ไม่บ่อยนักที่ ผู้นำสองประเทศ จะเป็นลูกของผู้นำรุ่นก่อนที่เคยจับมือกันอย่างอบอุ่น แต่ในวันที่ ชายแดนลุกเป็นไฟ มิตรภาพส่วนตัวกลับกลายเป็นบททดสอบความเด็ดขาดของ ผู้นำรุ่นใหม่
เสียงปืนที่ลั่นขึ้นในช่วงสั้นๆ บริเวณ “ช่องบก” อำเภอน้ำยืน จังหวัดอุบลราชธานี เมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม 2568 อาจเป็นเพียงเหตุการณ์เฉพาะหน้าในเชิงยุทธวิธี แต่คลื่นสะท้อนของมันได้ปลุกตื่น ความทรงจำทางประวัติศาสตร์ และตอกย้ำถึง ข้อพิพาทเรื้อรัง ระหว่างไทยกับกัมพูชาที่ฝังรากลึกมายาวนานหลายทศวรรษ
ขณะที่รัฐบาลไทยพยายามประคับประคองสถานการณ์ผ่านการเจรจาและกลไกทวิภาคี ฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีกัมพูชา กลับเลือกหันหลังให้โต๊ะเจรจา และยืนยันว่าจะยื่นเรื่องต่อ ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) หรือ “ศาลโลก” ให้ชี้ขาดพื้นที่พิพาทที่ครอบคลุมไม่เพียง “ช่องบก” แต่รวมถึงกลุ่มปราสาทตาเมือนทั้งสาม (ธม, โต๊ด, ตาควาย) ซึ่งทอดตัวเป็นแนวยาวกว่า 200 กิโลเมตร ตามแนวชายแดนตะวันออกเฉียงใต้ของไทย
เหตุใด ผู้นำหนุ่มแห่งพนมเปญ จึงเลือกใช้ “ศาลโลก” แทนที่จะใช้ เวทีเจรจาระหว่างบ้านใกล้เรือนเคียง? และท่าทีของรัฐบาลไทยที่นำโดย บุตรสาวของ “ทักษิณ” ผู้มีความสัมพันธ์แน่นแฟ้นกับ ฮุน เซน จะเดินหมากต่อไปอย่างไร?
ความขัดแย้งชายแดนไทย-กัมพูชาไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่เป็น รอยร้าวทางประวัติศาสตร์ ที่เริ่มต้นตั้งแต่ยุคล่าอาณานิคม และถูกขีดเส้นไว้ในแผนที่ของ มหาอำนาจตะวันตก โดยปราศจากการยอมรับจากประชาชนที่อาศัยอยู่จริงในพื้นที่
กรณีปราสาทพระวิหารในปี 2505 และต่อเนื่องถึงคำตัดสินตีความในปี 2556 ได้สร้างแบบอย่างที่ทั้งสองประเทศไม่อาจลืม ความพ่ายแพ้ของไทยในทางกฎหมาย ทำให้กัมพูชาเกิดความมั่นใจว่าศาลโลกคือเวทีที่พวกเขา ได้เปรียบ
วันนี้ กัมพูชาใช้แนวทางเดิมอีกครั้ง ไม่ใช่แค่ในพื้นที่ปราสาทแห่งเดียว แต่ขยายไปถึง 4 จุดใหญ่ ขณะที่ไทยยังยึดแนวทางเดิมเช่นกัน — คือการยืนยัน “แนวเขตที่ถือปฏิบัติร่วมกัน” และการใช้ MOU ปี 2543 เป็นกรอบอ้างอิงเพื่อไม่ให้ข้อพิพาทบานปลาย
“ช่องบก” อาจไม่เป็นที่รู้จักในสื่อกระแสหลักเท่ากับ “ช่องสะงำ” หรือ “ช่องจอม” แต่ในแง่ยุทธศาสตร์ ช่องบกเป็นเส้นทางที่เชื่อมต่อจากภาคอีสานตอนล่างของไทยเข้าสู่เขต สตึงแตรงของกัมพูชา โดยตรง และยังอยู่ใกล้แนวภูเขาซึ่งเป็นแหล่งตั้งของ โบราณสถานหลายแห่ง ที่ยังไม่มีการขึ้นทะเบียนหลักเขต
เหตุปะทะเมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม ที่มาจากการลาดตระเวนของทหารไทย กลายเป็นชนวนใหม่ให้กัมพูชาเร่งเดินเกมในเวทีระหว่างประเทศ และประกาศไม่เข้าร่วมการประชุม คณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม (JBC) ซึ่งเดิมมีกำหนดจัดขึ้นวันที่ 14 มิถุนายนนี้
