การ อุ้มเด็กขึ้นครองเมือง ในวันนี้ ไม่ใช่แค่การส่งต่ออำนาจแบบเดิมๆ แต่มันคือการ แลกเก้าอี้ทางการเมือง ที่เต็มไปด้วยเล่ห์เหลี่ยม และ เกมสกปรก ท่ามกลาง ซากศรัทธาของประชาชน ที่ร่วงโรยจนแทบไม่เหลือความหวัง
ขนาดแค่พูดคุยกับผู้นำเพื่อนบ้านยังหลุดคลิปเสียงจนกลายเป็นเรื่องอื้อฉาว แล้วหากต้องเจรจากับมหาอำนาจ ประเทศไทยจะเหลือ ศักดิ์ศรีอะไรไว้ยืนอยู่ในเวทีโลก
กรณีบทสนทนาระหว่าง แพทองธาร ชินวัตร กับ ฮุนเซน ไม่เพียงสะท้อนความไม่พร้อมทางวุฒิภาวะ แต่ยังเผยให้เห็นภาพการเมืองไทยที่ใช้การ “อุ้ม” มากกว่าการเติบโต คนที่ไม่มีทั้ง ประสบการณ์ และ วิสัยทัศน์ กลับถูกผลักขึ้นสู่ตำแหน่งที่ควรเป็นของผู้นำประเทศ
แพทองธาร ขาดทั้ง ความลึกในความคิด และ ความมั่นในท่าที ไม่สามารถเป็นหลักให้ระบบราชการ เศรษฐกิจ หรือการทูตพึ่งพาได้ในยามที่โลกเต็มไปด้วยความปั่นป่วน
บทสนทนากับผู้นำต่างประเทศยิ่งตอกย้ำว่า แพทองธารไม่เข้าใจบริบทโลกและไม่มีภูมิปัญญาทางรัฐศาสตร์ ที่จะเป็นตัวแทนแห่งอธิปไตยไทยได้อย่างแท้จริง
ในกรณีคลิปเสียงล่าสุด แพทองธารแสดงออกชัดเจนถึงท่าที อ่อนข้อ ยินยอมตามความต้องการของฮุนเซน เหมือนเป็นเครื่องมือที่ไร้เสียงตอบโต้ ไม่ใช่ผู้นำที่ควรยืนหยัดเพื่อผลประโยชน์ชาติ
สิ่งที่น่าหดหู่ยิ่งกว่าคือ คนที่ยืนอยู่ข้างกายหลายคนล้วนมี ประสบการณ์ มีพรรค มีตำแหน่ง และความเก๋าในสนามการเมือง แต่กลับเลือกยืนเคียงข้างผู้นำที่อ่อนด้อย เพียงเพื่อ รักษาตำแหน่งและโควตา ไม่มีใครค้าน ไม่มีใครเตือน ไม่มีใครแม้แต่จะขยับตัวออกมาแสดงจุดยืน
ภาพการรวมตัวในห้องประชุมนี้คือสัญลักษณ์ของ การเมืองที่กลายเป็นเรื่องในครอบครัว การบริหารราชการที่แปรสภาพเป็น “บริษัทจำกัด” ที่มี CEO คือบิดา มี MD คือบุตรสาว และมีบอร์ดบริหารคือนักการเมืองผู้หิวโหย?
นี่คือการ พายเรือให้เด็กนั่ง โดยไม่สนใจว่าน้ำเชี่ยวหรือฝนจะมา คือการเอา อนาคตชาติไปผูกกับผู้นำที่ไม่รู้ทิศทาง และผู้ใหญ่ที่ยอมหลับตาเดินผิดทางเพื่อ ไม่ให้หลุดจากขบวนแห่งอำนาจ
ในบรรดาคนที่อยู่ในภาพ ไม่มีใครตระหนักว่า กำลังยืนอยู่ใต้เงาความไม่รู้ แม้หลายคนจะเคยเป็นรัฐมนตรี เคยอยู่ในสภาเคยยกมืออภิปรายอย่างองอาจ แต่วันนี้กลับเลือกยืนเฉย ราวกับเป็น ผู้สมรู้ร่วมคิด
นี่ไม่ใช่ปัญหาแค่เรื่องวัยหรืประสบการณ์ แต่มันคือการ ขาดสำนึกรับผิดชอบต่อผลประโยชน์ของชาติ เมื่อรู้ว่าผู้นำไม่มีทั้งความกล้าหาญเชิงนโยบาย และไม่มีความเข้าใจโครงสร้างรัฐ แล้วทำไมยังเลือกอยู่ร่วมรัฐบาล ยอมเป็นฉากหน้าให้กับขบวนการที่ชี้ชัดว่าไม่มีอนาคต?
