อำนาจคือเส้นเลือด ชีวิตคือเวที บทนิยามที่ยังไม่ปิดฉากของชายชื่อทักษิณ

จากชายผู้เคยก้าวสู่ยอดสูงสุดของอำนาจ สู่วันที่ต้องใช้ชีวิตในฐานะนักโทษ ชื่อ ทักษิณ ชินวัตร ยังคงดึงการเมืองไทยให้เวียนวนระหว่างความหวังกับความขัดแย้ง บุรุษผู้หนึ่งถูกจดจำทั้งในฐานะผู้ผลักการเมืองให้แข่งขันกันด้วยนโยบาย และในฐานะเงื่อนไขของวิกฤติที่ไม่รู้จบ ชัยชนะไม่เคยพอ ความพ่ายแพ้ไม่เคยผลักให้ถอย และอำนาจคือเส้นเลือดที่หล่อเลี้ยงเวทีชีวิตของเขาทุกลมหายใจมีเพียงไม่กี่ชื่อที่สามารถก่อให้เกิดทั้ง ความรักและความเกลียด ได้รุนแรงในเวลาเดียวกัน ทุกครั้งที่ถูกเอ่ยถึง สังคมไทยแทบจะแบ่งออกเป็นสองขั้ว และนั่นคือเหตุผลที่เรื่องราวของบุคคลผู้นี้ยังคงเป็นศูนย์กลางของการเมืองไทยมาตลอดกว่าสองทศวรรษ

บุคคลนั้นคือ ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ผู้เคยก้าวขึ้นสู่ยอดสูงสุดของอำนาจ ชนะการเลือกตั้งอย่างถล่มทลาย พร้อมนโยบายที่ถูกมองทั้งสองด้าน ทั้ง เครื่องมือที่สร้างผลสะเทือนต่อชีวิตผู้คน และ ข้อครหาว่าผูกขาดอำนาจและทุจริต ชีวิตทางการเมืองของอดีตผู้นำรายนี้ไม่เคยมีเพียงด้านเดียว หากแต่เต็มไปด้วยความขัดแย้งที่เดินคู่กันเสมอ

และวันนี้ ภาพตรงข้ามได้ปรากฏต่อสายตาสังคมอีกครั้ง อดีตผู้นำผู้เคยกุมประเทศทั้งแผ่นดิน ต้องใช้ชีวิตในฐานะนักโทษ ภาพที่ตัดกันระหว่าง ชัยชนะที่เคยยิ่งใหญ่ กับ อิสรภาพที่ถูกพรากไป ทำให้คำถามสำคัญก้องขึ้นมาอีกครั้งว่า ท้ายที่สุดแล้วทักษิณยังสู้ต่อไปเพื่ออะไร และอะไรคือชัยชนะที่แท้จริงในชีวิตของชายผู้นี้

หากมองจากผลลัพธ์ทางการเมือง ทักษิณถูกมองว่า “ชนะแล้ว” มาหลายครั้ง นายกรัฐมนตรีจากสายชินวัตรก้าวขึ้นสู่ทำเนียบถึงสี่คน—ทักษิณ, สมชาย, ยิ่งลักษณ์ และแพทองธาร—ยังไม่นับสองนอมินีอย่างสมัครและเศรษฐา ที่ล้วนสะท้อนร่องรอยของเครือข่ายการเมืองที่ถูกวางโครงสร้างไว้ตั้งแต่ต้น

ชัยชนะเหล่านี้น่าจะเพียงพอให้นักการเมืองทั่วไปยุติบทบาท แต่สำหรับทักษิณ ความสำเร็จแต่ละครั้งกลับเป็นเพียง “หลักไมล์” มากกว่าจะเป็นเส้นชัย ทุกครั้งที่ก้าวขึ้นสูงสุด ยังคงเลือกจะเดินต่อไป ราวกับว่าความสำเร็จไม่ใช่คำตอบ หากเป็นเพียงเชื้อเพลิงที่ผลักให้ก้าวต่อ

