เสียงทั้งประเทศกดดันให้ลาก ฮุนเซน สู่ ศาลอาญาระหว่างประเทศ (ICC) แต่สิ่งที่รัฐบาล ภูมิธรรม–มาริษ ส่งกลับมา คือเพียงภาพลวงตาของการขยับ ไร้รากหลักฐาน ไร้ยุทธศาสตร์เดินหน้า ขณะที่ ทุ่นระเบิดกัมพูชา ยังฝังรอคร่าชีวิต และข้อตกลงชายแดนก็หยุดอยู่แค่คำว่า “หยุดยิง” ทั้งหมดนี้เสี่ยงจะไม่กลายเป็นความยุติธรรม หากแต่เป็นเพียง วาทกรรม ที่จบเหมือนเรื่องโจ๊ก บนกองเลือดที่ซึมหายไปกับดิน
ในวันที่ชายแดนไทย–กัมพูชาแดงฉานด้วยเลือดของทหารและพลเรือน เสียงในสังคมไทยก็ประสานกันก้องว่า “ฮุนเซนต้องขึ้นศาลอาญาระหว่างประเทศ” ภาพของผู้นำกัมพูชาที่ถูกตราหน้าว่าเป็น อาชญากรสงคราม ถูกแชร์ซ้ำในโซเชียล พร้อมคำเรียกร้องให้รัฐบาลไทยยื่นเรื่องต่อ ศาลอาญาระหว่างประเทศ (ICC) อย่างไม่ชักช้า
กระแสนี้ร้อนแรงพอที่จะทำให้ฝ่ายการเมืองไทยต้องขยับ หรืออย่างน้อยก็ทำทีว่าขยับ เพื่อไม่ให้ถูกครหาว่าเพิกเฉยต่อเลือดเนื้อของคนไทย ภูมิธรรม เวชยชัย ในฐานะรักษาการนายกรัฐมนตรี และ มาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ออกมาพูดถึงความเป็นไปได้ของการนำคดีเข้าสู่ ICC แต่สิ่งที่ขาดไปคือท่าทีและแผนการที่ชัดเจน
เสียงประกาศเหล่านี้จึงคล้ายเป็นเพียงม่านควันบาง ที่ตั้งขึ้นเพื่อรองรับความโกรธของสังคม มากกว่าจะเป็นปฐมบทของกระบวนการยุติธรรมระหว่างประเทศที่ยาวนานและซับซ้อน
สำหรับคนจำนวนมาก ICC อาจถูกมองว่าเป็นศาลสูงสุดของความยุติธรรม แต่ในความจริง มันไม่ใช่ ศาลโลก (ICJ) และไม่ได้ตัดสินข้อพิพาทระหว่างรัฐกับรัฐ หากเป็นการดำเนินคดีต่อ “บุคคล” ที่ต้องรับผิดชอบต่ออาชญากรรมร้ายแรง เช่น ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ อาชญากรรมสงคราม หรืออาชญากรรมต่อมนุษยชาติ
ICC มีลักษณะเป็น ศาลถาวร ที่ตั้งขึ้นจากความสมัครใจของรัฐภาคี ปัจจุบันมี 121 ประเทศให้สัตยาบันแล้ว แต่ไทยยังไม่ใช่หนึ่งในนั้น การเข้าสู่กระบวนการจึงต้องใช้ช่องทางอื่น เช่น ให้ประเทศภาคียื่นเรื่อง หรือให้คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติส่งเรื่องให้
ความซับซ้อนนี้คือสิ่งที่ฝ่ายการเมืองรู้ดี แต่ไม่พูดชัด การเอ่ยชื่อ ICC จึงเป็นการสร้างภาพว่ารัฐบาลกำลัง “เดินหน้า” ทั้งที่รู้ว่าก้าวแรกก็เต็มไปด้วยเงื่อนไขและกำแพงขั้นตอน
ในทางปฏิบัติ การจะลากตัวบุคคลอย่าง ฮุนเซน หรือ ฮุนมาเนต ขึ้น ICC ต้องอาศัย หลักฐานเชื่อมโยงโดยตรง ว่าออกคำสั่งหรือมีส่วนรับผิดชอบต่อการกระทำที่เข้าข่ายอาชญากรรมสงคราม ซึ่งไม่ใช่แค่การอ้างเหตุการณ์ชายแดนปะทะกัน แต่ต้องมีพยาน หลักฐานเอกสาร คำสั่ง หรือข้อมูลที่ยืนยันบทบาทอย่างชัดเจน