คำแถลงการณ์ของ ฮุน มาเนต แสดงท่าทีแข็งกร้าวอย่างผิดปกติในบริบทอาเซียน โดยระบุชัดว่า จะไม่เจรจาแบบสองฝ่ายกับไทยอีกต่อไป และจะยื่นศาลโลกให้ชี้ขาด
ถ้อยแถลงและท่าทีนี้สะท้อนมากกว่านโยบายต่างประเทศ มันสะท้อนความพยายามของฮุน มาเนตในการสร้างภาพลักษณ์ของ “ผู้นำอธิปไตย” ผู้ไม่ยอมอ่อนข้อ แม้กับประเทศเพื่อนบ้าน
พร้อมกันนั้น ยังอ้างถึงแนวทางของสมเด็จฮุน เซนอย่างชัดเจน เพื่อเน้นย้ำ ความต่อเนื่องทางอุดมการณ์ และแสดงให้เห็นว่า แม้จะเป็นคนรุ่นใหม่ แต่ยังยืนอยู่บนรากฐานทางการเมืองเดียวกับบิดา
ย้อนกลับไปเมื่อปี 2552 ทักษิณ ชินวัตร เคยได้รับการแต่งตั้งจากสมเด็จฮุน เซน ให้เป็น “ที่ปรึกษาเศรษฐกิจของรัฐบาลกัมพูชา” สร้างความขัดแย้งทางการทูตในระดับสูงกับรัฐบาลไทยขณะนั้น ความสัมพันธ์แนบแน่นระหว่างผู้นำทั้งสองเป็นที่รู้กันในแวดวงการเมืองระดับภูมิภาค
วันนี้ ผู้นำทั้งสองคนมีลูกที่ขึ้นสู่ตำแหน่งสูงสุดของประเทศ — แพทองธาร ชินวัตร ในฐานะนายกรัฐมนตรีหญิงของไทย และ ฮุน มาเนต ผู้นำรุ่นใหม่ของกัมพูชา
คำถามสำคัญจึงไม่ใช่แค่ว่า ใครจะชนะข้อพิพาทเขตแดน? หากแต่คือ ความสัมพันธ์ส่วนตัวในอดีตจะส่งผลต่อความเด็ดขาดในการปกป้องผลประโยชน์ของชาติหรือไม่?
จนถึงขณะนี้ แพทองธาร ยังไม่มีท่าทีที่ชัดเจนต่อกรณีช่องบกและการยื่นศาลโลกของกัมพูชา ขณะที่ฝ่ายความมั่นคงนำโดย ภูมิธรรม เวชยชัย รมว.กลาโหม ย้ำว่ายังยึดแนวทางสันติวิธี และไม่ขยายประเด็นตามที่อีกฝ่ายต้องการ
อย่างไรก็ตาม รัฐบาลไทยยังมิได้แถลงจุดยืนอย่างเป็นทางการ ว่าจะ “ยินยอม” หรือ “ปฏิเสธ” การเข้าสู่กระบวนการของ ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) ในกรณีข้อพิพาทเขตแดนที่กำลังขยายวงขึ้นอย่างรวดเร็ว
ในเชิงกฎหมายระหว่างประเทศ ข้อพิจารณาสำคัญอยู่ที่ มาตรา 93 ของกฎบัตรสหประชาชาติ ซึ่งระบุชัดว่า แม้ประเทศสมาชิกจะเป็นภาคีของธรรมนูญศาลโลก แต่การรับพิจารณาคดีโดย ICJ จะเกิดขึ้นได้ ก็ต่อเมื่อคู่กรณีทั้งสองฝ่ายยินยอม หรือมีข้อตกลงยอมรับเขตอำนาจศาลไว้ล่วงหน้า
นั่นหมายความว่า หากรัฐบาลไทยยังคงไม่แสดงความยินยอมอย่างชัดแจ้ง ไม่ว่ากัมพูชาจะประกาศจุดยืนแข็งกร้าวเพียงใด หรือจะเคลื่อนไหวผ่าน JBC เพื่อผลักดันให้ศาลโลกรับคดี ก็ยังไม่อาจทำให้ศาลดำเนินการใด ๆ ได้ตามหลักกฎหมาย
การไม่ยินยอมในที่นี้ ไม่ใช่การหลบเลี่ยงข้อพิพาท หากแต่เป็นการใช้สิทธิ อธิปไตย ในการกำหนดเวทีและรูปแบบการคลี่คลายความขัดแย้ง ซึ่งเป็นหลักพื้นฐานของระบบกฎหมายระหว่างประเทศ
ถึงกระนั้น ไทยไม่อาจเพิกเฉยได้ เพราะหากสถานการณ์เปลี่ยนแปลงหรือมีปัจจัยภายนอกกดดันให้ต้องเข้าสู่กระบวนการในอนาคต ก็จำเป็นต้องเตรียมความพร้อมอย่างเต็มที่ ทั้งในด้าน ข้อมูลประวัติศาสตร์, ภูมิศาสตร์, เอกสาร MOU ปี 2543 และหลักฐานภาพถ่ายดาวเทียม