นี่ทำให้เห็นว่า การเมืองไม่ใช่อาชีพ แต่คือชีวิตทั้งชีวิต อำนาจไม่ใช่เพียงเครื่องมือ หากคือเส้นเลือดที่หล่อเลี้ยงตัวตน และนั่นทำให้การวางมือกลายเป็นสิ่งที่แทบเป็นไปไม่ได้

คำตอบบางส่วนสะท้อนออกมาจากเจ้าตัวโดยตรง หลังจากถูกส่งเข้าเรือนจำ มีข้อความเผยแพร่ว่า แม้ไร้อิสรภาพ แต่ยังมีเสรีภาพทางความคิด และยังทิ้งประโยคที่ตีความได้ว่า จนกว่าจะถึงวันที่เราได้เดินร่วมทางกันอีกครั้ง ถ้อยคำเหล่านี้ไม่ใช่เสียงของผู้ยอมแพ้ หากเป็นสัญญาณชัดเจนว่า ยังไม่ถอดใจ

เสียงจากผู้ใกล้ชิดอย่าง ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ยิ่งตอกย้ำ เขาเขียนว่า สิ่งที่สูญเสียวันนี้คืออิสรภาพ แต่ตัวตน ผลงาน และความเป็นทักษิณในใจพวกเรามิได้เสื่อมสูญ ถ้อยคำนี้ไม่เพียงปลอบใจพรรคพวก แต่ยังประกาศว่า ระบอบที่สร้างขึ้นยังไม่ล่มสลายเพียงเพราะผู้นำถูกจำกัดเสรีภาพ

ทั้งหมดนี้สะท้อนชัดว่า การสู้ต่อไม่ได้มีเป้าหมายเพื่อตัวบุคคลเพียงอย่างเดียว หากยังเป็นการยืนยันว่า โครงสร้างที่ปลูกสร้างยังมีชีวิต และยังมีมวลชนที่พร้อมจะเดินไปด้วยกัน

เมื่อเรื่องราวเดินมาถึงจุดนี้ คำถามไม่ได้อยู่ที่ว่า “จะสู้ต่อหรือไม่” เพราะคำตอบปรากฏแล้วทั้งจากเจ้าตัวและผู้ใกล้ชิด สิ่งที่น่าจับตามองคือ จะสู้ต่อในสนามใด และด้วยวิธีใด

คำตอบชัดเจนว่าสนามที่เลือกคือ การเลือกตั้ง และวิธีการคือ การรักษาแบรนด์การเมืองเพื่อไทย ให้ยังคงดึงดูดมวลชน แม้อำนาจในสภาจะลดลง แต่พรรคยังเป็น “เรือใหญ่” ที่สร้างขึ้น และยังมีเครือข่ายท้องถิ่นที่พร้อมขับเคลื่อนเมื่อถึงเวลา

ถ้อยคำที่ส่งออกมาจากในเรือนจำจึงไม่ใช่ถ้อยคำลอย ๆ หากเป็นการวางหมุดหมายใหม่ ว่าต่อให้ร่างกายถูกจำกัด ชื่อยังคงทำงานได้ การเลือกตั้งครั้งหน้าจึงไม่ใช่เพียงการชิงเก้าอี้ แต่คือการพิสูจน์ว่า ระบอบที่ปลูกไว้ยังคงยืนอยู่ได้

ชัยชนะที่แท้จริงในบั้นปลายชีวิต จึงไม่ใช่การลบล้างคดีความ เพราะข้อกล่าวหาที่สะสมมากว่าสองทศวรรษไม่มีวันเลือนหาย หากแต่คือการทำให้ พรรคเพื่อไทยและสิ่งที่ถูกเรียกว่า “ระบอบทักษิณ” ยังคงยืนหยัดในเวทีการเมืองไทย

