ประชาชนลุก ศาลขยับ รัฐบาลทรุด! การพังครืนของระบอบทักษิณเวอร์ชันลูกสาว

คำสั่ง ศาลรัฐธรรมนูญ ให้ แพทองธาร ชินวัตร หยุดปฏิบัติหน้าที่นายกรัฐมนตรี คือปรากฏการณ์ที่ เปลี่ยนกระดานอำนาจ ของประเทศอย่างฉับพลัน

ไม่ใช่เพียงการล้มของนายกรัฐมนตรีคนหนึ่ง แต่คือการ พังครืนของระบอบทักษิณในเวอร์ชันลูกสาว ระบอบที่ถูกสร้างขึ้นอย่างจงใจเพื่อ สืบทอดอำนาจผ่านสายเลือด ภายใต้ฉากหน้าของประชาธิปไตย

การลุกขึ้นของประชาชนเมื่อวันที่ 28 มิถุนายน ณ อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ไม่ใช่ภาพลวงของอารมณ์มวลชน หากเป็นเสียงเตือนของสติทางการเมือง ที่สะท้อนความผิดหวังต่อผู้นำ

แพทองธารถูกวิจารณ์อย่างรุนแรงและต่อเนื่อง ทั้งในเรื่องความ ไร้วิสัยทัศน์การนำ การเอียงข้างกัมพูชาในปัญหาเขตแดน และ คลิปเสียงกับสมเด็จฮุน เซน

คำว่า “ขายชาติ” ที่เคยถูกมองว่าเป็นวาทกรรม กลับถูกปลุกให้มีความหมายจริงจังในสังคม

โดยเฉพาะเมื่อคลิปเสียงสนทนาเผยให้เห็น ท่าทีที่อาจขัดต่อหลักอธิปไตยและศักดิ์ศรีของชาติ

ศาลรัฐธรรมนูญ ไม่ได้ตัดสินคดีนี้ด้วยอารมณ์ของสังคมหรือแรงกระเพื่อมทางการเมือง แต่ ยึดมั่นในข้อเท็จจริงที่ปรากฏและหลักกฎหมายตามรัฐธรรมนูญอย่างเคร่งครัด เป็นการวินิจฉัยที่มุ่งเน้นความถูกต้องตามกรอบกฎหมาย ไม่หวั่นไหวไปกับกระแสใด ๆ ทั้งสิ้น

คำสั่งของศาลจึงไม่ใช่การเล่นเกมทางการเมือง หรือการตอบสนองต่อแรงกดดันภายนอก หากแต่เป็นการยืนยันว่า กติกาแห่งชาติยังคงมีความศักดิ์สิทธิ์ และเป็นพลังที่คอยรักษาความสงบเรียบร้อยของประเทศเอาไว้

สิ่งที่เกิดขึ้นคือการยืนยันว่าประเทศนี้ยังมี “เบรก” สำหรับผู้มีอำนาจ ไม่ว่าจะมาด้วยคะแนนเสียงหรืออิทธิพลส่วนตัว

ทักษิณ ชินวัตร คือผู้อยู่เบื้องหลังทุกช็อตในเกมนี้ ทั้งการวางตัวลูกสาว ทั้งการเปิดสายตรงกับผู้นำต่างชาติ และการกำกับกลไกรัฐบาลจากเบื้องหลัง

แต่เมื่อวิกฤตปะทุ ทักษิณกลับนิ่งเฉย ปล่อยให้ลูกสาวเป็นโล่กำบังทางการเมือง นั่นไม่เพียงเป็นความโหดร้ายของพ่อที่มีต่อลูก แต่คือความรับผิดชอบที่หลบเลี่ยงอย่างจงใจ

หาก ศาลวินิจฉัยให้แพทองธารพ้นจากตำแหน่ง  จะไม่ใช่แค่การเปลี่ยนผู้นำ แต่คือการ ปิดฉากของผู้นำที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อรักษาอำนาจของครอบครัว 

