13 ส.ค.2568 - นายวัส ติงสมิตร นักวิชาการอิสระ อดีตผู้พิพากษาอาวุโสในศาลฎีกา และอดีตประธานกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) โพสต์เฟซบุ๊กในหัวข้อ “คดีมหากาพย์ที่ดินเขากระโดง : จุดเริ่มต้น จุดบานปลาย และจุดจบ” มีเนื้อหาว่า
คดีมหากาพย์ที่ดินเขากระโดง จังหวัดบุรีรัมย์ ซึ่งยืดเยื้อมานานกว่ากึ่งศตวรรษ ได้กลับมาเป็นประเด็นร้อนอีกครั้งหนึ่ง เมื่อ ภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย รักษาการนายกรัฐมนตรี ได้สั่งการให้ดำเนินการเพิกถอนโฉนดที่ดินในพื้นที่พิพาท 5,083 ไร่ (995 แปลง) เพื่อคืนให้แก่การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) โดยอ้างคำพิพากษาของศาลฎีกาและศาลปกครองกลางที่ระบุชัดเจนว่า ที่ดินดังกล่าวเป็นกรรมสิทธิ์ของ รฟท.
1.จุดเริ่มต้นของมหากาพย์
1) ที่ดินตามแผนที่แสดงเขตที่ดินของกรมรถไฟแผ่นดิน (ในขณะนั้น) สายนครราชสีมาถึงอุบลราชธานี ตอนที่แยกออกจากเส้นทางแยกเขากระโดง ใช้เป็นเส้นทางลำเลียงหินหรือศิลาที่ย่อยในพื้นที่เขากระโดง เพื่อนำหินไปใช้ก่อสร้างในทางรถไฟสายหลักในเส้นทางดังกล่าว ซึ่งทางรถไฟที่แยกออกอยู่บริเวณกิโลเมตรที่ 395+650 มีความยาวแยกออกไป 8 กิโลเมตร
2) รฟท. เข้าครอบครองถือกรรมสิทธิ์ในครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. 2462 ขณะนั้นประเทศไทยใช้ระบบการปกครองในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ที่ดินทั้งหมดรวมทั้งที่ดินในบริเวณพิพาทข้างต้น เป็นของพระมหากษัตริย์ (รัชกาลที่ 6) รฟท. ได้เข้าครอบครองและใช้ประโยชน์ก่อนเกิดเหตุคดีนี้นานกว่า 90 ปี
2.จุดบานปลายของมหากาพย์
1) หลายทศวรรษที่ผ่านมา มีการออกหนังสือแสดงสิทธิในที่ดินทับซ้อนบนที่ดินพิพาท 995 แปลง ครอบคลุมพื้นที่รวมกว่า 5,083 ไร่ โดยมีทั้งบุคคลธรรมดาและนิติบุคคลเป็นผู้ถือครอง
2) จังหวัดบุรีรัมย์ ได้มีหนังสือลงวันที่ 18 กรกฎาคม 2540 หารือคณะกรรมการกฤษฎีกา เกี่ยวกับกรณีที่อธิบดีกรมที่ดินได้ออกหนังสือแสดงสิทธิในที่ดินบริเวณเขากระโดง ในท้องที่อำเภอเมืองบุรีรัมย์ จังหวัดบุรีรัมย์ ให้แก่ราษฎรบางราย
3) คณะกรรมการกฤษฎีกาเห็นว่า การสำรวจที่ดินเพื่อกำหนดแนวเขตที่ดินที่ใช้สร้างทางรถไฟ ในปี พ.ศ. 2464 ได้ดำเนินการโดยครบถ้วน รวมทั้งกรมรถไฟแผ่นดินได้จัดทำแผนที่แสดงแนวเขตที่ดินของกรมรถไฟแผ่นดินไว้โดยชัดแจ้งแล้ว และโดยที่ที่ดินบริเวณที่หารือซึ่งเป็นที่ดินที่อยู่ในแนวเขตที่ดินของกรมรถไฟแผ่นดินในขณะนั้นมีสภาพเป็นป่าที่ยังไม่มีผู้ใดครอบครองทำประโยชน์
