ทหาร รัฐบาลพลเรือน และพันธุกรรมประชาธิปไตยสายยูนิคอร์นของพรรคตระกูลส้ม

ประชาธิปไตยไม่ใช่ศิลปะแห่งความหวาดระแวง หากแต่คือระบบที่เติบโตจาก ความเชื่อมั่นในโครงสร้างของรัฐ ไม่ใช่สนามทดลองของกลุ่มที่คิดว่า โลกทั้งใบควรถูกพับใส่กระดาษ A4 ที่ตัวเองเขียนขึ้น

แต่กับขบวนการทางความคิดที่ ทอดตัวจาก “อนาคตใหม่” ผ่าน “ก้าวไกล” และล่าสุดในนาม “พรรคประชาชน” สิ่งที่กลุ่มการเมืองเหล่านี้ยึดมั่นคือ ความพยายามบีบโลกจริงให้พับลงในแบบจำลอง แม้แบบจำลองนั้นจะไม่เคยผ่านการพิสูจน์ในสนามของชีวิตจริงเลยก็ตาม

ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ เปิดฉากด้วย ความลุ่มหลงในอุดมคติ พยายามเบลอเส้นแบ่งระหว่าง อำนาจรัฐกับอำนาจมวลชน ให้พร่าเลือนไปกับถ้อยคำว่า ประชาชนต้องเป็นใหญ่กว่ารัฐ แม้พรรคอนาคตใหม่จะสิ้นสุดลงด้วยคดีเงินกู้ แต่แนวคิดแบบธนาธรกลับ ไม่เคยล้มลงตามคำวินิจฉัย หากยัง เดินต่อในร่างใหม่ พร้อมอุดมการณ์เดิม

พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ รับไม้ต่อจากเวทีเดิมในบทบาท พระเอกลิเกครบสูตร กล่าวนำด้วย ทำนองอ่อนหวาน ลากเสียงยาวกับ วาทกรรมประชาธิปไตยร้อยกลอน ก่อนจะจบฉากด้วยคำถามขายฝันมีทหารไว้ทำไม? คำถามที่อาจได้เสียงเฮจากเวทีปราศรัย แต่ ไม่ตอบอะไรเลยเมื่อชายแดนลุกเป็นไฟ

ล่าสุด ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชน เดินเข้าสู่ฉากในฐานะ ผู้สืบทอด “พันธุกรรมประชาธิปไตยสายยูนิคอร์น” อย่างเต็มรูปแบบ ด้วยการตั้งข้อสังเกตว่า เป็นเรื่องผิดปกติที่กองทัพสามารถสั่งการเอง โดยไม่รอคำสั่งจาก รัฐบาลพลเรือน แม้สถานการณ์หน้าด่านจะวิกฤตแค่ไหนก็ตาม

สิ่งที่ ควรถูกพูดอย่างตรงไปตรงมา คือ แนวคิดแบบนี้ไม่เชื่อในโครงสร้างความมั่นคงที่ดำรงอยู่  ไม่ยอมรับว่ากองทัพมีหน้าที่ต้องตัดสินใจเอง ในยามฉุกเฉินแม้เพียงเพื่อป้องกันแผ่นดิน

ทั้งหมดนี้ตั้งอยู่บน สมมติฐานว่า “อำนาจต้องรอคำสั่งจากฝ่ายการเมือง” เสมอ ไม่ใช่เพื่อการตรวจสอบ แต่เพื่อทำให้กลไกอื่นหมดความสามารถตัดสินใจนอกกรอบที่พวกเขาเห็นว่าสมควร

แม้ยังไม่มีอำนาจอยู่ในมือ แต่แนวคิดนี้ พยายามวาดโลกแบบใหม่ที่ไม่มีทหาร ไม่มีกลไกมั่นคง และไม่มีใครมีสิทธิขยับ ถ้ายังไม่ได้รับอนุญาตจากระบบที่ตัวเองออกแบบในหัว

ในสายตาของขบวนการทางความคิดนี้ กองทัพไม่เคยเป็น “กลไกรัฐ” แต่คือ ซากอนุรักษ์ ที่ต้องรื้อถอน ไม่ว่ามันจะทำหน้าที่ได้ดีแค่ไหน ก็ไม่มีวันถูกมองด้วยแววตาแห่งความไว้ใจ

อำนาจที่ไม่ได้เกิดจาก “เสียงของเรา” จึงกลายเป็น อำนาจที่ไม่มีความชอบธรรมโดยนิยาม

นี่คือจุดเริ่มของ พันธุกรรมประชาธิปไตยสายยูนิคอร์น พันธุกรรมที่สวยงามในอุดมคติ แต่ล้มเหลวในความเป็นจริง

