คลิปเสียงความยาวกว่า 17 นาทีที่หลุดออกมาระหว่าง แพทองธาร ชินวัตร กับ สมเด็จฮุน เซน กลายเป็น จุดเปลี่ยนทางการเมือง ที่รุนแรงและซับซ้อนที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ร่วมสมัยไทย ไม่ใช่เพียงการสื่อสารส่วนตัว แต่คือหลักฐานชัดเจนของ พฤติกรรมผู้นำที่บั่นทอนอธิปไตย บั่นทอนกองทัพ และบั่นทอนศรัทธาประชาชน
ประโยคที่สะเทือนใจที่สุดในบทสนทนา คือการที่นายกรัฐมนตรีหญิงของไทยบอกว่า “ไม่อยากให้ Uncle ไปฟังคนที่เป็นฝั่งตรงข้ามกับเรา อย่างพวกแม่ทัพภาค 2 อย่างเนี้ยค่ะ เป็นคนของฝั่งตรงข้ามหมดเลย” ซึ่งมิใช่เพียงกล่าวหาเจ้าหน้าที่ความมั่นคงของตนเองว่าเป็นศัตรู แต่ยังเป็นการ ลดทอนบทบาทกองทัพไทย ต่อหน้าผู้นำต่างชาติอย่างไร้ความละอาย
ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีการเสนอในลักษณะ “ถ้าท่านอยากได้อะไรก็ให้ท่านบอกมาได้เลยค่ะ เดี๋ยวจะจัดการให้” ซึ่งตีความอย่างเลี่ยงไม่ได้ว่าเป็น การแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ระดับรัฐต่อรัฐ อย่างไร้กรอบกติกา เป็นการยินยอมเปิดให้ผู้นำกัมพูชามีอำนาจแทรกแซงนโยบายความมั่นคงของไทย
พฤติกรรมเช่นนี้จึงไม่อาจอธิบายได้ด้วยคำว่าความอ่อนหัดทางการทูตเท่านั้น แต่คือ การละเมิดต่อหลักอธิปไตยโดยตรง และแสดงให้เห็นว่าผู้นำไม่มีวิจารณญาณแยกแยะระหว่าง ผลประโยชน์แห่งรัฐ กับ ผลประโยชน์ทางการเมืองของตนเอง
ไม่ใช่แค่เนื้อหา แต่โครงสร้างของการสนทนาทั้งหมดยังสะท้อนว่า ฝ่ายไทยคือผู้ “ร้องขอ” และ “อ่อนข้อ” อย่างชัดเจน
ขณะที่ฝ่ายกัมพูชาโดยฮุน เซน กลับอยู่ในฐานะของ ผู้ตั้งเงื่อนไข ผู้วิจารณ์กองทัพไทย แสดงให้เห็นถึง ความล้มเหลวทางยุทธศาสตร์ ที่ปล่อยให้ต่างชาติกำหนดวาระและถ้อยคำของผู้นำรัฐบาลไทย
แต่สิ่งที่เลวร้ายยิ่งกว่านั้นคือ ความตั้งใจของ “ฮุนเซน” ในการบันทึกและเผยแพร่คลิปเสียงนี้ด้วยตนเอง ซึ่งเป็น พฤติกรรมที่หยาบช้า ต่ำทราม และขัดกับหลักสากล ไม่มีผู้นำที่มีอารยะคนใดในโลกนี้ที่ แอบอัดเสียงผู้นำประเทศอื่น แล้วนำมาเปิดเผยเพื่อเอาเปรียบทางการเมือง
นี่ไม่ใช่แค่การเผยแพร่คลิปธรรมดา แต่มันคือ การใช้เทปเสียงเป็นอาวุธทางการทูตอย่างสกปรก เพื่อ บีบข้อเสนอและกดดันรัฐบาลไทย ภายใต้ การแบล็กเมลทางการเมืองอย่างแยบยล เป็น กลยุทธ์สามานย์แบบเผด็จการ ซึ่งไม่ควรถูกยอมรับในเวทีระหว่างประเทศ
ฮุน เซน สมควรถูกประณามในระดับนานาชาติว่าเป็นผู้นำที่ ไม่เคารพเกียรติของคู่เจรจา ไม่รักษาธรรมเนียมแห่งอธิปไตย และใช้วิธีหลอกลวงเพื่อล้วงอำนาจ การกระทำเช่นนี้ไม่เพียงทำลายความสัมพันธ์ไทย–กัมพูชา แต่ยัง ทำลายภาพลักษณ์ของกัมพูชาอย่างไม่มีชิ้นดี