คำตอบชัดเจน คือ เก้าอี้รัฐมนตรีสำคัญกว่าอุดมการณ์ การอยู่ในรัฐบาลเพื่อไทย แม้จะฝืนและอึดอัดแค่ไหนก็ยังดีกว่าการเป็นฝ่ายค้านที่ไม่มีอำนาจต่อรอง ไม่มีงบประมาณ ไม่มีตำแหน่งให้แลก
แม้ ประชาธิปัตย์ และ ชาติไทยพัฒนา ยังเลือกอยู่ในเกมนี้ ทั้งที่มี อำนาจต่อรองในมือกลับยอมอุ้มเด็กขึ้นครองเมืองโดยไม่ถอนตัวไม่แสดงจุดยืนชัดเจน ราวกับยอมแลก ศรัทธาของฐานเสียง เพื่อรักษาเก้าอี้และอำนาจ ทั้งที่การกระทำเช่นนี้จะทำลาย ศรัทธาและอนาคตทางการเมือง ของตัวเองอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง
นี่คือภาพสะท้อนความไร้สำนึกของนักการเมือง ที่เลือก ผลประโยชน์ส่วนตัวมากกว่าชะตากรรมของประเทศ ในช่วงเวลาวิกฤตเช่นนี้
พรรครวมไทยสร้างชาติ ยิ่งน่าผิดหวังเป็นพิเศษ เพราะได้รับการสนับสนุนจาก มวลชนกลุ่มอนุรักษ์นิยม ซึ่งมีจุดยืนทางการเมืองอยู่ฝ่ายตรงข้ามกับระบอบทักษิณมาโดยตลอด
ในการเลือกตั้งปี 2566 พรรคนี้ได้แรงหนุนจากกระแสสนับสนุน พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา จนสามารถกวาดคะแนนบัญชีรายชื่อมาเป็นอันดับสามของประเทศ
แต่เมื่อมวลชนเริ่มส่งสัญญาณชัดเจนให้ถอนตัวจากรัฐบาลแพทองธาร พรรคกลับเลือกเดินเกม แทงกั๊ก พูดคลุมเครือ แถลงกลับไปกลับมา ราวกับลืมไปแล้วว่าตนมีหน้าที่เป็นตัวแทนของใครในสภา
สิ่งที่สะท้อนจากท่าทีนี้ ไม่ใช่เพียงความลังเล แต่คือการเมืองที่ ไม่แยแสฐานเสียง ไม่คิดถึงผลที่ตามมาในระยะยาว และไม่ใส่ใจว่าหากยืนผิดฝั่งในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ พรรคอาจไม่มีวันได้โอกาสกลับมาอีกเพราะเมื่อ ความเชื่อมั่นพังลงไปต่อหน้าต่อตามวลชน จะไม่มีวันกลับมาเหมือนเดิม
พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค ไม่ได้เงียบเพราะสุขุม แต่เพราะหมดหนทางจะอธิบาย พรรคที่เคยถูกมองว่าคือความหวังของคนอีกฟากกลับยอม อุ้มเด็กขึ้นครองอำนาจ โดยไม่สนใจเสียงเรียกร้องจากฐานมวลชนของตนเอง
นี่คือการ แสดงละครเพื่อซื้อเวลา ยื้อเก้าอี้ และถนอมน้ำใจพรรคเพื่อไทย ซึ่งไม่ต่างจากการส่งสัญญาณ ยอมจำนนต่ออำนาจของกลุ่มนักการเมืองเบื้องหลังทั้งหมด ผู้ที่แม้จะไม่มีตำแหน่งทางการเมืองแต่กลับมีอำนาจจริงในการจัดวางเกมอำนาจ สิ่งเดียวที่พวกเขาไม่ใส่ใจเลยคือ ศรัทธาของประชาชนที่ถล่มทลายลงทุกวัน
คนกลุ่มนี้เปลี่ยนการเมืองให้กลายเป็น โรงละคร ที่ผู้ใหญ่และกลุ่มทุนเบื้องหลังพรรคเพื่อไทยร่วมกันอุ้มเด็กเดินตามบทของ ทักษิณ ชินวัตร สิ่งที่ขาดหายไปในภาพนี้คือ “ประชาชน” ผู้ซึ่งไม่ได้มีที่อยู่ในสมการอำนาจเลยแม้แต่น้อย