ชื่อของ ชัยเกษม นิติสิริ คือชื่อเดียวในบัญชีแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคเพื่อไทย ซึ่งตามบทบัญญัติรัฐธรรมนูญ หากศาลมีคำวินิจฉัยให้แพทองธารสิ้นสภาพ คณะรัฐมนตรีจะต้องพ้นทั้งคณะโดยอัตโนมัติ

กระบวนการเลือกนายกรัฐมนตรีคนใหม่ต้องเริ่มต้นใหม่ทั้งหมด และเพื่อไทยไม่มีตัวเลือกอื่นนอกจากเสนอชัยเกษมเข้าสู่สภา

หากศาลมีคำวินิจฉัยให้แพทองธารพ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี สถานการณ์ทางการเมืองจะเปลี่ยนฉับพลัน ความสัมพันธ์แบบสมประโยชน์ระหว่างพรรคร่วมรัฐบาล ที่ต่างยึดโยงกันด้วยโควตารัฐมนตรี อาจเริ่มสั่นคลอน และนำไปสู่ความลังเลว่า จะร่วมแบกรับภาระรัฐบาลที่ขาดเสาหลักทางการเมืองต่อไปหรือไม่

เสียงของพรรคเพื่อไทยไม่เพียงพอจะตั้งรัฐบาลใหม่ได้ตามลำพัง หากพรรคร่วมเริ่มตีตัวออกห่าง หรือรอเพียงจังหวะที่จะถอนตัว ความไม่แน่นอนจะยิ่งทวีความรุนแรง

ส่วน พรรคภูมิใจไทย ซึ่งถอนตัวไปก่อนหน้านี้ ก็แทบไม่มีความเป็นไปได้ที่จะกลับมาร่วมรับผิดชอบกับความล้มเหลวที่พวกเขาไม่ได้เป็นผู้ก่อ

ในขณะเดียวกัน พรรคประชาชน  ก็ยืนกรานชัดเจนว่าจะไม่ร่วมรัฐบาลกับพรรคเพื่อไทยอย่างเด็ดขาด

หากพรรคประชาชน หักคำพูดของตัวเอง ก็จะเสียความน่าเชื่อถือในระยะยาว และถูกประชาชนตั้งคำถามถึงจริยธรรมทางการเมือง

ทางออกเดียวที่อาจพอเป็นไปได้ คือ การทำข้อตกลงชั่วคราว ให้พรรคประชาชนโหวตสนับสนุนชัยเกษมเป็นนายกรัฐมนตรี โดยมีเงื่อนไขว่า เมื่อได้รับเสียงสนับสนุนจากสภาผู้แทนราษฎรและสามารถจัดตั้งรัฐบาลได้สำเร็จ จะต้อง ยุบสภาทันที เพื่อคืนอำนาจให้ประชาชน

นี่อาจเป็น ทางรอดทางการเมืองที่เจ็บน้อยที่สุด แม้จะถูกมองว่าพรรคประชาชน พลิกลิ้น จากคำมั่นเดิม แต่ก็อาจอธิบายได้ว่า เป็นการพลิกเพื่อรักษาระบบให้เดินหน้าต่อไปได้ โดยไม่ปล่อยให้ประเทศจมอยู่กับภาวะชะงักงัน

หากไม่มีฝ่ายใดยอมถอย สถานการณ์อาจดิ่งเข้าสู่ “สุญญากาศทางอำนาจ” อย่างเต็มรูปแบบ นำไปสู่ความไม่แน่นอนทั้งในทางการเมืองและการบริหารราชการแผ่นดิน

ขณะเดียวกัน หากมีความพยายามจะ ยุบสภา เพื่อคืนอำนาจให้ประชาชน ก็ยังมีข้อถกเถียงสำคัญว่า บุคคลที่ รักษาราชการนายกรัฐมนตรี จะมีอำนาจตามรัฐธรรมนูญในการดำเนินการดังกล่าวหรือไม่ ประเด็นนี้ยังคลุมเครือ และอาจจุดชนวนความขัดแย้งทางกฎหมายได้ในอนาคต