บทเรียนจากคดีปราสาทพระวิหารเมื่อปี 2505 และการตีความในปี 2556 เตือนให้เราตระหนักว่า การไม่เตรียมตัวให้พร้อม หรือปล่อยให้เรื่องบานปลายโดยไร้กรอบทางการทูตและกฎหมาย อาจนำมาซึ่งความเสียหายทาง อธิปไตย ที่ไม่อาจเรียกคืนได้
สิ่งที่ถูกลืมเสมอในข้อพิพาทลักษณะนี้คือ ประชาชนชายแดน — ชาวบ้านที่ใช้ชีวิตพาดผ่านเส้นสมมุติบนแผนที่ ที่กำลังจะกลายเป็น เส้นเลือดใหม่ ของความตึงเครียด
หากการปะทะลุกลาม เศรษฐกิจชายแดนจะชะงักทันที และกระแสชาตินิยมทั้งสองฝั่งจะยิ่งรุนแรง กลายเป็นกับดักที่ทำให้รัฐบาลไทยและกัมพูชาถอยไม่ได้ แม้จะมีสายสัมพันธ์ลึกซึ้งแค่ไหนในระดับผู้นำ
ข้อพิพาทชายแดนไทย-กัมพูชาในวันนี้คือบทพิสูจน์ว่า มิตรภาพส่วนตัว ระหว่างผู้นำสองตระกูล จะถูกทดสอบอย่างหนักเมื่อต้องเผชิญกับแรงกดดันจาก อธิปไตยชาติ และความคาดหวังของประชาชน
ไทยต้องไม่ลังเลที่จะยืนยัน สิทธิของตนในทุกเวที พร้อมกับดำเนินการอย่างรอบคอบด้วยหลักฐานทางกฎหมายและประวัติศาสตร์
ขณะเดียวกันก็ต้องตั้งคำถามกับตัวเองว่า ในสถานการณ์ที่ความสัมพันธ์ส่วนตัวของผู้นำรุ่นก่อนมีผลต่อท่าทีของลูกหลาน ผู้นำรุ่นใหม่จะสามารถเดินหมากทางการเมืองและการทูตได้อย่างเด็ดขาดและสมดุลเพียงใด เพื่อรักษาผลประโยชน์ของชาติท่ามกลางความซับซ้อนของ มิตรภาพ และ ข้อพิพาทชายแดน ที่ยังไม่จบสิ้น.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
รู้จักน้อยไปจริง! กระทุ้ง 'อนุทิน' เผยตัวตนให้มากขึ้น
นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ อดีต สส.พัทลุง พรรคประชาธิปัตย์ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กว่า หรือเรารู้จักท่านนายกรัฐมนตรีน้อยไปจริงๆ
ทรงพลัง! สื่อกัมพูชาทำโพลล์ ‘คนเขมร’ สนับสนุนคว่ำบาตรสินค้าไทยอย่างล้มหลาม
เปืดผลสำรวจของ Khmer Times สื่อภาษาอังกฤษ ภายใต้การกับของรัฐบาลกัมพูชา แสดงให้เห็นถึงการสนับสนุนอย่างล้นหลามต่อการคว่ำบาตรสินค้าไทย หลังจากเหตุการณ์รุ
ชายจีนเหยียบกับระเบิดขณะลักลอบเข้าไทย กกล.บูรพารีบส่งทีมเก็บกู้ช่วยชีวิต
เช้ามืด ตชด. ได้ยินเสียงระเบิดจากป่าละเมาะใกล้ถนนศรีเพ็ญ ตรวจด้วยโดรนพบชายจีน คาดลักลอบเข้าประเทศ บาดเจ็บจากทุ่นระเบิดในพื้นที่บ้านหนองจาน กกล.บูรพาส่งชุดเก็บกู้เข้าช่วยทันที ก่อนประสาน ตม. ดำเนินขั้นตอนตามกฎหมายต่อไป
อัยการวัชรินทร์ ตั้งทีมงานชุดใหญ่สอบคดีกัมพูชายิงถล่มไทย เอาผิดฮุนเซน-ฮุนมาเนต
ผบช.ภ.3 ส่งสำนวนเขมรยิงระเบิดใส่ไทย ให้ อสส.เเล้ว "วัชรินทร์" อธ.อัยการสอบสวน เตรียมตั้งคณะทำงานเกือบยกสำนักงาน ลุยคดีให้ 2 พ่อลูกตระกูลฮุนรับผิดชอบความสูญเสีย
เปิดรายงาน AOT ชี้ชัดเขมรซุกทุ่นระเบิดใหม่ ทำทหารไทยขาขาดรายที่ 7
กองทัพไทยเปิดรายงาน ผลตรวจสอบของ AOT ยันทุ่นระเบิด PMN-2 ห้วยตามาเรีย- ภูมะเขือ ทำทหารขาขาดรายที่ 7 ถูกฝังใหม่ ไม่ใช่ทุ่นระเบิดเก่าตามที่กองทัพกัมพูชาอ้าง


