จากเสียงปรามาสว่า “พรรคเด็ก” ถึงภาพลวงของ “พรรคผู้ใหญ่” สิ่งที่สังคมต้องกล้ำกลืนคือการเมืองที่ไร้ความน่าเชื่อถือ เด็กยังเห่อฝันเหมือนของเล่นที่หักง่าย ผู้ใหญ่ก็ขายซากบารมีราวของเก่าตลาดล่าง ความจริงขมขื่นคือ ไม่ว่าหันไปทางไหน ก็เจอแต่ความเสื่อมที่ต่างเพียงฉลาก
การเมืองไทยไม่เคยขาด ถ้อยคำปรามาส ทุกยุคสมัยมีถ้อยคำถูกสร้างขึ้นเพื่อกดหัวฝ่ายตรงข้าม มากกว่าการขับเคลื่อนด้วยนโยบาย เสียงหัวเราะในสภามักไม่ใช่เพราะขำขัน แต่เพราะรู้ทันว่านี่คือวิธีลดทอนความน่าเชื่อถือที่ใช้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า
และในสัปดาห์ที่ผ่านมา คำปรามาสใหม่ก็ถูกเข็นออกมาอีกครั้ง “พรรคเด็ก” ถ้อยคำที่เหมือนจะเย้ยหยันพรรคประชาชน แต่กลับสะท้อนย้อนมาที่ พรรคผู้ใหญ่อย่างเพื่อไทย ซึ่งวันนี้ไร้แรงศรัทธาในสายตาประชาชน
เจ้าของถ้อยคำคือ ภูมิธรรม เวชยชัย แกนนำพรรคเพื่อไทย ผู้ผ่านทั้งสนามอุดมคติและสนามเลือกตั้ง คำพูดของเขาจึงไม่ใช่แค่การล้อเล่น แต่เป็นการตีตราให้สังคมเชื่อว่า พรรคประชาชนยังอ่อนด้อย ไม่พร้อมกำหนดทิศทางประเทศ
แต่ดาบที่แกว่งใส่คู่แข่งก็ตีกลับเข้าใส่ตัวเอง เพราะหากพูดถึง ความเสื่อมโทรมของการเมือง ไม่มีภาพไหนชัดเจนไปกว่าพรรคเพื่อไทย พรรคที่ชอบอวดตัวว่าเป็น “ผู้ใหญ่” แต่สิ่งที่เหลือคือ เปลือกประสบการณ์ที่หมดค่า
เมื่อครั้งครองอำนาจ รัฐบาลเพื่อไทย ไม่ได้แสดงความเป็นผู้ใหญ่ แต่กลับเผยโฉมเป็น รัฐบาลหุ่นเชิดเต็มรูปแบบ หัวหน้าพรรคอย่าง แพทองธาร ชินวัตร เป็นเพียงชื่อในตำแหน่ง ส่วนอำนาจจริงยังโยงกลับไปถึงพ่อที่เป็นนักโทษอย่าง ทักษิณ
ทุกการบริหารคือ การจัดเก้าอี้และแบ่งเค้กอำนาจ มากกว่าการแก้ปัญหาประเทศ สิ่งที่ประชาชนเห็นจึงไม่ใช่ความสามารถของผู้นำ แต่คือการเชิดหุ่นบนเวทีการเมือง
นี่คือ ความจริงขมขื่นของพรรคผู้ใหญ่ ที่ชื่อเพื่อไทย การอ้างประสบการณ์ไม่ได้สร้างผลงานที่ดีกว่า แต่กลับตอกย้ำว่า การเมืองในมือของตระกูลเดิมๆ ไม่ได้แตกต่างจากวงจรที่ประชาชนเบื่อหน่ายมานาน
พรรคเพื่อไทยจึงไม่ใช่คำตอบของ “ผู้ใหญ่” แต่คือ ซากการเมืองที่หมดอายุ การครอบงำโดยเครือญาติทำให้ทุกการตัดสินใจเป็นเพียงการสืบทอดอำนาจ ไม่ใช่การเปิดพื้นที่ให้เสียงประชาชน ความเป็นผู้ใหญ่จึงกลายเป็นเพียงป้ายโฆษณาที่แปะทับความเสื่อมเดิม
หันไปที่อีกฝั่ง พรรคประชาชน ที่ถูกเรียกว่า “พรรคเด็ก” ภาพที่สะท้อนออกมาไม่ใช่แค่ความใหม่ แต่คือความเชื่อว่าการเมืองจะเปลี่ยนได้ทันที เพียงแค่ตะโกนคำว่า “ปฏิรูป” หรือ “เปลี่ยนแปลง” ขึ้นเวที
แต่พวกเขาลืมไปว่ากำแพงโครงสร้างไทยหนากว่าสุนทรพจน์ใดๆ ความเป็นเด็กจึงอยู่ที่การคิดแบบเส้นตรง อยากรื้อทุกอย่างในคราวเดียว แต่ไม่รู้จะสร้างใหม่อย่างไร
นี่คือ ความเพ้อของพรรคเด็ก ความฝันอาจสวยงาม แต่การเมืองจริงไม่ใช่สมุดวาดภาพที่จะระบายสีใหม่ได้ทันที ทุกก้าวย่างต้องเดินบนดินเหนียวที่เต็มไปด้วยผลประโยชน์พันกัน ความไร้เดียงสา จึงกลายเป็นจุดอ่อนที่ใครๆ ก็มองเห็น
