ทันทีที่สหรัฐฯ ประกาศ “ระงับ” การเจรจาภาษีการค้ากับไทย สิ่งที่ควรเป็นการตั้งสติและประเมินสถานการณ์ กลับถูกดึงไปเป็นเรื่องการเมืองในพริบตา
เพื่อไทยเลือกหยิบเหตุการณ์ระดับชาติขึ้นมาใช้เป็นเวทีโจมตี “อนุทิน ชาญวีรกูล” โดยพุ่งเป้าไปที่คำพูดของนายกรัฐมนตรีเพียงไม่กี่ประโยค ราวกับว่าต้นตอของปัญหาทั้งหมดอยู่ที่คนเดียวและคำเดียว
จุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ หัวหน้าพรรค ขยับเป็นคนแรก โพสต์บทความใน X ผูกประเด็นว่า คำพูดของนายอนุทินทำให้ไทยเสียตำแหน่งเชิงยุทธศาสตร์ ทั้งที่รายละเอียดจากสหรัฐฯ ยังไม่ชัดพอจะสรุปเช่นนั้น แต่เพื่อไทยกลับเร่งออกตัวก่อนข้อมูลจะครบ
น้ำเสียงของเพื่อไทยเดินไปในทิศทางเดียวกันทั้งหมด คือทำให้ประชาชนเชื่อว่าถ้อยคำเดียวของผู้นำ ทำให้เศรษฐกิจระดับหลายล้านล้านบาทสั่นคลอน ทั้งที่พรรคนี้เองเคยเจอปัญหาถ้อยคำผู้นำในรัฐบาลของตัวเองมาก่อน
ฝั่งโฆษกพรรคก็โทษรัฐบาลว่าทำให้ไทยเสียพันธมิตร แต่ไม่แตะคำถามสำคัญว่า เมื่อเพื่อไทยเป็นรัฐบาล เคยบริหารสถานการณ์ได้กว่านี้หรือไม่ หรือจริง ๆ แล้วเคยพลาดไว้จนไม่กล้าหันกลับไปมอง
แรงสุดคือโพสต์ของ “สส.เดียร์-ขัตติยา“ ที่กดดันตรง ๆ ให้นายอนุทินพิจารณาตัวเองว่าเหมาะกับตำแหน่งหรือไม่ แม้ข้อเท็จจริงยังไม่ครบถ้วน
ท่าทีนี้สะท้อนความเร็วในการเมืองมากกว่าความรอบคอบ และทำให้การเมืองไทยวนกลับไปสู่ภาพเดิม ที่เสียงกล่าวหามักดังกว่าเนื้อหาจริงของปัญหา
ทั้งหมดจึงดูเป็นการฉวยสถานการณ์มากกว่าการตรวจสอบ ละเลยความจริงว่าเพื่อไทยเองมีประวัติเรื่องวุฒิภาวะผู้นำที่ทำให้ประเทศเสียจังหวะ และยังไม่เคยรับผิดชอบต่อถ้อยคำของตัวเองในวันที่ถืออำนาจเต็มมือ
สิ่งที่ทำให้การออกตัวแรงของเพื่อไทยย้อนมาชนตัวเอง คือความจริงว่าพรรคนี้เพิ่งผ่านวิกฤติภาพลักษณ์จาก “คลิปเสียงฮุน เซน”
คลิปที่ฝ่ายกัมพูชาบันทึกและปล่อยออกมา เผยให้เห็นบทสนทนาที่แพทองธารพูดอย่างอ่อนข้อชัดเจน จนถูกตั้งคำถามว่าผู้นำไทยมอบข้อได้เปรียบให้คู่กรณีโดยไม่ตั้งใจ
ในคลิปนั้น แพทองธารใช้ถ้อยคำที่ถูกมองว่าขาดวุฒิภาวะด้านการทูต ตั้งแต่ประโยคเชิงเอาใจอย่าง “ถ้ามีอะไรอยากให้จัดให้ได้เลย” ไปจนถึงการเรียกฮุน เซนว่า “อังเคิล” ในจังหวะที่สถานการณ์ตึงเครียด
เสียงวิจารณ์หนักขึ้น เมื่อแพทองธารพูดถึงกองทัพไทยในเชิงลบ โดยเฉพาะตอนกล่าวว่า แม่ทัพภาคที่สอง “อยู่ฝ่ายตรงข้ามกับเรา” ข้อความนี้ถูกมองว่าทำลายขวัญกำลังใจทหารในพื้นที่ และสะท้อนความคลาดเคลื่อนด้านภาวะผู้นำในจังหวะที่สถานการณ์ชายแดนตึงตัว
ดังนั้น เมื่อเพื่อไทยออกมาตั้งมาตรฐานใหม่ว่า “คำพูดนายกฯ ต้องรอบคอบทุกถ้อยคำ” ภาพที่ปรากฏกลับเหมือนพรรคกำลังลืมบาดแผลของตัวเอง ทั้งที่เหตุการณ์คลิปเสียงยังเป็นภาพจำของสังคมไทย