และหากประเทศนี้ต้องเผชิญวิกฤตหนัก ไม่ว่าจะเป็นความมั่นคงภายนอกหรือความปั่นป่วนภายใน การมีผู้นำที่ขาด ภูมิสำนึกทางรัฐ และไม่มีใครกล้าหรือสามารถถ่วงดุลเพื่อควบคุมหรือแก้ไขสถานการณ์ได้ ย่อมเป็นหนทางตรงสู่การล้มของทั้งระบบ
ประชาชนรู้ทันแล้วหลัง คลิปเสียง แพทองธาร–ฮุนเซน กระแสความไม่พอใจขยายตัวลุกลามทั่วประเทศ และในวันที่ 28 มิถุนายนนี้ การชุมนุมใหญ่ที่อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ จะเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่เสียงประชาชนจะกดดันพรรคร่วมรัฐบาลให้ถอนตัว และยุติการประคองอำนาจของผู้นำที่ขาดความชอบธรรม
คำถามจึงไม่ใช่แค่ว่าใครคุมเกม แต่คือ จะ อุ้มเด็กกันไปได้อีกกี่เดือน ในเมื่อ ศรัทธาของประชาชนหล่นลงต่ำกว่าจุดที่ระบบจะประคองได้
หากสิ่งนี้ยังดำเนินต่อไปโดยไม่มีใครหยุดยั้งหรือทัดทานเราคงได้เห็น ประเทศไทยที่กำลังอุ้มเด็กขึ้นครองเมือง โดยที่ผู้ใหญ่กลายเป็นเพียง เบี้ยในเกมของตระกูลเดียว.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
นับหนึ่งสนามเลือกตั้ง 69 สำรวจบ้านเล็ก-บ้านใหญ่ บนแผนที่ภูมิใจไทย
หลังคณะกรรมการการเลือกตั้งประกาศกำหนดวันเลือกตั้งทั่วไปในวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2569 การเมืองไทยเข้าสู่ช่วงเตรียมพร้อมอย่างเป็นทางการ
กล้าธรรม! จ่อเปิดตัวกลุ่ม ‘เฉลิมชัย’ บ่ายนี้เสริมแกร่งภาคใต้
ที่ทำเนียบรัฐบาล นางนฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รมว.ศึกษาธิการ ในฐานะหัวหน้าพรรคกล้าธรรม ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่กลุ่มนายเฉลิมชัย ศรีอ่อน อดีต
เด็กเสียนิสัย! ‘ชูวิทย์’ อบรม ‘ธนาธร’ ปมหากพิธาเป็นนายกฯ ในวันนั้น
“ชูวิทย์ กมลวิศิษฐ์” โต้คำกล่าวของธนาธร ชี้เกมชายแดนต้องใช้ประสบการณ์และชั้นเชิง ระบุพรรคประชาชนยังอ่อนเวทีการเมืองระหว่างประเทศ
‘ปิยบุตร’ เผยเบื้องหลัง MOA ปชน.-ภูมิใจไทย เป็นการ ‘ทดลอง’
เลขาธิการคณะก้าวหน้า ยอมรับเสียใจ กระบวนการแก้รัฐธรรมนูญล้มเหลว ชี้เป็นการ “ทดลอง” ภายใต้ข้อจำกัดในระบบการเมือง
'รทสช.' ตีปี๊บ! คนรุ่นใหม่แห่ร่วมงาน ลุยศึกเลือกตั้ง
'รทสช.' คึกคัก พร้อมเปิดเกมใหม่การเมืองไทย ลุยศึกเลือกตั้ง 69 ย้ำการเมืองต้องมีอุดมการณ์ ไม่ใช่ดีลผลประโยชน์
ชำแหละปิกนิกขอโทษประชาชน ขอเป็น ‘รัฐบาลพรรคเดียว’ ขอมากไปไหม
ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ วิจารณ์ปิกนิกขอโทษประชาชนของพรรคประชาชน กรณีแก้รัฐธรรมนูญไม่สำเร็จ ตั้งคำถามความเหมาะสมของการจัดกิจกรรมกั

