่าหมื่นล้านบาท ยันพร้อมสนับสนุนเจ้าหน้าที่ดำเนินการเต็มที่ เดินหน้าขยายผลต่อไม่มีหยุดพักร้อน มอง "เบน สมิธ" โยงคนในรัฐบาล เป็นเรื่องคนรู้จักกันได้ แต่หากเจอหลักฐานถึงใครไม่มีละเว้น

ด่วน! ป.ป.ง. แถลงยึดทรัพย์หมื่นล้าน ตัวการใหญ่สแกมเมอร์ 5 คดี

สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) ได้แถลงข่าวเมื่อวันที่ 3 ธ.ค. 2568 เกี่ยวกับผลการปฏิบัติงานของคณะกรรมการธุรกรรมในการยึดและอายัดทรัพย์สินในคดีสำคัญที่เชื่อมโยงกับเครือข่ายองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ ขบวนการสแกมเมอร์ (Scammer)

ปิดฉากมหากาพย์ก่อสร้างตึกสูงซอยร่วมฤดี!ศาลปกครองสูงสุดยืนไม่รับคำฟ้องไว้พิจารณา

ศาลปกครองสูงสุดมีคำสั่งยืนตามคำสั่งของศาลปกครองชั้นต้นที่ไม่รับคำฟ้องไว้พิจารณาคดีบริษัท ลาภประทาน จำกัดฟ้องเรียกค่าเสียหาย กทม.ละเมิดไม่ตรวจสอบความกว้างของเขตทางในซอยร่วมฤดี

ทนายโร่ปัด 'บอสกันต์' เดินอู๋อี๋สาว อ้างโดนยึดทรัพย์ไร้เงินติดสินบน

'ทนายวิฑูรย์' โร่การันตี 'บอสกันต์ - ภรรยา' ไม่ได้จ่ายเงิน 4 หมื่น แลกล็อกคิวตีเยี่ยมวันอาทิตย์ ปัดติดสินบนเดินอู๋อี๋กับสาว เหตุโดน ปปง.ยึดทรัพย์ไปหมดแล้ว