การเลือกตั้งครั้งหน้า จึงเป็นบทพิสูจน์สำคัญ หากพรรคยังรักษาฐานเสียงและกลับมามีอำนาจบริหารได้อีกครั้ง ผลลัพธ์นั้นจะไม่ใช่เพียงการชนะเชิงตัวเลข แต่คือการยืนยันว่า แม้แรงต้านจากโครงสร้างอำนาจดั้งเดิมและกลุ่มอนุรักษนิยมยังคงมีอยู่ แต่ชื่อทักษิณก็ยังไม่ถูกลบออกจากสมการการเมืองไทย

แต่อีกด้านหนึ่ง ต้องยอมรับว่า ความทะเยอทะยานไร้เพดานและการยึดติดกับอำนาจของเจ้าของชื่อเอง ก็คือปัจจัยที่ทำให้ความขัดแย้งรุนแรงขึ้น การเมืองไทยจึงไม่สามารถวาดภาพเขาเป็นเพียงผู้ถูกกระทำ แต่ต้องมองว่าเป็นส่วนหนึ่งของปัญหาที่ทำให้ระเบียบเดิมกับระบอบใหม่ปะทะกันต่อเนื่อง

สิ่งที่อดีตนายกฯ ได้กลับคืนมาในวันที่ก้าวเข้าสู่เรือนจำ ไม่ใช่อิสรภาพ แต่คือ ความรู้สึกยอมรับจากมวลชนบางส่วน ที่เคยตั้งคำถาม ว่าเหตุใดผู้นำที่ยิ่งใหญ่จึงเลือกหลบเลี่ยงมากกว่าจะเผชิญหน้ากับคำพิพากษา การก้าวเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมอย่างเปิดเผยได้เปลี่ยนภาพที่ค้างคาในใจผู้คน

จากชายผู้ถูกมองว่าหลีกหนี กลายเป็นชายผู้ยอมเผชิญหน้า จากข้อครหาว่าไม่ยอมรับกติกา กลายเป็นเรื่องเล่าว่า “ในที่สุด เจ้าของชื่อก็ก้าวเข้ามาเอง”

นี่คือ ต้นทุนใหม่ ที่ไม่ใช่เงินทองหรืออำนาจเก่า แต่คือความกล้าที่จะยืนหยัดบนเวทีที่หลายคนคิดว่าจะไม่หวนกลับ ความรู้สึกนี้เองที่อาจทำให้มวลชนที่เคยไขว้เขว หันกลับมาเชื่อว่าเรื่องราวยังไม่ปิดฉาก และยังมีเหตุผลให้เดินตามต่อไป

ต้นทุนนี้จะเพียงพอหรือไม่…ยังไม่มีใครตอบได้ แต่สิ่งที่ชัดคือ เรื่องราวยังดำเนินต่อไปแน่นอน

เรื่องราวของทักษิณในวันนี้จึงไม่ใช่บทสรุป หากเป็นเพียงอีกฉากหนึ่งในละครการเมืองที่เจ้าของชื่อเป็นทั้งผู้เขียนและผู้แสดง แม้จะสวมบทนักโทษ แต่ชื่อยังถูกเอ่ยซ้ำในทุกเวทีสาธารณะ ไม่ว่าจะเป็นการประชุมสภา ห้องเสวนา หรือการสนทนาตามร้านน้ำชา

อำนาจสำหรับอดีตผู้นำรายนี้ไม่ใช่ทรัพย์สินที่สะสมไว้ หากคือ เส้นเลือดที่หล่อเลี้ยงชีวิต เมื่อยังมีลมหายใจ ก็ยังมีแรงผลักให้กลับเข้าสู่เวที และตราบใดที่มวลชนยังตอบรับชื่อ “ทักษิณ” เรื่องเล่านี้ก็ยังไม่อาจถูกปิดฉาก

เขาอาจไม่ได้ต่อสู้เพื่อเก้าอี้นายกรัฐมนตรีอีกต่อไป แต่การทำให้ระบอบที่ก่อขึ้นยังคงอยู่ คือชัยชนะที่หมายมั่นในบั้นปลาย การยอมเข้าคุกครั้งนี้จึงไม่ใช่การยอมแพ้ แต่คือ การเดินหมากใหม่ในเกมการเมือง ที่ยังไม่สิ้นสุด