แม้ภายหลังแพทองธารจะยอมรับว่า คลิปเป็นของจริง และอธิบายว่า คำพูดเรื่องแม่ทัพภาค 2 เป็นเพียงเทคนิคการพูดในสถานการณ์ที่อีกฝ่ายโกรธ แต่คำชี้แจงเหล่านั้น ไม่อาจลบล้างคำพูดของผู้นำประเทศ โดยเฉพาะเมื่อ อธิปไตยและศักดิ์ศรีกองทัพไทยกำลังถูกท้าทาย
การอ้างว่า “พูดไปเพราะอีกฝ่ายโกรธ” หรือ “ตั้งใจให้สถานการณ์สงบ” ไม่ได้ทำให้บทสนทนาดูดีขึ้น ตรงกันข้าม มันยิ่งตอกย้ำว่า ผู้นำหญิงไทยไม่กล้ายืนในจุดที่ต้องปกป้องประเทศของตนเอง
สถานการณ์นี้ไม่ใช่เรื่องภาพลักษณ์ แต่คือ ความเสียหายเชิงโครงสร้างต่อความชอบธรรมของรัฐบาล และคลิปเสียงนี้กลายเป็นหลักฐานว่า รัฐบาลพร้อมโอนอ่อน แม้ในเรื่องที่ควรเป็นเส้นแดงของชาติ
ผลทางการเมืองเกิดขึ้นทันที พรรคภูมิใจไทยประกาศถอนตัว พร้อมแถลงว่า “การสนทนาดังกล่าว กระทบต่ออธิปไตยของประเทศ และเกียรติภูมิของกองทัพไทย” พร้อมเรียกร้องให้ แพทองธารในฐานะนายกรัฐมนตรี แสดงความรับผิดชอบ
แรงกดดันจากประชาชน นักวิชาการ สื่อมวลชน และฝ่ายความมั่นคง ถาโถมเข้าสู่รัฐบาลอย่างรุนแรง เสียงเรียกร้องให้ นายกรัฐมนตรีลาออก หรือยุบสภา ดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง และไม่มีทีท่าว่าจะสงบลง
ในจุดนี้ แพทองธารมีทางเลือกอยู่เพียงสามทาง หนึ่งคือ ลาออก เพื่อแสดงความรับผิดชอบ สองคือ ยุบสภา เปิดทางให้ประชาชนตัดสิน สามคือ อยู่ต่อ พร้อมแบกรับแรงเสียดทานจากทุกทิศทาง
แต่ไม่ว่าจะเลือกทางไหน สิ่งที่แพทองธารไม่อาจเลือกได้อีกคือการอยู่เฉย เพราะในสนามการเมือง ไม่มีความผิดพลาดใดหลบซ่อนได้ตลอดไป โดยเฉพาะเมื่อ หลักฐานความอัปยศถูกปล่อยต่อหน้าทั้งประเทศ
และในเงาความวุ่นวายนี้ ผู้คนยังตั้งคำถามกับ ความเงียบของทักษิณ ชินวัตร ผู้ที่ไม่เพียงเป็น บิดาของนายกรัฐมนตรี แต่ยังเป็น มิตรเก่าของฮุน เซน คนที่รู้ทุกอย่าง และคนที่ ไม่พูดอะไรเลยต่อเหตุการณ์ที่ฉีกหน้าประเทศของตัวเอง
เมื่อประเทศถูก ลดเกียรติด้วยคลิปเสียงจากผู้นำต่างชาติ แต่ ผู้นำในเงามืดอย่างทักษิณ ยังคงเงียบงัน มันคือ คำถามเชิงศีลธรรม ที่ ไม่มีใครในตระกูลนี้ตอบได้อีกต่อไป
คลิปเสียงนี้ไม่ใช่เรื่องส่วนตัว ไม่ใช่การหลุด ไม่ใช่แอบฟัง แต่มันคือ ข้อต่อทางการเมือง ที่เผย ความจริงอันน่าอัปยศของผู้นำไทย และ ความสกปรกสามานย์ของผู้นำเขมร ที่กล้าฉีก ธรรมเนียมทางการทูต ด้วยมือตนเอง
ประเทศไทยควรได้รับ ผู้นำที่มีศักดิ์ศรี และได้รับ การปกป้องจากเพื่อนบ้านที่รู้จักเกียรติยศ ไม่ใช่จากผู้นำต่างชาติที่ เอาไมตรีมาใช้เป็นกับดัก และเอาความไว้ใจมาใช้เป็น อาวุธทางการเมือง