แต่กรมรถไฟแผ่นดินได้เข้าใช้ประโยชน์ในที่ดินเป็นแหล่งวัสดุสำหรับก่อสร้างทางรถไฟ จึงถือได้ว่าการดำเนินการดังกล่าว เป็นการหวงห้ามที่ดินรกร้างว่างเปล่าไว้ใช้ในราชการตามกฎหมายแล้ว ที่ดินนั้นจัดเข้าลักษณะเป็นที่ดินรถไฟตามมาตรา 3 (2) และได้รับความคุ้มครองตามมาตรา 6 แห่ง พ.ร.บ.จัดวางการรถไฟแลทางหลวง พระพุทธศักราช 2464
สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ได้แจ้งตอบข้อหารือดังกล่าวไปยังอธิบดีกรมที่ดิน ตามหนังสือลงวันที่ 17 มีนาคม 2541
4) อธิบดีกรมที่ดินจึงมีคำสั่งอธิบดีกรมที่ดินที่ 1556/2550 ลงวันที่ 29 พฤษภาคม 2550 แต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนตามความในมาตรา 61 แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน และคำสั่งอธิบดีกรมที่ดิน ที่ 163/2552 ลงวันที่ 29 มกราคม 2552 เปลี่ยนแปลงกรรมการในคณะกรรมการสอบสวนดังกล่าว เพื่อพิจารณาเพิกถอนหรือแก้ไขโฉนดที่ดินเลขที่ 3466 และเลขที่ 8564 ต.อิสาณ อ.เมืองบุรีรัมย์ จ.บุรีรัมย์
แต่คณะกรรมการดังกล่าวเห็นว่า ที่ดินทั้งสองแปลงไม่อยู่ในหลักเกณฑ์เป็นที่ดินของ รฟท. ที่สงวนหวงห้าม ตามที่คณะกรรมการกฤษฎีกาได้วินิจฉัยไว้ และไม่สามารถชี้ได้ว่าการออกโฉนดที่ดินทั้งสองแปลงไม่สมบูรณ์หรือขัดต่อกฎหมาย
จึงเห็นควรไม่เพิกถอนโฉนดที่ดินเลขที่ 3466 และเลขที่ 8564 เสนอให้อธิบดีกรมที่ดินยุติเรื่อง
อธิบดีกรมที่ดินเห็นชอบตามความเห็นดังกล่าว จึงมีคำสั่งยุติเรื่องเมื่อวันที่ 18 มีนาคม 2552
5) ต่อมา สำนักงานคณะกรรมการ ปป.ป.ช. ได้มีหนังสือลงวันที่ 14 กันยายน 2554 ว่า คณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้พิจารณาสำนวนไต่สวนข้อเท็จจริงแล้วมีมติให้เพิกถอนโฉนดที่ดินเลขที่ 3466 และเลขที่ 8564 เนื่องจากออกทับที่ดินของ รฟท. และแจ้งให้กรมที่ดินดำเนินการเพิกถอนโฉนดที่ดินดังกล่าวตามมาตรา 61 แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน
6) กรมที่ดินได้หารือแนวทางปฏิบัติไปยังสำนักงานอัยการสูงสุด กรณีที่อธิบดีกรมที่ดินได้เคยมีความเห็นให้ยุติเรื่องไปแล้ว ว่าจะต้องดำเนินการอย่างไร