ยิ่งไปกว่านั้น ศาลอาญาระหว่างประเทศทำงานภายใต้หลัก “เสริมกัน” หมายความว่า ศาลจะเข้ามาดำเนินคดีได้ก็ต่อเมื่อระบบยุติธรรมในประเทศนั้นไม่สามารถ หรือไม่เต็มใจที่จะดำเนินคดีด้วยตนเอง
ด้วยเงื่อนไขเช่นนี้ ฝ่ายการเมืองไทยจึงไม่ได้เร่งสร้างกลไกเพื่อรวบรวมหลักฐาน หรือวางยุทธศาสตร์ทางกฎหมายข้ามพรมแดน การเคลื่อนไหวจึงติดอยู่ที่ “การพูด” มากกว่าการ “ทำ”
แม้ในพื้นที่ชายแดนยังมี ทุ่นระเบิดของกัมพูชา ฝังอยู่เป็นจำนวนมาก ซึ่งหลายจุดกลายเป็นกับดักคร่าชีวิตและอวัยวะของคนไทย แต่การเจรจาระดับรัฐกลับวนไปสู่การ “หยุดยิง” และ “ข้อตกลง GBC 13 ข้อ” ที่ดูเหมือนจะปิดฉากเรื่องราวไว้เพียงเท่านั้น
ข้อเท็จจริงเหล่านี้อาจกลายเป็นเพียงบันทึกประกอบการประชุม มากกว่าจะเป็นหัวเชื้อในการเดินเรื่องสู่ ICC ทั้งที่การคงอยู่ของทุ่นระเบิดและเหตุปะทะซ้ำ ๆ สามารถถูกใช้เป็นหลักฐานเสริมว่า ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งละเมิดพันธกรณีด้านมนุษยธรรม
แต่รัฐบาลไทยกลับไม่แสดงท่าทีว่าจะยกระดับข้อมูลเหล่านี้สู่การดำเนินคดีจริงจัง เพียงแต่ใช้เป็นวัตถุดิบในการให้สัมภาษณ์ สร้างภาพว่ามี “การเคลื่อนไหว” ต่อสายตาสาธารณะ
สิ่งที่เห็นชัดคือ กระแสผลักดันให้เอาผิด ฮุนเซน และ ฮุนมาเนต ไม่ได้เริ่มจากฝ่ายการเมือง แต่จาก ประชาชนและโซเชียลมีเดีย ที่ส่งเสียงเรียกร้อง จนแรงกดดันกระทบถึงรัฐบาล
ทว่าการตอบสนองของรัฐบาลกลับเหมือนเป็นเพียงการ “เล่นตามน้ำ” ไม่ใช่การวางหมากยาว สะท้อนผ่านการไม่มีคณะทำงานพิเศษที่รวมผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายระหว่างประเทศ การไม่ประสานงานกับประเทศภาคี ICC ที่พร้อมสนับสนุน หรือแม้แต่การสร้างกลไกพิสูจน์ข้อเท็จจริงอย่างเป็นทางการ
ภายใต้การบริหารของ ภูมิธรรม และการขับเคลื่อนด้านการทูตโดย มาริษ ความคืบหน้าเชิงโครงสร้างจึงแทบไม่เกิด การพูดถึง ICC จึงมีน้ำหนักเป็นเพียง “วาทกรรม” ที่ถูกหยิบมาใช้เมื่อจำเป็นต้องตอบสนองความโกรธของสังคม
ความเคลื่อนไหวของฝ่ายการเมืองไทยในครั้งนี้ ทั้ง ภูมิธรรม และ มาริษ อาจดูเหมือน “ขยับ” ตามเสียงของสังคม แต่กลับขาดแผนที่ชัดเจน ขาดยุทธศาสตร์เดินเรื่องในระยะยาว
การเอา ฮุนเซน และ ฮุนมาเนต ขึ้น ศาลอาญาระหว่างประเทศ จึงไม่ต่างจากการปล่อยคำประกาศลอยอยู่กลางอากาศ ให้แรงลมของกระแสพัดไปเอง ไม่มีรากฐานให้หยั่งลึก ไม่มีเส้นทางให้เดินจริง