เพราะในโลกจริง ภัยคุกคามไม่เคยขออนุญาตก่อนข้ามเขตแดนและการตัดสินใจเพื่อปกป้องประเทศ ไม่สามารถรอเวทีอภิปรายหรือคณะรัฐมนตรีนัดพิเศษได้

ขณะที่คนในทำเนียบรัฐบาล คนในสภาอาจยังขอ “รอดูภาพรวม” แต่คนที่อยู่ด่านหน้าต้อง “ตัดสินใจให้ทัน”

หากทุกกลไกด้านความมั่นคงต้องรอรัฐบาลพลเรือน “อนุมัติเป็นลายลักษณ์อักษร” ก่อนเคลื่อนไหว ประเทศนี้คงไม่เหลืออะไรให้ปกป้องทันการณ์

แนวคิดของพรรคประชาชนจึงไม่ได้ยืนอยู่กับเวลา แต่ยืนอยู่กับภาพฝันในหัว ว่าโลกนี้จะดีขึ้นเพียงเพราะพวกตนได้กดปุ่ม “ยืนยัน” ทุกอย่างก่อนเสมอ

และนี่เองคือ จุดที่อันตรายที่สุดของระบอบที่เรียกตนเองว่าประชาธิปไตย เพราะเมื่อแนวคิดประชาธิปไตยถูกกลืนโดยความหวาดระแวง มันจะกลายเป็น “กับดัก” ที่ทำให้รัฐเดินไม่ได้ และชาติไม่มีทางยืน

แนวคิดที่อ้างว่า “รัฐบาลพลเรือนต้องเป็นผู้กำกับทหารอย่างเบ็ดเสร็จ” ไม่ผิดในหลักการ แต่ในสถานการณ์เฉียบพลันที่ชายแดนร้อนระอุ มันคือความเสี่ยงที่อาจแลกด้วยชีวิต

สิ่งที่ต้องเข้าใจให้ชัดคือ รัฐบาลพลเรือนไม่ใช่ระบบที่ไร้ขีดจำกัด การตัดสินใจในหลายเรื่องต้องใช้เวลา ต้องผ่านขั้นตอน ต้องรอฉันทามติจากหลายฝ่าย แต่ในโลกแห่งความเสี่ยง ภัยคุกคามไม่เคยรอให้ระบบพร้อมก่อนจะลงมือ

กองทัพที่ทำงานภายใต้กรอบกฎหมาย ย่อมมีความจำเป็นต้องดำเนินการอย่างเฉียบพลันในบางสถานการณ์ และนั่นไม่ใช่การล้ำเส้นประชาธิปไตย แต่คือการรักษาชีวิตและอธิปไตยของชาติ  

ตรรกะที่เห็นว่าทหารต้องรอคำสั่งเสมอ คือแนวคิดที่ไม่เคยอยู่ในภาวะตัดสินใจจริง มันเหมาะกับการอภิปรายในสภา แต่ไม่เหมาะกับเขตแดนที่มีการเคลื่อนไหวข้ามเส้นอยู่ทุกวัน

หากเราผูกมือตนเองไว้กับกระบวนการที่ไม่ทันเหตุการณ์ แล้วเรียกมันว่า “หลักประชาธิปไตย” เรากำลังยอมให้ความฝันมาปกครองความจริง

กลุ่มการเมืองที่สืบทอดแนวคิดจากอนาคตใหม่ถึงประชาชน มักอ้างความชอบธรรมจากประชาธิปไตย แต่ในทางปฏิบัติ พวกเขากลับไม่เคยเชื่อในโครงสร้างที่ประชาธิปไตยสร้างขึ้น

กองทัพ ศาล ระบบราชการ ถูกมองว่าเป็นศัตรูทางอุดมการณ์ ไม่ใช่เพราะผิดกฎหมายหรือทำเกินอำนาจ แต่เพราะไม่ได้อยู่ภายใต้เงื่อนไขทางความคิดที่พวกเขายอมรับ

นี่จึงไม่ใช่ประชาธิปไตยแบบมีตัวแทน แต่มันคือประชาธิปไตยสายเลือกข้าง ที่พร้อมจะปฏิเสธทุกสถาบัน หากไม่สามารถควบคุมได้

เราจึงเห็นวาทกรรมอย่าง “มีทหารไว้ทำไม?” หรือการเสนอให้ “ลดงบประมาณความมั่นคง” ทั้งหมดนี้ไม่ได้สร้างการถกเถียงเพื่อพัฒนา แต่มันทำหน้าที่เพียงอย่างเดียว กัดกร่อนความเชื่อมั่นของสาธารณะต่อโครงสร้างของรัฐ

และเมื่อความเชื่อมั่นนั้นพังลง สิ่งเดียวที่เหลืออยู่ คือความหวังว่าความคิดเดียวของพวกเขาจะขึ้นมาครองทุกอำนาจแทน