ทุกทางเลือกที่เหลือล้วนมี ต้นทุนทางการเมืองสูง และ ไม่มีกลไกใดที่สามารถแก้ปัญหาได้อย่างครบถ้วนในเวลาอันสั้น

หากระบบรัฐสภาไม่สามารถจัดการกับสถานการณ์นี้ได้ตามบทบัญญัติของ รัฐธรรมนูญมาตรา 5 วรรคสอง ประเทศอาจต้องพึ่งพากลไกตามบทบัญญัติดังกล่าว

ซึ่งระบุว่า “เมื่อไม่มีบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้บังคับแก่กรณีใด ให้กระทำการนั้นไปตามประเพณีการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข”

นี่คือ กลไกสุดท้ายที่รัฐธรรมนูญเปิดไว้ เพื่อป้องกันไม่ให้ความวุ่นวายทางการเมืองพังพาบประเทศลงไปทั้งระบบ

ในห้วงวิกฤตเช่นนี้ บางกลุ่มกลับพยายามสร้างวาทกรรม “นิติสงคราม” เพื่อ ดิสเครดิตศาล และ ทำลายความน่าเชื่อถือขององค์กรตุลาการ

แต่ในเมื่อผู้นำไม่ยอมรับผิด นักการเมืองไม่รับผิดชอบต่อวิกฤต อำนาจตุลาการจึงกลายเป็นเบรกเดียวที่ยังเหลืออยู่

ศาลรัฐธรรมนูญ ไม่ได้ทำสงครามทางการเมือง แต่กำลังทำหน้าที่ตามพยานหลักฐานและบทบัญญัติกฎหมายอย่างตรงไปตรงมา

หากปล่อยให้ ความล่อแหลมต่ออธิปไตยปรากฏในคลิปเสียงแล้วยังนิ่งเฉย นั่นต่างหากคือการเสี่ยงพาประเทศลงเหวโดยไร้เบรก

คำว่า “นิติสงคราม” จึงเป็นเพียงโล่ทางวาทกรรม ที่ฝ่ายการเมืองสร้างขึ้นเพื่อกันตัวจากความรับผิด  ไม่ใช่ความจริงตามข้อเท็จจริงและกฎหมาย

แม้คำวินิจฉัยสุดท้ายจากศาลยังไม่เกิดขึ้น แต่สิ่งที่ประจักษ์แล้วในขณะนี้คือ ระบอบทักษิณเวอร์ชันลูกสาว กำลังถดถอยอย่างไม่อาจปฏิเสธ

สัญญาณสะดุดของแพทองธารในทางการเมือง จึงไม่ใช่เพียงรอยร้าวของผู้นำคนหนึ่ง แต่คือ ภาพสะท้อนของระบอบที่ผูกขาดอำนาจไว้กับครอบครัว และขาดซึ่งความโปร่งใสต่อสาธารณชน

และในวันที่ระบอบนี้เริ่มสั่นคลอน ประชาชนก็ส่งสัญญาณชัดว่าจะไม่ยอมจำนนต่อการผูกขาดอำนาจของครอบครัวนี้อีกต่อไป

หากศาลวินิจฉัยให้แพทองธารพ้นจากตำแหน่งจริง นี่จะเป็น การปิดฉากของระบอบที่สังคมไม่อาจยอมรับได้อีกแล้ว

และที่สำคัญกว่านั้น มันคือการส่งสัญญาณไปยังทักษิณว่า “เกมของคุณมันจบแล้ว”

ประเทศไทย ไม่ต้องการผู้นำที่ยอมแลกอธิปไตยเพื่อสายสัมพันธ์กับต่างประเทศ หรือยึดอนาคตของชาติไว้เพื่อผลประโยชน์ส่วนตัว

