สองพรรค ที่ต่างกำเนิด ต่างเส้นทาง แต่กลับลงเอยด้วยความเสื่อมในสายตาประชาชน พรรคหนึ่งเก่าแก่จนกลายเป็น เรือโบราณที่ผุกร่อน อีกพรรคเพิ่งเกิดแต่กลับเปื่อยยุ่ยเหมือนเรือกระดาษ ที่ลอยไม่ทันพ้นฝั่ง ทั้งสองไม่ได้สะท้อนพลัง หากแต่สะท้อนความว่างเปล่า ที่อาจเหลือเพียงรอยคลื่นเล็กๆเป็นเครื่องหมายว่าครั้งหนึ่งเคยมีเรือลอยผ่านในสายน้ำการเมือง
การเมืองไทย ในวันนี้เหมือน สายน้ำ ที่พัดพา เรือสองลำ ให้ลอยเคียงกัน ลำหนึ่งคือ เรือโบราณ ไม้ผุ น้ำรั่ว แต่ยังฝืนลอยต้านกระแส อีกลำคือ เรือกระดาษ ประดิษฐ์ขึ้นฉาบฉวย แค่ชุบน้ำก็เปื่อยยุ่ย
เรือโบราณคือ ประชาธิปัตย์ พรรคการเมืองเก่าแก่ที่สุด ยังฝืนยืนอยู่แม้ร่องรอยร้าวจะเต็มลำ ส่วนเรือกระดาษคือ รวมไทยสร้างชาติ พรรคที่ถูกโหมสร้างขึ้นเพียง ชั่วคราว แต่วันนี้สภาพเละจนแทบหายไปจากสายตา
ประชาธิปัตย์เคยถูกขนานนามว่า พรรคสถาบัน แต่วันนี้กลับต้องพึ่ง เครื่องช่วยหายใจทางการเมือง การเลือกหัวหน้าพรรคคนใหม่จึงไม่ใช่เพียงการสลับเก้าอี้ แต่คือการวัดว่ายังมีแรงเหลือพอจะ พยุงชีวิต ได้หรือไม่
ชื่อ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ถูกพูดถึงมากที่สุด เพราะยังเป็น สัญลักษณ์ของความโปร่งใสและ ภาพลักษณ์สะอาด แต่ปัญหาของประชาธิปัตย์ไม่ใช่เพียง ตัวบุคคล หากอยู่ที่การ ไร้ทิศทาง ขาดความเชื่อมโยงกับ ความหวังของคนรุ่นใหม่ ฐานเสียงที่เคยเหนียวแน่นทั้ง ภาคใต้ และ กรุงเทพฯ วันนี้พรุนจนแทบไม่เหลือ
ตรงข้ามกับพรรค รทสช. เกิดขึ้นพร้อมเสียงโหมป่าวว่าเป็น เรือธงใหม่ แต่แท้จริงแล้วมันถูกสร้างขึ้นเพื่อ พยุงชื่อ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ในช่วงสั้น ๆ พรรคนี้ไม่เคยมี รากฐาน ไม่เคยมี ทุนทางการเมือง และไม่เคยสร้าง ศรัทธาที่แท้จริง จึงกลายเป็นพรรค เฉพาะกิจ ที่เกิดขึ้นฉับพลัน และกำลังดับฉับพลัน
เมื่อ เจ้าของแบรนด์ ก้าวลงจากเวทีการเมือง พรรคก็ ไร้หลักยึด โครงสร้างที่ดูเหมือนมั่นคงกลับกลายเป็นเพียง ฉากกระดาษแข็ง พอฝนตกไม่กี่หยดก็ยับยุ่ยให้เห็นต่อหน้าประชาชนทั้งประเทศ
ความร้าวฉาน ยิ่งโผล่ชัด เมื่อ เอกนัฏ พร้อมพันธุ์ เลขาธิการพรรค ผู้ที่ควรทำหน้าที่เสมือน “แม่บ้านพรรค” คอยประสานงานและรักษาความเป็นเอกภาพ กลับเลือก ลาออกจากกรรมการบริหาร ในห้วงเวลาที่พรรคกำลังสั่นคลอน
การถอนตัวครั้งนี้ไม่ต่างจาก การทิ้งบ้านกลางคัน ปล่อยให้พรรคเดินต่อโดยไร้คนคุม