7) สำนักงานอัยการสูงสุด มีหนังสือลงวันที่ 12 มิถุนายน 2555 ตอบข้อหารือ โดยมีความเห็นให้กรมที่ดินแจ้งให้ รฟท. ดำเนินการฟ้องคดีต่อศาล เพื่อขอให้เพิกถอนโฉนดที่ดินเลขที่ 3466 และเลขที่ 8564 ต่อไป
ต่อมาศาลฎีกาได้มีคำพิพากษาที่ 842-876/2560 และที่ 8027/2561 วินิจฉัยว่า ที่ดินตามแผนที่แสดงเขตที่ดินของกรมรถไฟแผ่นดินสายนครราชสีมาถึงอุบลราชธานี ตอนแยกที่ย่อยศิลา ตำบลเขากระโดง จังหวัดบุรีรัมย์ กิโลเมตรที่ 375+650 เป็นส่วนหนึ่งของ พ.ร.ฎ.กำหนดเขตร์สร้างทางรถฟต่อจากนครราชสีมา ถึง อุบลราชธานี ลงวันที่ 8 พฤศจิกายน 2462
เมื่อกรมรถไฟแผ่นดินใช้ประโยชน์ในที่ดินโดยการก่อสร้างทางรถไฟ เข้าไปลำเลียงหินที่บริเวณเขากระโดง และบ้านตะโก ทั้งยังใช้เป็นแหล่งวัสดุสำหรับการก่อสร้างทางรถไฟสายนครราชสีมาถึงอุบลราชธานี ย่อมถือได้ว่าที่ดินตามแผนที่แสดงเขตที่ดินของกรมรถไฟแผ่นดินดังกล่าว เป็นที่ดินที่จัดหามาเพื่อใช้ในกิจการรถไฟโดยชอบด้วยกฎหมายอยู่ในความหมายของคำว่า “ที่ดินรถไฟ” ตามมาตรา 3 (2) แห่ง พ.ร.บ.จัดวางการรถไฟแลทางหลวง พ.ศ. 2464 ที่มีผลบังคับใช้อยู่ในเวลานั้น ย่อมตกเป็นกรรมสิทธิ์ของกรมรถไฟแผ่นดินตามมาตรา 25 แห่ง พ.ร.บ.ดังกล่าว
จึงเป็นผลให้ที่ดินพิพาทที่เป็นเส้นทางแยกออกมาในคดีนี้ ได้รับเอกสิทธิ์คุ้มครองหวงห้ามมิให้ประชาชนเข้ายึดถือหรือครอบครอง รวมทั้งโต้แย้งสิทธิใดๆ กับ รฟท. เว้นแต่จะได้มีประกาศหรือกฎหมายตามพระราชกระแสว่าขาดจากการเป็นที่ดินรถไฟแล้ว
9) ต่อมา รฟท. ได้ฟ้องกรมที่ดินและอธิบดีกรมที่ดินว่า รฟท. มีหนังสือลงวันที่ 23 มิถุนายน 2564 ขอให้อธิบดีกรมที่ดินใช้อำนาจตามมาตรา 61 วรรคหนึ่ง แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน ดำเนินการตรวจสอบที่ดินบริเวณพื้นที่ทางแยกเขากระโดง ตำบลอิสาณ อำเภอเมืองบุรีรัมย์ จังหวัดบุรีรัมย์ และดำเนินการเพิกถอนหนังสือแสดงสิทธิในที่ดินที่ทับซ้อนในที่ดินบริเวณที่เป็นกรรมสิทธิ์ของ รฟท. ทั้งหมด
โดยมีคำขอให้กรมที่ดินและอธิบดีกรมที่ดินดำเนินการแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวน เพื่อทำการสอบข้อเท็จจริงในการออกหนังสือแสดงสิทธิในที่ดินทับที่ดินของ รฟท. ในพื้นที่บริเวณดังกล่าว และขอให้กรมที่ดินชดใช้ค่าเสียหายปีละ 707,595,034 บาท และค่าขาดประโยชน์รายเดือน เดือนละ 58,966,253 บาท นับถัดจากวันฟ้อง