ประชาชนต้องการความจริง ความโปร่งใส และผู้นำที่ยึดมั่นในหลักประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ไม่ใช่ผู้แอบอ้างอำนาจแล้วใช้มันเพื่อผลประโยชน์ของครอบครัว

และหากกระแสนี้ยังเดินหน้า ประชาชน-ศาล-และความทรงจำจากยุครัฐบาลล้มเหลว จะกลายเป็นสามพลังหลักที่กำหนดทิศทางของประเทศต่อไป.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

พรรคส้มเปิดชื่อปาร์ตี้ลิสต์ 'วิโรจน์' กลืนน้ำลายอยู่ในบัญชี

เปิดชื่อผู้สมัคร สส.ปาร์ตี้ลิสต์ 'ปชน.' พบ ไอซ์-กาย-ลูกเกด' ปรับจากเขตมาบัญชีรายชื่อ 'วิโรจน์' ลงต่อด้วย หลัง 'ป้าเจี๊ยบ' เฉลยให้อยู่อันดับ 100 เตรียมแต่งตัวเป็นฝ่ายบริหารพรรค

เปิดชื่อผู้สมัคร สส.กทม. พรรคประชาชน ครบ 33 เขต

เปิดชื่อว่าที่ผู้สมัคร สส. กทม. พรรคประชาชน ครบ 33 เขต ส่วนใหญ่หน้าเดิม พบ 10 เขต เปลี่ยนตัว คาด ‘ณัฐชา-รักชนก-ปิยรัฐ’ ขยับลง สส. บัญชีรายชื่อ พร้อมส่ง ‘ชุลพล หลักคำ’ ลงลาดกระบังซ้ำ หวังแก้มือ ‘ธีรรัตน์’ ด้าน ‘เฉลิมชัย-พงศ์พันธ์’ หลุดโผ

ดร.สติธร ประเมินเลือกตั้ง “น้ำเงิน-ส้ม” สู้กันเดือด ก่อน ภูมิใจไทย โกย 150 ที่นั่ง นั่งแกนนำตั้งรัฐบาล สดใส

ดร.สติธร ธนานิธิโชติ อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ประเมินภาพรวมสนามเลือกตั้งครั้งใหม่ว่า แม้จะเห็นภาพ 3 สี 3 ขั้ว แต่ในทางปฏิบัติ คู่ชิงตัวจริงมีเพียง 2 พรรค คือ พรรคประชาชน และพรรคภูมิใจไทย

มาถูกทาง! 'หมอสุภัทร' เปิดใจลงสมัคร สส. ในนามพรรคประชาชน

"หมอสุภัทร" เผยตัดสินใจสวมเสื้อพรรคส้ม ถึงเวลาที่ต้องก้าวออกจากเซฟโซน ลาออกราชการรับใช้บ้านเกิด มั่นใจหาดใหญ่ต้องดีกว่านี้

'ไชยชนก' ลงปาร์ตี้ลิสต์เบอร์ 2 ภูมิใจไทยเปิดตัวแคนดิเดตนายกฯ ไม่มีเซอร์ไพรส์

นายไชยชนก ชิดชอบ รมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) ในฐานะเลขาธิการพรรคภูมิใจไทย ยอมรับว่าจะลงสมัคร สมัครสส.บัญชีรายชื่อพรรคภูมิใจไทยลำดับที่ 2 ในการเลือกตั้งที่จะมาถึง

'อนุทิน' บอกยึดฤกษ์สะดวก เปิดตัวแคนดิเดตนายกฯ ภูมิใจไทย

"อนุทิน" ยังอุบแคนดิเดตนายกฯ ภูมิใจไทย ตอบแค่ "ใกล้แล้ว" ขึ้นอยู่กับฤกษ์สะดวก ส่วน "สีหศักดิ์" ชัดแล้วเข้าพรรค หลังถูกถามสมัคร สส. หรือไม่ เมินเสียเปรียบพรรคอื่นเปิดก่อน