อุดมคติที่ไร้ราก: สากลนิยมหลงฝันกับตรรกะบิดเบี้ยวของ 'ธนาธร-ปิยบุตร-พิธา'

ในโลกที่เต็มไปด้วย ความขัดแย้ง และการแย่งชิง ความจริงทางการเมือง ไม่ใช่บทกวี และ อุดมคติ ไม่ใช่ข้ออ้างในการทอดทิ้ง รากเหง้าแห่งชาติ การยึดมั่นในแนวคิด สากลนิยม จึงไม่อาจใช้แทน ภาระหน้าที่พื้นฐาน ต่อแผ่นดินที่เราเหยียบยืนได้

ยิ่งในห้วงเวลาที่ เสียงปืนดังขึ้น อีกครั้งที่ช่องบก ชายแดนไทย-กัมพูชา  ประชาชนไม่ได้เรียกร้องคติพจน์ หรือบทสุนทรพจน์ว่าด้วยเสรีภาพ สิ่งจำเป็นคือการยืนยันว่า ชาติยังคงยืนอยู่ข้างเขา และผู้นำยังไม่ทอดทิ้งชายแดน

ท่ามกลางความไม่แน่นอน มี “ผู้นำทางความคิด” บางกลุ่มพยายามแทรกแนวคิดเรื่อง “มนุษยภาพ” เข้ามาในฐานะสิ่งทดแทนการ ปกป้องอธิปไตย ไม่เพียงละเลย ศักดิ์ศรีชาติ แต่ยังตั้งคำถามกับแนวคิด ชาตินิยม เสียเอง

ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า โพสต์ข้อความเก่าจากปี 2562 ซ้ำอีกครั้งในวันที่ 8 มิถุนายน 2568 ระบุว่า

“เมื่อ ชนชั้นนำ พูดว่าชาติเราดีกว่าชาติอื่น…ศาสนาเราดีกว่าศาสนาอื่น เราก็รู้เลยว่าความบ้าคลั่งกำลังก่อตัว และสงครามใกล้เข้ามา…”

พร้อมเสริมว่า

“ตราบใดที่คนเราถูกทำให้เกลียดชังกันด้วย การเมืองแห่งความกลัว ตราบนั้นเราจะลุกขึ้นสู้ด้วย การเมืองแห่งความหวัง

แต่คำถามที่หลีกเลี่ยงไม่ได้คือ เหตุใด “ความกลัว” ต่อการรุกรานจึงกลายเป็นสิ่งผิด และเหตุใด “การลุกขึ้นสู้” ต้องสงวนไว้เฉพาะสิ่งที่ธนาธรมองเห็นชอบ

เมื่อพูดถึง ชนชั้นนำที่ปลุกปั่น ในขณะที่ประชาชนชายแดนตกอยู่ในความไม่แน่นอน การโจมตีแนวคิด ชาตินิยม อย่างโจ่งแจ้งกลับสะท้อน ชนชั้นนำอีกกลุ่มหนึ่ง ที่ไร้ความรับผิดชอบ

ในความเป็นจริง ชาตินิยมที่มีรากฐานจากประสบการณ์ประชาชน ไม่ใช่เรื่องของความบ้าคลั่ง หากแต่เป็นความพยายามเอาตัวรอดในโลกไร้ความแน่นอน คนชายแดนไม่ได้เรียกร้องอะไรเกินไป นอกจากความมั่นใจว่าเมื่อได้ยิน เสียงปืน จะไม่มีใครในเมืองใหญ่บอกให้ “อย่ายึดติดกับความเป็นชาติ”

เช่นเดียวกับ ปิยบุตร แสงกนกกุล ที่โพสต์เมื่อ 9 มิถุนายน 2568 ว่า

“เราต้องการ ชาตินิยมก้าวหน้า” ที่ประกอบด้วย “ภราดรภาพ-มนุษยภาพ-สากลนิยม” พร้อมวิจารณ์ “ชาตินิยมล้าหลัง” ว่าเป็นเครื่องมือของผู้ปกครอง และเสนอ “ฝันร่วมกัน” แบบสากลนิยม

คำถามสำคัญคือ ฝันร่วมกันนั้นจะตั้งอยู่บนผืนดินของใคร จะเกิดขึ้นได้อย่างไร หากบ้านของตนเองยังไม่ปลอดภัย

คำพูดนี้แม้ฟังดูสูงส่งในเวทีนานาชาติ แต่กลับกลายเป็นการดูแคลนผู้แบกปืนเฝ้าชายแดน ที่ต้องเผชิญกับความเสี่ยงจริงจัง

ภายใต้แนวคิดนี้ “ชาติ” กลายเป็น มายาคติ ที่ควรถูกก้าวข้าม แต่ในโลกความจริงของประชาชน “ชาติ” ไม่ใช่มายาคติ หากเป็นสิ่งสุดท้ายที่เหลืออยู่

เมื่อพรมแดนถูกละเมิด การตั้งคำถามกับชาติในเวลานั้นไม่ใช่ความกล้าหาญ แต่คือ ความอ่อนแอที่ซ่อนอยู่ใต้หน้ากากปัญญาชน

ส่วน พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ อดีตหัวหน้าพรรคก้าวไกล เคยกล่าวเมื่อ 18 มีนาคม 2566 ว่า

“ประเทศไทยมีทหารไว้ทำไม ก็จะไปรบกับใคร” และว่า “บางประเทศไม่ต้องมีกองทัพด้วยซ้ำ ถ้าผู้นำฉลาดพอ”

คำกล่าวนี้บิดเบือนบริบท ความมั่นคงของรัฐขนาดเล็ก อย่างไทย และสะท้อนโลกทัศน์ที่ปฏิเสธความเป็นจริง ไม่มีภัยคุกคาม ไม่มีการรุกราน หรือประเทศที่ใช้กำลัง