ยิ่งไปกว่านั้น ก่อนหน้านี้ยังมี ข่าวลือ ว่าเขาอยากก้าวขึ้นเป็น หัวหน้าพรรค แต่ในความจริงกลับไม่เคยมี บารมี หรือ ฐานเสียง เพียงพอ ภาพลักษณ์ยังถูกมองว่าเป็นเพียง “ลูกเลี้ยงทางการเมือง” ที่เติบโตจาก ร่มเงาของผู้อุปถัมภ์ มากกว่าจะยืนหยัดได้ด้วยตัวเอง
และเมื่อมีกระแส “ลูกหมี” จะย้ายไป ภูมิใจไทย เจ้าตัวก็พร้อมไหลไปตามทางนั้น ภาพทั้งหมดสะท้อนชัดว่า เอกนัฏ ไม่ใช่ เสาหลัก แต่คือคนที่ ไร้หลักยึด ไม่มีที่ยืนของตนเองใน สนามการเมือง
บาดแผลใหญ่ ของ รวมไทยสร้างชาติ ไม่ได้เริ่มจากการ ย้ายก๊วน แต่เริ่มจาก คลิปเสียง แพทองธาร–ฮุนเซน วันที่คลิปนั้นแพร่ออกมา มวลชนคาดหวังว่าพรรคจะ ถอนตัวจากรัฐบาล เพื่อรักษา ศักดิ์ศรี แต่ พีระพันธุ์ เลือกที่จะยื้ออยู่ต่อ
ภายหลัง อรรถวิชช์ สุวรรณภักดี อดีตแกนนำใกล้ชิด เปิดเผยว่า เหตุผลแท้จริงเพราะหัวหน้าพรรคยังเชื่อว่าตนมีโอกาสจะได้เป็น นายกฯ
ความทะเยอทะยานส่วนตัว กลายเป็นแรงผลักที่สวนทางกับ เสียงมวลชน หวังเกินแรงศรัทธา และหวังผิดที่ผิดเวลา ความหวังที่ว่านั้นจึงทำให้ เรือกระดาษ เปื่อยยุ่ยลงในสายตาประชาชนเร็วกว่าที่ใครคาดคิด
เมื่อมอง สองพรรคคู่ขนาน ภาพกลับต่างกันอย่างสิ้นเชิง
ประชาธิปัตย์ เสื่อมถอยช้า แต่ยังไม่จม ทุนทางประวัติศาสตร์ และ เครือข่ายที่หยั่งรากลึก ทำให้ยังพอมีทางซ่อม หากได้หัวหน้าที่กล้าปรับทิศทาง พรรคนี้ก็ยังอาจกลับมามี พื้นที่ยืนบนกระดานการเมือง ได้อีก
รวมไทยสร้างชาติ กลับหมดแรงส่งเร็วจนน่าใจหาย มันถูกสร้างขึ้นเพื่อ คนเดียว เมื่อคนนั้นหายไป พรรคก็ละลาย การ แตกก๊วน การ ย้ายข้าง การหาที่พึ่งใหม่ ล้วนเป็นเครื่องยืนยันว่านี่คือ เรือกระดาษที่เปื่อยคามือ
รอยแตก ยิ่งเด่นชัดเมื่อ สส.บางส่วน เคลื่อนไปหา ภูมิใจไทย เสียง ฟรีโหวต กลายเป็นบันไดให้ อนุทิน ได้แรงสนับสนุน พรรครวมไทยสร้างชาติ เหลือเพียงชื่อที่ปรากฏในข่าวการ ย้ายข้าง มากกว่าข่าวการ สร้างนโยบาย
ในทางกลับกัน ประชาธิปัตย์ ยังถูกเฝ้ามอง แม้จะอ่อนแรงแต่หากวันหนึ่งฟื้นตัวได้ ก็ยังมี พื้นที่ให้ยืน สองเรือจึงต่างชะตา ลำหนึ่งเก่าแต่ยังซ่อมได้ อีกลำใหม่แต่กลับละลายเร็วกว่าที่ใครคิด
ใน สายน้ำการเมืองไทย สองเรือยังลอยเคียงกัน แต่ เส้นทาง กลับแตกต่างโดยสิ้นเชิง
เรือโบราณอย่างประชาธิปัตย์ แม้ไม้ผุ น้ำรั่ว และสิ้นพลังไปมาก แต่โครงสร้างยังพอให้ ซ่อมแซม หากวันหนึ่งกล้าหักพวงมาลัยและเปลี่ยนเส้นทาง พรรคเก่าแก่นี้ก็ยังมีโอกาสกลับมามี ชีวิต แม้จะไม่สง่างามดังเดิม แต่อย่างน้อยก็ยังไม่ใช่ ซากที่ไร้ค่า