10) เมื่อวันที่ 30 มีนาคม 2566 ศาลปกครองกลางมีคำพิพากษาว่า ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า ที่ดินบริเวณทางแยกเขากระโดง ตำบลอิสาณ อำเภอเมืองบุรีรัมย์ จังหวัดบุรีรัมย์ เป็นกรรมสิทธิ์ของ รฟท. ที่ได้มาตามพระราชบัญญัติจัดวางการรถไฟ แลทางหลวง พระพุทธศักราช 2464 และถือเป็นที่ดินของรัฐประเภทหนึ่ง
กรมที่ดินจึงมีหน้าที่ในการคุ้มครองและป้องกันที่ดินบริเวณดังกล่าวตามที่กำหนดในกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการกรมที่ดิน กระทรวงมหาดไทย พ.ศ. 2557 ประกอบกับคำพิพากษาศาลฎีกาและอุทธรณ์ภาค 3 ก็ได้วินิจฉัยอย่างชัดแจ้งถึงความเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ของ รฟท. แล้ว รฟท.จึงสามารถใช้ยันกับบุคคลภายนอกได้เว้นแต่บุคคลภายนอกนั้นจะพิสูจน์ได้ว่าตนมีสิทธิดีกว่า อีกทั้งที่ดินบริเวณที่ศาลมีคำพิพากษากล่าวอ้างถึงมีฐานะเป็นที่ดินของรัฐซึ่งสามารถใช้จัดทำบริการสาธารณะให้แก่ประชาชนโดยทั่วไปได้ หาใช่มีผลผูกพันเฉพาะคู่ความในคดีตามมาตรา 145 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งตามที่กรมที่ดินและอธิบดีกรมที่ดินกล่าวอ้างแต่อย่างใดไม่
ประกอบกับ รฟท. ได้ตรวจสอบเอกสารทางทะเบียนจากสำนักงานที่ดินจังหวัดบุรีรัมย์ พบว่า มีการออกโฉนดที่ดินทับซ้อนที่ดินของ รฟท. ประมาณ 850 แปลง แต่ รฟท. ดำเนินการคัดถ่ายเอกสารมาได้บางส่วน จำนวน 497 แปลง
อีกทั้งปรากฏข้อเท็จจริงจากการตรวจสอบของคณะทำงานตามคำสั่งกรมที่ดิน ที่ 822/2565 ลงวันที่ 4 เมษายน 2565 ว่า จากการลงพื้นที่จังหวัดบุรีรัมย์ เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริง พบข้อมูลหนังสือแสดงสิทธิในที่ดินที่อยู่ในบริเวณที่ดินที่ รฟท. อ้างสิทธิ ในเบื้องต้นพบว่า มีการออกโฉนดที่ดิน จำนวนประมาณ 396 ฉบับ หนังสือรับรองการทำประโยชน์ จำนวนประมาณ 376 ฉบับ รวมเป็นหนังสือแสดงสิทธิในที่ดินทั้งสิ้น จำนวนประมาณ 772 ฉบับ
กรณีจึงเป็นความปรากฏขึ้นจากการที่ รฟท. ได้มีหนังสือร้องขอให้อธิบดีกรมที่ดิน ใช้อำนาจ ตามมาตรา 61 แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน ว่าได้มีการออกหนังสือแสดงสิทธิในที่ดินไปโดยคลาดเคลื่อนหรือไม่ชอบด้วยกฎหมาย แม้ว่าจะเป็นการตรวจสอบพบข้อเท็จจริงเพียงบางส่วนก็ตาม