เมื่อผู้นำไทย ไม่อาจรักษาอธิปไตย แม้ในคำพูดของตนเอง คลิปเสียงนี้จึงไม่ใช่แค่เรื่องเสื่อมเสียชั่วคราว แต่คือ หลักฐานถาวรแห่งความอัปยศ ที่ถูกเผยแพร่และประจานต่อหน้าทั้งโลก ด้วยฝีมือของผู้นำเขมรที่สกปรกเกินกว่าจะเรียกว่ามิตรประเทศ
หนึ่งคน ยอมก้มต่ำ เพื่อรักษา อำนาจตัวเอง อีกคนใช้ ไมตรีทำลายผู้นำเพื่อนบ้านอย่างเลือดเย็น นี่ไม่ใช่การทูต แต่มันคือฉากของ ความสามานย์ ที่สะท้อน ความอ่อนแอ และ วิกฤติอำนาจ ของนายกรัฐมนตรี แพทองธาร อย่างชัดเจน
เมื่อประเทศต้องรับ ความอัปยศจากผู้นำของตัวเอง และถูก หยามศักดิ์ศรี จากน้ำมือของ ฮุนเซน ประชาชนจึงมีสิทธิ์อย่างที่สุดที่จะ เรียกร้องให้ความสกปรกนี้สิ้นสุด และให้ผู้นำที่ หมดความชอบธรรม พ้นจากอำนาจโดยไม่ชักช้า.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
'อนุทิน' เปิดพรรครับ 'กลุ่มรักสถาบัน' ให้กำลังใจ ปกป้องอธิปไตยไทย
'อนุทิน' เปิดพรรค รับดอกไม้-หนังสือ 'กลุ่มศปปส.' ให้กำลังใจปกป้องอธิปไตย ลั่นไทยไม่มีแพ้ ขอมั่นใจพร้อมสู้เคียงบ่าเคียงไหล่ทหาร
'ทหารผ่านศึก' รวมพลังส่งกำลังใจทหารชายแดน 'รมว.กห.' ย้ำเงื่อนไขหยุดยิง
ทหารผ่านศึกรวมพลังส่งกำลังใจทหารชายแดน ด้าน 'บิ๊กเล็ก' ส่งรองเสธ.ทหาร ร่วมถก รมว.กต.อาเซียน ย้ำไทยหยุดยิงหากกัมพูชาสิ้นปฏิปักษ์ชัดเจนเปิดเผยต่อเนื่อง เคืองนานาชาติไม่ประณามปมวางทุ่นระเบิด
'บิ๊กเล็ก' สั่งคุมเข้ม! รับเขมรอาจจ้องก่อวินาศกรรม 'แท่นขุดเจาะน้ำมัน'
'รมว.กห.' ยอมรับกัมพูชาอาจพยายามก่อวินาศกรรมแท่นขุดเจาะน้ำมัน หลังพบโดรนบินอ่าวไทย สั่งทุกเหล่าทัพเพิ่มความเข้มงวดมาตรการดูแลความปลอดภัย ชี้เขมรทำลายโดรน D-20 เป็นเรื่องน่าเสียดาย
'อนุทิน' หัวโต๊ะ ภท. วางนโยบายหาเสียง คัดผู้สมัครรอบสุดท้าย
'อนุทิน' หัวโต๊ะ ภท. ถกวางนโยบายหาเสียงเลือกตั้ง คัดผู้สมัคร สส. รอบสุดท้าย '3 แคนดิเดตนายกฯ' พยายามให้ชัดวันนี้
'หนูนา' เปิดใจร่ายยาว ทำไม 'ท็อป' ปล่อยมือ 'ชทพ.' ไปอยู่ ภท.
'หนูนา' เปิดใจ 'ท็อป' ลา ชทพ. เหตุต้องหาพื้นที่อยู่บนถนนการเมืองต่อไปได้ รับรุ่นลูกไม่เก่งเท่าพ่อบรรหาร เลือก ภท. เพราะยึดมั่นในชาติ ศาสน์ กษัตริย์ เผยรักษาการหัวหน้าพรรค แต่ไม่มีกิจกรรมการเมือง
เขมรยังไม่หยุด! บุกตีคืนบ้านสามหลัง ไทยยิงปืนใหญ่หนีกระเจิง
กัมพูชายังไม่หยุด นำกำลังตีคืนบ้านสามหลัง เจอ 'นย.ตราด' ระดมปืนใหญ่แตกกระเจิง ส่วนพื้นที่บ่อไร่-คลองใหญ่ ชาวบ้านกลับบ้านได้แล้ว หลังไร้เหตุปะทะนานกว่า 7 วัน