ในโลกแห่งความขัดแย้ง ไม่มีสิ่งใดเลวร้ายไปกว่าการตัดขาทัพในยามศึก และไม่มีสิ่งใดอันตรายไปกว่าการหลอกประชาชนว่า ประเทศจะยืนหยัดได้โดยไม่ต้องมีระบบความมั่นคง

ประชาธิปไตยที่แท้ ไม่เคยห้ามตรวจสอบทหาร ไม่เคยห้ามตั้งคำถามกับอำนาจ แต่ประชาธิปไตยที่แท้ ก็ไม่เคยสอนให้เรา ลิดรอนความสามารถของรัฐในการปกป้องตัวเอง

สิ่งที่พรรคในตระกูลส้มกำลังบ่มเพาะ ไม่ใช่ประชาชนที่ตื่นรู้ หากแต่เป็นพันธุกรรมประชาธิปไตยสายยูนิคอร์น สัตว์ในตำนานจากโลกแห่งอุดมคติ โลกที่ทุกอย่างดำเนินไปตามทฤษฎี โลกที่ศัตรูจะเปิดประชุมขอความเห็นชอบก่อนข้ามพรมแดนเข้ามา

และในโลกจริง ที่ดินแดนยังมีเส้น อธิปไตยยังมีขอบ เราไม่อาจฝากชะตากรรมของชาติไว้กับความฝันเหล่านั้นได้

เพราะประเทศไม่ได้พังเพราะอาวุธ แต่พังเพราะ ความคิดที่พรากอาวุธไปจากมือของคนที่ควรได้ถือมัน ในเวลาที่จำเป็น

นี่จึงคือสารที่ต้องส่งตรงถึงสังคม หากเราไม่เข้าใจความสัมพันธ์ระหว่าง ทหารกับรัฐบาลพลเรือน และปล่อยให้ พันธุกรรมประชาธิปไตยสายยูนิคอร์น กลายเป็นกระแสหลักของยุคสมัย เราอาจไม่มีวันได้ตื่นจากฝันนั้นอีกเลย..

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

จี้ 'พรรคส้ม' ต้องขอโทษประชาชนด้วย บ้านเมืองมีภัยสงคราม อดีตส.ส.กลับหนีทหาร ดูถูกกองทัพ

นายพิชิต ไชยมงคล แกนนำเครือข่ายนักศึกษาประชาชนปฏิรูปประเทศไทย (คปท.) โพสต์เฟซบุ๊กรณีศาลอาญาอ่านคำพิพากษาลงโทษจำคุก 2 ปีโดยไม่รอลงอาญา นายจิรัฏฐ์ ทองสุวรรณ์ อดีตส.ส.ฉะเชิงเทรา พรรคประชาชน ในคดีปลอมใบสด.43 เพื่อหนีทหาร ว่า

อดีต สส.ปากน้ำ ฉะพรรคส้มเผด็จการ ถูกเขี่ยไม่ให้ลงสมัครเลือกตั้ง ทั้งที่ผ่านมติ กก.บห.แล้ว

ตีกันยับ! 'ตรัยวรรษ' อดีต สส.ปชน. เมืองปากน้ำ มอง ไม่ได้รับความเป็นธรรม ฉะพรรคส้มเผด็จการ 'เลขาพรรค' หักมติ เหตุ ตอนแรกได้ลงสมัครต่อแล้ว แต่ถูกต่อสายขอให้ถอนตัว งง แล้วจะมี กก.บห.เพื่อ ยัน 2 ปี 7 เดือนมุ่งมั่นทำงาน ขอทวงคืนความยุติธรรมให้ตัวเอง

กองทัพ ย้ำ 3 เงื่อนไขหยุดยิง กัมพูชาต้องทำจริงจัง

คอนเฟิร์ม ยกเลิกเคอร์ฟิว จ.ตราด กองทัพย้ำให้จับตากัมพูชาตอบรับ 3 เงื่อนไขฝ่ายไทยหยุดยิงหรือไม่ แจงเฟกนิวส์ จับทหารไทย-ยึดประสาทตาควาย

ผู้อพยพบุรีรัมย์คิดถึงบ้าน วอนยุติสงคราม ชี้เจรจาไม่จบก็ให้รบให้รู้แพ้ชนะ

ชาวบ้านแนวชายแดนอพยพหนีการสู้รบมาอยู่ศูนย์พักพิงเกือบ 10 วัน อยากกลับบ้านโดยเร็ว ขอรัฐตัดสินใจแก้ปัญหาไทย-กัมพูชาให้ชัด ยายสวดภาวนาขอทหารไทยปลอดภัยกลับครอบครัว พร้อมเสียงสะท้อนไม่อยากเห็นสงครามยืดเยื้อถึงรุ่นลูกหลาน