อธิบดีกรมที่ดินก็สามารถมีคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนเพื่อดำเนินการตามประมวลกฎหมายที่ดินไปก่อนได้ โดยไม่จำต้องรอให้ตรวจสอบพบหนังสือแสดงสิทธิในที่ดินทั้งหมดหรือพบข้อเท็จจริงจนชัดแจ้งแล้วจึงจะมีคำสั่งแต่งตั้ง ดังนั้น กรมที่ดินและอธิบดีกรมที่ดินจึงละเลยต่อหน้าที่ตามมาตรา 61 แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน
พิพากษาให้อธิบดีกรมที่ดินปฏิบัติหน้าที่ตามมาตรา 61 แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน ทั้งนี้ ให้อธิบดีกรมที่ดินมีคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนตามมาตรา 61 วรรคสอง แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน ให้แล้วเสร็จภายใน 15 วัน นับแต่วันที่ศาลมีคำพิพากษาถึงที่สุด ยกฟ้องกรมที่ดิน และคำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
โดยมีข้อสังเกตเกี่ยวกับแนวทางหรือวิธีการดำเนินการให้เป็นไปตามคำพิพากษา ให้ รฟท. ร่วมกับคณะกรรมการสอบสวนตามมาตรา 61 วรรคสอง แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน ทำการตรวจสอบแนวเขตที่ดินบริเวณเขากระโดง ตำบลอิสาณ อำเภอเมืองบุรีรัมย์ จังหวัดบุรีรัมย์ เพื่อหาแนวเขตที่ดินที่เป็นของ รฟท. ตามคำพิพากษาศาลฎีกา คดีหมายเลขแดงที่ 842-876/2560 และที่ 8027/2561 และคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ภาค 3 คดีหมายเลขแดงที่ 1112/2563 เพื่อให้คณะกรรมการสอบสวนจัดทำรายงานการสอบสวนให้แล้วเสร็จตามหลักเกณฑ์ วิธีการที่ประมวลกฎหมายที่ดิน กฎและระเบียบที่เกี่ยวข้องกำหนดต่อไป
3.จุดจบของมหากาพย์
1)ต่อมาเมื่อวันที่ 21 ตุลาคม 2567 อธิบดีกรมที่ดินมีหนังสือแจง รฟท. ว่า คณะกรรมการสอบสวนมีมติเอกฉันท์ ยกเหตุผล 4 ข้อ เชื่อว่าแผนที่ที่ปรากฏตามคำพิพากษา ไม่ใช่แผนที่ตามพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการจัดซื้อที่ดินแลอสังหริมทรัพย์อย่างอื่นเพื่อสร้างทางรถไฟสายตะวันออกเฉียงเหนือ ซึ่งทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้กรมรถไฟหลวงจัดการสร้างประกาศลงวันที่ 7 พฤศจิกายน 2464 (ประกาศราชกิจจานุเบกษาเมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายน 2464)
เห็นสมควรไม่เพิกถอนหรือแก้ไขหนังสือแสดงสิทธิในที่ดิน รฟท. บริเวณแยกเขากระโดง อธิบดีกรมที่ดินจึงเห็นควรยุติเรื่องในกรณีนี้ แต่อย่างไรก็ดี หาก รฟท. เห็นว่ามีสิทธิในที่ดินดีกว่า ก็เป็นเรื่องที่ผู้มีสิทธิในที่ดินจะต้องไปดำเนินการเพื่อพิสูจน์สิทธิในกระบวนการยุติธรรมทางศาลต่อไป