เมื่อยังไม่เห็นการเตรียมหลักฐานเป็นระบบ ไม่ประสานงานเชิงรุกกับองค์กรระหว่างประเทศ และไม่มีสัญญาณว่ารัฐบาลพร้อมลงทุนแรงในกระบวนการ ICC การเคลื่อนไหวนี้จึง คล้ายเรื่องโจ๊ก ที่รู้คำตอบอยู่แล้วว่าจะจบลงตรงไหน
เลือดของพลเรือนและทหารไทยที่หลั่งลงชายแดน จึงเสี่ยงจะไม่กลายเป็นเส้นหมึกในบันทึกความยุติธรรม หากแต่เป็นเพียงคราบสีน้ำที่ไหลซึมหายไปกับดิน หล่อเลี้ยงต้นไม้แห่ง วาทกรรม ที่จะถูกเด็ดใบมาอวดอีกครั้ง เมื่อการเมืองต้องการรดความโกรธให้ชุ่มเพียงพอจะเก็บเกี่ยวกระแส.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
ปิดด่าน 5 เดือน การค้าชายแดนคลองใหญ่เสียหาย 5 พันล้าน สินค้าเถื่อนทะลัก วอนรัฐบาลเยียวยา
เศรษฐกิจการค้าชายแดนคลองใหญ่ทรุดหนัก เสียหาย 5 พันล้าน ท่องเที่ยววูบปิดท่าเรือหนี ผู้ประกอบการจี้รัฐเยียวยา หลังปิดด่าน 5 เดือน ขณะสินค้าเถื่อนทะลักเข้า-ออก
นายกฯ ลั่นหากเกิดเหตุชายแดนหลังยุบสภา รัฐบาลรักษาการยังมีอำนาจสนับสนุนเต็มที่
นายกฯ ย้ำไม่มีปัจจัยบอกเหตุ ก็ต้องมีแผนป้องกัน โดยเฉพาะตามแนวชายแดน มั่นใจผู้ว่าฯ ดูแลได้ หากอยู่ในช่วงยุบสภา ปฎิเสธข่าวการเจรจาที่ออตตาวาไม่เป็นผล
นายกฯ สั่งผู้ว่าฯ 7 จว.ชายแดนไทย-กัมพูชา ต้องมีความพร้อมเต็มที่ ดูแล-อพยพประชาชน
นายกฯ มอบนโยบายชุดรักษาความปลอดภัยหมู่บ้าน สั่งผู้ว่าฯ 7 จังหวัดเตรียมแผนดูแลประชาชน เผย ยืมสตาร์ลิงค์ทหารไว้สื่อสารแล้วเปรียบ ”ชรบ.“ เป็นกำแพงมหึมาดูแลแนวหลังให้ปลอดภัย - สร้างความสบายใจให้ทหารไม่ต้องพะวงหลังห่วงครอบครัว ชี้ ใครคิดรบกับไทยคงประสาทไม่ดี
โถ! ทภ.2 เรียกร้องกัมพูชาหยุดวางทุ่นระเบิด ย้ำธำรงความสัมพันธ์ฉันมิตรเพื่อนบ้าน
รายงานข่าวจากกองทัพภาคที่ 2 เปิดเผยว่า จากการรวบรวมหลักฐานเชิงประจักษ์ในพื้นที่ชายแดนไทย–กัมพูชา ที่พื้นที่เกิดเหตุเมื่อปี พ.ศ. 2568
หวิดเสียขาที่ 8! ทภ.2 แจงทุ่นระเบิดที่ห้วยตามาเรีย เป็นของเก่ากัมพูชาวางไว้
กองทัพภาคที่ 2 ชี้แจงเหตุการณ์เสียงระเบิดในพื้นที่ห้วยตามาเรีย มีรายละเอียดดังนี้ เมื่อวันที่ 2 ธันวาคม 2568 เวลา 14.20 น. หน่วย ร้อย.ร.1622 ซึ่งปฏิบัติภารกิจในพื้นที่
‘คนจีน’ถึงคราวซวย! เหยียบทุ่นระเบิดเขมร
กองทัพภาคที่ 1 เผยชาวจีนเหยียบทุ่นระเบิดเขมรที่ชายแดนจังหวัดสระแก้ว หลังลักลอบเข้าเมือง ด้านสถานทูตจีนติดตามสถานการณ์ใกล้ชิด ระบุชายชาวจีนอาการทรงตัว