และนั่นคือเหตุผลที่ไม่ว่าใครจะรักหรือเกลียด ทักษิณก็ยังคงเป็น ชื่อที่ไม่มีใครสามารถมองข้าม เพราะในสมการการเมืองไทย เขายังเป็นตัวแปรที่ต้องถูกคำนวณ และเรื่องราวนี้จะไม่ปิดฉาก…จนกว่าลมหายใจสุดท้ายของเจ้าของชื่อจะมาถึง.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

เพื่อไทยไม่หยุดประชานิยม พร้อมสานต่อดิจิทัลวอลเล็ต ยังค้างประชาชนอีก 20 ล้านคน

นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีพรรคเพื่อไทย ให้สัมภาษณ์ถึงการประชุมเพื่อวางแผนยุทธศาสตร์ในการเตรียมความพร้อมเลือกตั้ง ว่า เรามีการประชุมกันอย่างต่อเนื่อง ซึ่งมีการหารือเกี่ยวกับเรื่องการเลือกตั้ง รวมถึงมีการประเมินกระแสหลังจากที่มีการเปิดตัวแคนดิเดตนายกฯ ของพรรคทั้ง 3 คนแล้วว่าเป็นอย่างไร

นับหนึ่งสนามเลือกตั้ง 69 สำรวจบ้านเล็ก-บ้านใหญ่ บนแผนที่ภูมิใจไทย

หลังคณะกรรมการการเลือกตั้งประกาศกำหนดวันเลือกตั้งทั่วไปในวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2569 การเมืองไทยเข้าสู่ช่วงเตรียมพร้อมอย่างเป็นทางการ

'ยศชนัน' โพสต์แนะนำตัว เชื่อคนไทยมีของ แต่โอกาส-ทุนไม่เอื้อ ขออาสาเป็นผู้นำพัฒนาคุณภาพชีวิต

นายยศชนัน วงศ์สวัสดิ์ แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีพรรคเพื่อไทย โพสต์ข้อความผ่านช่องทางโซเชียลมีเดีย ระบุว่า “สวัสดีครับ ผม “เชน” ครับ หลายคนอาจคุ้นกับผมที่เป็นอาจารย์วิศวะ หรือลูกชายนักการเมือง แต่วันนี้ผมขอแนะนำตัวในฐานะคนไทยคนหนึ่ง ที่เชื่ออย่างสุดหัวใจว่า

เพื่อไทย ชูเครือญาติ 'ชินวัตร' นั่งแคนดิเดตนายกฯ อันดับ 1

"เพื่อไทย ชู "ยศชนัน" นั่งแคนดิเดตนายกฯ เบอร์ 1 ชี้ไม่เป็นปัญหาถูกมองหนีไม่พ้นตระกูลชินวัตร ลั่นเป็นโอกาส-จุดเด่น รับเป็นหน้าใหม่การเมือง เชื่อเวลา 2 เดือน ชนะใจปชช.ได้ พร้อมยัน ไม่ถูกครอบงำจาก “เยาวภา” ด้าน “สุริยะ” ยังมั่นใจ ถึงเป้า 200 ที่นั่ง ขณะที่ “จุลพันธ์” ประกาศพร้อมฝ่าด่านอำนาจรัฐ กระสุน กระแสชาตินิยม สู่ชัยชนะด้วยนโยบาย

‘สมชาย’ ซูฮก ‘ลูกชาย’ มั่นใจทำงานเพื่อชาติได้ โตขนาดนี้แล้วต้องปล่อยอิสระ ‘พ่อ-แม่’ จะอยู่เบื้องหลัง

ที่พรรคเพื่อไทย นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกรัฐมนตรี ในฐานะบิดานายยศชนัน วงศ์สวัสดิ์ ให้สัมภาษณ์ถึงการเสนอชื่อ นายยศชนัน เป็นแ