2) ต่อมา ผู้ว่าการ รฟท. ได้ทำหนังสือลงวันที่ 12 พฤศจิกายน 2567 อุทธรณ์คำสั่งไม่เพิกถอนเอกสารแสดงสิทธิในที่ดินที่ทับซ้อนกับที่ดินของ รฟท. ดังกล่าวต่ออธิบดีกรมที่ดิน
3) วันที่ 1 สิงหาคม 2568 นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย และนายเดชอิศม์ ขาวทอง รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย แถลงข่าวความคืบหน้าการตรวจสอบคำสั่งอธิบดีกรมที่ดิน กรณีไม่เพิกถอนโฉนดที่ดินบริเวณเขากระโดง ตำบลอิสาณและตำบลเสม็ด อำเภอเมืองบุรีรัมย์ จังหวัดบุรีรัมย์ ว่า นายภูมิธรรมได้ตั้งคณะกรรมการตรวจสอบคำสั่งอธิบดีกรมที่ดินแล้ว เห็นว่า คำสั่งของอธิบดีกรมที่ดินที่ให้ยุติเรื่องไม่ชอบ อธิบดีกรมที่ดินมีอำนาจเพิกถอนโฉนดเขากระโดงตามมาตรา 61 วรรค แปดของประมวลกฎหมายที่ดินได้ กระทรวงมหาดไทยจะดำเนินการให้เสร็จในเร็ววัน
ผู้เขียนพิจารณาแล้ว มีข้อสังเกตและความเห็นดังนี้
(1)คดีมหากาพย์ที่ดินเขากระโดงนี้ ศาลยุติธรรมโดยศาลฎีกาและศาลอุทธรณ์ภาค 3 และศาลปกครองโดยศาลปกครองกลางซึ่งถึงที่สุด เพราะไม่มีคู่ความฝ่ายใดอุทธรณ์ต่อศาลปกครองสูงสุด ต่างวินิจฉัยว่า ที่ดินตามแผนที่แสดงเขตที่ดินเป็นกรรมสิทธิ์ของ รฟท.
ในคดีของศาลยุติธรรม มีการเพิกถอนหนังสือแสดงสิทธิในที่ดินตามคำพิพากษาของศาลไปแล้ว แต่ในคดีของศาลปกครอง กลับปรากฏว่า หลังจากอธิบดีกรมที่ดินมีคำสั่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนตามมาตรา 61 วรรคสองของประมวลกฎหมายที่ดินแล้วกว่า 1 ปี 7 เดือน จึงมีคำสั่งให้ยุติเรื่อง มีปัญหาว่า คำสั่งของอธิบดีกรมที่ดินดังกล่าวเป็นคำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่
ผู้เขียนเห็นว่า หากเป็นกรณีปกติ การสั่งเพิกถอนหรือแก้ไขหนังสือแสดงสิทธิในที่ดินที่ดำเนินการโดยคลาดเคลื่อนหรือไม่ชอบด้วยกฎหมายตามมาตรา 61 วรรคหนึ่ง อธิบดีกรมที่ดินหรือผู้ซึ่งอธิบดีมอบหมายซึ่งดำรงตำแหน่งรองอธิบดีหรือผู้ตรวจราชการกรมที่ดินมีอำนาจสั่งได้ โดยก่อนดำเนินการ จะต้องตั้งคณะกรรมการสอบสวนขึ้นตรวจสอบให้แล้วเสร็จภายใน 60 วัน นับแต่วันที่มีคำสั่งให้ทำการสอบสวน
ในกรณีที่คณะกรรมการสอบสวนไม่สามารถดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในกำหนดเวลาดังกล่าว คณะกรรมการสอบสวนต้องรายงานเหตุที่ทำให้การสอบสวนไม่แล้วเสร็จต่ออธิบดี (หรือผู้ซึ่งอธิบดีมอบหมาย) เพื่อขอขยายระยะเวลาการสอบสวน โดยให้อธิบดี (หรือผู้ซึ่งอธิบดีมอบหมาย) สั่งขยายระยะเวลาดำเนินการได้ตามความจำเป็นแต่ไม่เกิน 60 วัน