พิธาอาจฝันถึงโลกไร้สงคราม แต่ ประชาชนชายแดนฝันถึงคืนที่ไม่ต้องตื่นมาหลบกระสุน

ในโลกแห่งความจริง ประเทศที่ไม่มีทหารไม่ใช่ประเทศที่ฉลาดกว่า หากแต่เป็นประเทศที่ ไม่รอด และถูกกลืนกินไปแล้ว

ทั้งสามปัญญาชนนี้ ธนาธร ปิยบุตร และพิธา ไม่ใช่เพียงคิดต่างทางการเมืองเท่านั้น แต่เสนอ อุดมการณ์ที่บั่นทอนความชอบธรรมของรัฐ ในการปกป้องดินแดน

พูดถึง สิทธิมนุษยชน โดยละเลยสิทธิของคนไทยที่ต้องเผชิญ ความไม่แน่นอน และหวาดกลัวในชายแดน เรียกร้องเสรีภาพแต่ล้อเลียน ความรักชาติ อย่างดูถูก

นี่คือ สากลนิยมไร้ราก ที่พูดถึงภราดรภาพกับคนต่างชาติ แต่ไม่ยอมยืนเคียงข้าง ประชาชนในชาติเดียวกัน

เมื่อคำว่า “ชาตินิยม” ถูกยกเลิกโดยไม่มีเครื่องมือรองรับ ความเป็นชาติ ก็สลายเหลือเพียง “ฝันร่วม” ที่ไม่มีใครยอมจ่ายราคาปกป้อง

ในความจริงอันโหดร้าย รัฐที่ไม่เชื่อใน อธิปไตย คือรัฐที่ ไม่มีวันรักษาแผ่นดิน และ ปัญญาชนที่ไม่เชื่อในพรมแดน คือผู้ ยินยอมให้ทุกอย่างถูกเหยียบย่ำ

สากลนิยมที่มีราก ต้องยืนบนแผ่นดินก่อนมองโลก แต่สากลนิยมของกลุ่มนี้คือ อุดมคติที่เหินห่างจากประชาชน และปฏิเสธ รากเหง้าของตนเอง

เมื่อแผ่นดินถูกท้าทาย เสียงเหล่านั้นไม่ใช่เสียงสันติภาพ หากแต่เป็น เสียงที่ บั่นทอนขวัญ กัดกร่อนหัวใจรัฐ  และทำให้เสรีภาพกลายเป็นภาพลวง

ถ้าหาก “ชาติ” คือสิ่งสมมติอย่างที่กล่าว ก็ต้องยอมรับว่า ชีวิตในเมืองหลวงคือความสมมติที่ยืนบนกระดูกของคนชายแดน ซึ่งไม่มีสิทธิสมมติใดๆ

ความจริงอันโหดร้าย แผ่ซ่านถึงหน้าบ้าน เราจึงเห็นชัดว่า อุดมคติไร้ราก มิได้หล่อเลี้ยงประชาชน แต่หล่อเลี้ยงเพียง มายาคติของปัญญาชน ที่ไม่เคยรู้จัก ความเสี่ยงที่แท้จริงในชีวิต

นี่คือเหตุผลที่ต้องตั้งคำถาม ไม่ใช่เพียงในฐานะ ผู้นำทางความคิด แต่ในฐานะผู้สร้าง วาทกรรมปลอดภัย บนความไม่ปลอดภัยของผู้อื่น

เพราะเมื่อแนวคิดอันงดงามลอยล่องขึ้นสู่หอคอยงาช้าง และมองข้ามเสียงปืนที่ชายแดน สิ่งที่หลงเหลืออยู่จึงไม่ใช่ “ความหวัง” หรือ “ภราดรภาพ” หากแต่คือ อุดมคติที่ไร้ราก ซึ่งเป็นความฝันอันเหินห่างจากแผ่นดินและประชาชน.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

เล่ห์ฮุน เซน-ความเงียบของแพทองธาร: ใครกำลังรุก ใครกำลังถอย?

สถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ณ ช่องบก หรือที่รู้จักในเชิงยุทธศาสตร์ว่า “สามเหลี่ยมมรกต” ปะทุขึ้นอีกครั้ง ท่ามกลางกระแสความกังวลของประชาชน และเสียงแตกในสังคมไทยที่กำลังตั้งคำถามว่า ฝ่ายใดกำลังรุก และ ฝ่ายใดกำลังถอย

เล่ห์ฮุนเซน! ลั่นช่องบกเป็นของเขมร ไม่ได้ถอนแค่ปรับกำลัง ต่างจากไทยที่เรียก ‘โนแมนแลนด์’

“ฮุน เซน” โพสต์ยันช่องบกยังเป็นของกัมพูชา อ้างแค่ปรับกำลังไม่ใช่ถอนทหาร ด้าน “เจิมศักดิ์” สวนแรง เป็นเล่ห์เขมรยึดสิทธิ์ดินแดน ขณะรัฐบาลไทยกลับเรียก “โนแมนแลนด์” เสมือนยอมเสียสิทธิ์เอง

‘ธีระชัย’ หนุนบทบาทกองทัพ ชี้รัฐบาลต้องแสดงภาวะผู้นำในวิกฤตอธิปไตย

การที่กองทัพบก มอบอำนาจให้กองทัพภาคที่ 1 และกองทัพภาคที่ 2 กำหนดมาตรการในพื้นที่ชายแดน ถือเป็นการปฏิบัติหน้าที่ตามภารกิจด้านความมั่นคงตามแนวชายแดน