ตรงกันข้ามกับ รวมไทยสร้างชาติ ที่ถูกสร้างขึ้นเพียงเพื่อ ภารกิจสั้น ๆ เมื่อเสาหลักหายไปก็เหลือเพียง เศษที่เปื่อยยุ่ย ไม่ทันได้ หยั่งราก ก็พังทลายลงเอง และใน สนามเลือกตั้งครั้งหน้า สิ่งที่รออยู่ไม่ใช่แค่ความพ่ายแพ้ แต่คือการถูก กลืน จนไม่เหลือแม้แต่ ร่องรอยในสายน้ำการเมืองไทย.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
รู้จักน้อยไปจริง! กระทุ้ง 'อนุทิน' เผยตัวตนให้มากขึ้น
นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ อดีต สส.พัทลุง พรรคประชาธิปัตย์ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กว่า หรือเรารู้จักท่านนายกรัฐมนตรีน้อยไปจริงๆ
'กรณ์' แนะ ปปง. ยึดทรัพย์สแกมเมอร์รายใหญ่ ต้องสาวให้ถึงคนไทย แฉพยายามโยกย้ายทรัพย์สิน
นายกรณ์ จาติกวณิช รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า จากการที่พรรคประชาธิปัตย์ได้นำเอกสารหลักฐานชี้ให้เห็นถึงธุรกรรมที่ผิดปกติเกี่ยวโยงกับบุคคลที่ถูกกล่าวหา โดยสภาคองเกรสของสหรัฐอเมริกาว่าเกี่ยวโยงกับวงการสแกมเมอร์ และอาจจะเป็นกิจกรรมที่สะท้อนถึงความพยายามในการฟอกเงินที่ได้มาจากธุรกรรมเหล่านั้น
มีคำตอบ! รัฐบาลอนุทินมี ‘ศุภจี‘ เป็นจุดเด่น ทำไมปล่อยให้มี ’ธรรมนัส’ เป็นจุดอ่อน
คุณศุภจีคือตัวแทนของ "ภาพลักษณ์ความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจ" ที่ช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้นักลงทุน ดึงดูดชนชั้นกลางและคนเมือง และเป็นเกราะป้องกันทางการเมือง เมื่อฝ่า
ขนลุก! กูรูใหญ่ สาปแช่งพรรคเพื่อไทย หลังข่าวซูเอี๋ยพรรคส้ม
ความคิดที่เพื่อไทยและประชาชนจะจับมือกันตั้งรัฐบาลหลังเลือกตั้งแล้วเลื่อนการอภิปรายไม่ไว้วางใจ คือท่าดีทีล้มละลายทางการเมือง
เทพไท ไม่แปลกใจ 'อภิสิทธิ์-ปชป.' ฉุดกระแสใต้คืนชีพ ห่วง สส.เขต โดนกระสุนดินดำเอาไปกิน
เทพไท ชี้ ผลการสำรวจของนิด้าโพล อาจวัดความนิยมของพรรคการเมือง และจะบ่งบอกถึงส.ส.ในระบบบัญชีรายชื่อ แต่สำหรับส.ส.ในระบบเขต ยังเชื่อว่าพรรคการเมืองที่มีทรัพยากรพร้อม มีกระสุนดินดำเป็นจำนวนมาก และยิงเข้าเป้า ก็จะมีโอกาสชนะการเลือกตั้ง
เปิด 3 ทฤษฎี! 'นายกฯหนู' ยุบสภาหลังโหวตวาระ 3 แก้รธน.
นายสมชัย ศรีสุทธิยากร อดีตกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) โพสต์ข้ความผ่านเฟซบุ๊กว่า Game of Thrones การเมืองไทย