อธิบดี (หรือผู้ซึ่งอธิบดีมอบหมาย) ต้องพิจารณาให้แล้วเสร็จภายใน 15 วันนับแต่ได้รับรายงานการสอบสวนจากคณะกรรมการสอบสวน รวมเวลาทั้งสิ้น 135 วัน
แต่คดีนี้ นอกจากจะปรากฏว่า คณะกรรมการสอบสวนและอธิบดีกรมที่ดินใช้เวลาทั้งสิ้นกว่า 1 ปี 7 เดือน ซึ่งเกินกว่าที่กฎหมายกำหนดมากแล้ว ยังให้ยุติเรื่องโดยอ้างว่า เนื่องจาก รฟท. ไม่มีหลักฐานเป็นที่ข้อยุติว่า ที่ดินดังกล่าวเป็นที่ดินของ รฟท. ทั้งๆ ที่ศาลปกครองกลางวินิจฉัยว่า ที่ดินดังกล่าวเป็นกรรมสิทธิ์ของ รฟท. ให้คณะกรรมการสอบสวนและอธิบดีกรมที่ดินไปตรวจอบว่า มีที่ดินตามหนังสือแสดงสิทธิในที่ดินฉบับใดที่ตั้งอยู่ภายในเขตที่ดินของ รฟท. หรือไม่ ถ้ามีก็ให้เพิกถอนหรือแก้ไขให้ถูกต้อง การกระทำของคณะกรรมการสอบสวนและอธิบดีกรมที่ดิน จึงเกินอำนาจที่ศาลปกครองกลางกำหนด คำสั่งให้ยุติเรื่อง จึงไม่ชอบด้วยกฎกมาย
(2) ที่ศาลปกครองกลางวินิจฉัยว่า คำพิพากษาของศาลยุติธรรมก็ได้วินิจฉัยอย่างชัดแจ้งถึงความเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ของ รฟท. รฟท. จึงสามารถใช้ยันกับบุคคลภายนอกได้ เว้นแต่บุคคลภายนอกนั้นจะพิสูจน์ได้ว่าตนมีสิทธิดีกว่านั้น ผู้เขียนเห็นว่า ในคดีของศาลยุติธรรม ตามหลักการแล้ว คำพิพากษาคดีแพ่งของศาลผูกพันเฉพาะคู่ความ แต่ในกรณีคำพิพากษาที่วินิจฉัยเกี่ยวด้วยกรรมสิทธิ์แห่งทรัพย์สินใดเป็นคุณแก่คู่ความฝ่ายใด อาจใช้ยันแก่บุคคลภายนอกได้ เว้นแต่บุคคลภายนอกจะพิสูจน์ได้ว่าตนมีสิทธิดีกว่าตาม ป.วิ.พ. มาตรา 145 วรรคสอง กล่าวเฉพาะคดีที่ดินเขากระโดง น่าจะหมายถึงที่ดินแปลงที่มีการฟ้องร้องให้เพิกถอนหนังสือแสดงสิทธิในที่ดินเท่านั้น ไม่น่าจะหมายถึงที่ดินแปลงอื่นที่ศาลวินิจฉัยว่าเป็นกรรมสิทธิของ รฟท. แต่บุคคลที่มีชื่อเป็นเจ้าของที่ดินไม่ได้ถูกฟ้องเป็นคู่ความด้วย
แต่ผู้เขียนเห็นด้วยกับศาลปกครองกลางที่ให้เหตุผลอีกข้อหนึ่งว่า ที่ดินบริเวณที่ศาลมีคำพิพากษากล่าวอ้างถึง หากมีฐานะเป็นที่ดินของรัฐ ซึ่งสามารถใช้จัดทำบริการสาธารณะให้แก่ประชาชนโดยทั่วไปได้ ก็มีผลผูกพันบุคคลภายนอกด้วย หาใช่มีผลผูกพันเฉพาะคู่ความในคดีเท่านั้นไม่