เมื่อวางสองพรรคไว้ข้างกัน ภาพที่เห็นคือความล้มเหลวคนละแบบ พรรคผู้ใหญ่อย่างเพื่อไทย ติดอยู่กับซากอำนาจเก่า พรรคเด็กอย่างประชาชน ติดอยู่กับอุดมคติที่ใช้จริงไม่ได้
ปัญหาคือเสียงปรามาสเหล่านี้กลบคำถามสำคัญ ประชาชนไม่ได้อยากรู้ว่าใครเด็กหรือใครผู้ใหญ่ แต่อยากเห็นว่าใครจะแก้เศรษฐกิจพ้นฝืดเคือง ใครจะทำให้โรงพยาบาลไม่ต้องรอคิวยาว โรงเรียนสอนลูกหลานได้ดีกว่า แต่สิ่งเหล่านี้กลับถูกกลบด้วยการประชดประชันและการอวดบารมีเก่า
ในปลายทางทั้งเสียงปรามาสและความจริงขมขื่นยังวนเวียนอยู่กับสองพรรคนี้ พรรคผู้ใหญ่อย่างเพื่อไทย ไม่ต่างจาก ของเก่าตลาดล่างที่ตั้งกองซ้ำแล้วซ้ำเล่า ส่วน พรรคเด็กอย่างประชาชน ก็ยังติดอยู่กับ โลกสวยที่แตกง่ายเมื่อเจอความจริง
การเมืองไทยจึงเป็นวงจรเสื่อมที่ประชาชนถูกบังคับให้กล้ำกลืนอยู่ทุกวัน ไม่ว่าฉลากจะเป็น “เด็ก” หรือ “ผู้ใหญ่” ก็ไม่มีคำตอบที่แท้จริงหลุดพ้นจากความเน่าเฟะเดิมๆ.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
เปิดชื่อผู้สมัคร สส.กทม. พรรคประชาชน ครบ 33 เขต
เปิดชื่อว่าที่ผู้สมัคร สส. กทม. พรรคประชาชน ครบ 33 เขต ส่วนใหญ่หน้าเดิม พบ 10 เขต เปลี่ยนตัว คาด ‘ณัฐชา-รักชนก-ปิยรัฐ’ ขยับลง สส. บัญชีรายชื่อ พร้อมส่ง ‘ชุลพล หลักคำ’ ลงลาดกระบังซ้ำ หวังแก้มือ ‘ธีรรัตน์’ ด้าน ‘เฉลิมชัย-พงศ์พันธ์’ หลุดโผ
ดร.สติธร ประเมินเลือกตั้ง “น้ำเงิน-ส้ม” สู้กันเดือด ก่อน ภูมิใจไทย โกย 150 ที่นั่ง นั่งแกนนำตั้งรัฐบาล สดใส
ดร.สติธร ธนานิธิโชติ อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ประเมินภาพรวมสนามเลือกตั้งครั้งใหม่ว่า แม้จะเห็นภาพ 3 สี 3 ขั้ว แต่ในทางปฏิบัติ คู่ชิงตัวจริงมีเพียง 2 พรรค คือ พรรคประชาชน และพรรคภูมิใจไทย
มาถูกทาง! 'หมอสุภัทร' เปิดใจลงสมัคร สส. ในนามพรรคประชาชน
"หมอสุภัทร" เผยตัดสินใจสวมเสื้อพรรคส้ม ถึงเวลาที่ต้องก้าวออกจากเซฟโซน ลาออกราชการรับใช้บ้านเกิด มั่นใจหาดใหญ่ต้องดีกว่านี้
'วิโรจน์ ลักขณาอดิศร' วางมือ ตัดสินใจไม่ลงสมัครเลือกตั้ง 69
"วิโรจน์" ตัดสินใจ ไม่ลงสมัคร สส. อีก 1 ราย ต่อจาก "เท่าพิภพ" ด้าน "โตโต้" ที่ประกาศไม่ลงเขต ล่าสุดลงสมัคร สส.ปาร์ตี้ลิสต์แทน
เพื่อไทยไม่หยุดประชานิยม พร้อมสานต่อดิจิทัลวอลเล็ต ยังค้างประชาชนอีก 20 ล้านคน
นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีพรรคเพื่อไทย ให้สัมภาษณ์ถึงการประชุมเพื่อวางแผนยุทธศาสตร์ในการเตรียมความพร้อมเลือกตั้ง ว่า เรามีการประชุมกันอย่างต่อเนื่อง ซึ่งมีการหารือเกี่ยวกับเรื่องการเลือกตั้ง รวมถึงมีการประเมินกระแสหลังจากที่มีการเปิดตัวแคนดิเดตนายกฯ ของพรรคทั้ง 3 คนแล้วว่าเป็นอย่างไร
นับหนึ่งสนามเลือกตั้ง 69 สำรวจบ้านเล็ก-บ้านใหญ่ บนแผนที่ภูมิใจไทย
หลังคณะกรรมการการเลือกตั้งประกาศกำหนดวันเลือกตั้งทั่วไปในวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2569 การเมืองไทยเข้าสู่ช่วงเตรียมพร้อมอย่างเป็นทางการ