(3) ที่กระทรวงมหาดไทยเห็นว่า อธิบดีกรมที่ดินมีอำนาจเพิกถอนโฉนดที่ดินเขากระโดงตามมาตรา 61 วรรคแปดของประมวลกฎหมายที่ดินนั้น ผู้เขียนไม่เห็นพ้องด้วย เพราะกรณีตามวรรคแปดหมายถึงกรณีที่ศาลมีคำพิพากษาหรือคำสั่งถึงที่สุดให้เพิกถอนหรือแก้ไขอย่างใดแล้ว ให้เจ้าพนักงานที่ดินดำเนินการตามคำพิพากษาหรือคำสั่งนั้นตามวิธีการที่อธิบดีกรมที่ดินกำหนด แต่ในคดีของศาลปกครองกลางนั้น ศาลปกครองกลางมีคำสั่งให้อธิบดีกรมที่ดินไปตั้งคณะกรรมการสอบสวนตามวรรคสอง เพื่อตรวจสอบที่ดินทุกแปลงที่ศาลมีคำวินิจฉัยว่าเป็นกรรมสิทธิ์ของ รฟท. หากมีการออกหนังสือแสดงสิทธิในที่ดินโดยมิชอบด้วยประการใด ก็ให้เพิกถอนหรือแก้ไขให้ถูกต้องเท่านั้น ศาลปกครองกลางไม่ได้มีคำพิพากษาหรือมีคำสั่งให้เพิกถอนหรือแก้ไขหนังสือแสดงสิทธิในที่ดินแปลงใดๆ ตามวรรคแปดเลย
(4) การให้ยุติเรื่องทำนองนี้ อธิบดีกรมที่ดินเคยทำมาครั้งหนึ่งแล้วเมื่อปี 2552 ต่อความเห็นของคณะกรรมการกฤษฎีกาในที่ดินเขากระโดงเหมือนกัน แต่ผลที่อธิบดีกรมที่ดินและคณะกรรมการสอบสวนตามมาตรา 61 ของประมวลกฎหมายที่ดิน จะได้รับรางวัลเป็นคดีอาญาในอนาคต จะเลวร้ายสุดคาดคิดเมื่อทำต่อคำวินิจฉัยของศาลปกครองกลาง ครับ
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
'อดีตผู้พิพากษา' อธิบาย 'ปิดงานงดจ้าง' กับ 'หยุดกิจการ' เหตุข้อพิพาทแรงงาน 'ไดกิ้น '
นายวัส ติงสมิตร นักวิชาการอิสระ อดีตผู้พิพากษาอาวุโสในศาลฎีกา และอดีตประธานกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) โพสต์เฟซบุ๊กในหัวข้อ ปิดงานงดจ้างกับหยุดกิจการ มีเนื้อหาดังนี้
ลุ้นกันยาวๆ 24 ธ.ค.ศาล รธน.นัดไต่สวนพยานคดี 'ภูมิธรรม-ทวี' จุ้นคดีฮั้ว สว.
ศาล รธน.นัดไต่สวนพยานคดีสถานะ 'ภูมิธรรม-ทวี' จุ้นคดีฮั้วเลือก สว. 24ธ.ค.นี้ พร้อมไม่อนุญาต 'สราวุธ' ถอนตัวจากการพิจารณาคดี
เสี่ยหนูบอกตามจีบ 'เอกนิติ' นั่งแคนดิเดต นายกฯ คนที่ 2 ของภูมิใจไทย
'อนุทิน' ตามจีบ 'เอกนิติ' เป็นแคนดิเดตนายกฯ คนที่ 2 คน ภท.หลังพรรคใหญ่ขึ้น
นายกฯ นั่งหัวโต๊ะเคาะกรอบงบประมาณปี 2570
'อนุทิน' นั่งหัวโต๊ะประชุมกำหนดกรอบงบประมาณ 70 ย้ำความสำคัญการใช้จ่ายภาครัฐ ต้องมีประสิทธิภาพ - คุ้มค่าความต้องการประชาชน
‘อัษฎางค์’ ชี้ดีลทักษิณขายหุ้นชินคอร์ป คือ ดีลที่ทักษิณมอบความชอบธรรมในการทำรัฐประหารให้ทหาร
อัษฎางค์ ยมนาค นักวิชาการอิสระ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก เอ็ดดี้ อัษฎางค์ ว่า ดีลทักษิณขายหุ้นชินคอร์ป คือ ดีลที่ทักษิณมอบความชอบธ