การหยิบประเด็นสหรัฐฯ ระงับเจรจามาขยายทันที โดยโยนต้นเหตุไปที่คำพูดของนายอนุทิน จึงถูกมองว่ามีน้ำหนักเชิงการเมืองมากกว่าเนื้อหาจริง เพราะเลือกพูดเฉพาะสิ่งที่ทำให้คู่แข่งเสียหาย โดยไม่แตะสิ่งที่ตัวเองทำไว้แม้แต่น้อย
ทั้งหมดนี้ทำให้สังคมตั้งคำถามว่า ก่อนจะเรียกร้อง “วุฒิภาวะผู้นำ” จากคนอื่น เพื่อไทยได้สำรวจรอยแผลของตัวเองแล้วหรือยัง หรือการเมืองไทยยังติดอยู่กับวังวนเดิม ที่เปลี่ยนตำแหน่ง แต่ไม่เคยเปลี่ยนมาตรฐาน
เมื่อต่อภาพทั้งหมดเข้าด้วยกัน จะเห็นว่าเพื่อไทยพยายามปั้นเรื่องให้ความผิดอยู่ที่นายอนุทินคนเดียว ทั้งที่ปมไทย-กัมพูชา และท่าทีของสหรัฐฯ เกี่ยวข้องกับหลายปัจจัยที่สั่งสมยาวนานตั้งแต่ยุคที่เพื่อไทยเป็นรัฐบาลเอง
แต่พรรคกลับเลือกหยิบเฉพาะคำพูดของผู้นำฝ่ายตรงข้ามมาโจมตี โดยไม่แตะโครงสร้างใหญ่ที่ตัวเองมีส่วนทำให้ซับซ้อนขึ้น จนภาพออกมาเหมือนพยายามลบอดีตของตัวเอง แทนที่จะยอมรับบทเรียนจากคลิปเสียงที่เพิ่งเกิดขึ้นไม่กี่เดือนก่อน
เหตุการณ์นั้นสะท้อนชัดว่าผู้นำเพื่อไทยในเวลานั้น ยังไม่พร้อมสำหรับวิกฤติชายแดน จนทำให้ฝั่งกัมพูชาใช้ช่องโหว่นั้นสื่อสารสู่เวทีนานาชาติได้ และประชาชนจำนวนไม่น้อยยังจำเรื่องนั้นได้ดี
ดังนั้น เมื่อเพื่อไทยโจมตีคนอื่นในสิ่งที่ตัวเองเคยทำ ความน่าเชื่อถือจึงลดลงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ประชาชนตั้งคำถามทันทีว่า หากถ้อยคำผู้นำสำคัญขนาดนั้น เหตุใดตอนที่ผู้นำของพรรคพูดพลาด จึงไม่ยอมรับตรงหน้า
ปัญหานี้สะท้อน “มาตรฐานสองชุด” ที่กลายเป็นโรคเรื้อรังของการเมืองไทย ฝ่ายตัวเองทำผิดก็ลดน้ำหนัก ฝ่ายคนอื่นทำผิดก็ขยายสุดแรง จนความร่วมมือในการแก้ปัญหาของประเทศหายไปทีละน้อย
ผลลัพธ์คือความเชื่อมั่นในระบบการเมืองลดลง เพราะประชาชนเห็นว่าทุกฝ่ายกำลังแข่งขันกันทำร้ายคู่แข่ง แทนที่จะหาทางออกให้ประเทศ และเมื่อเพื่อไทยใช้วิธีนี้ซ้ำอีกครั้ง เสียงที่ปล่อยออกมาก็ย้อนกลับมาทำลายตัวเองมากกว่าที่คิด
สิ่งที่เห็นจากเพื่อไทยครั้งนี้ ไม่ใช่แค่การโจมตีนายอนุทิน แต่คือวัฒนธรรมทางการเมืองที่เปลี่ยนท่าทีตามตำแหน่งที่ตัวเองยืน
ตอนถืออำนาจก็อธิบายข้อผิดพลาดว่า “เรื่องเล็ก” พอเป็นฝ่ายค้านก็ขยายเรื่องเดียวกันให้ใหญ่โต จนประชาชนมองว่าพรรคไม่มีหลักร่วมที่ยึดจริง
ปัญหานี้ไม่ได้เกิดกับเพื่อไทยพรรคเดียว แต่มันกลายเป็นภาพรวมของการเมืองไทย ฝ่ายใดอยู่ในอำนาจก็พูดอีกแบบ พอหมดอำนาจก็พูดอีกแบบ ไม่มีพรรคไหนกล้ายอมรับบทเรียนของตัวเองอย่างตรงไปตรงมา
เมื่อความสัมพันธ์ไทย-สหรัฐฯ ถูกดึงไปเป็นเครื่องมือทางการเมือง ความเชื่อมั่นของประชาชนจึงลดลงทันที คนเริ่มสงสัยว่าพรรคการเมืองต้องการแก้ปัญหา หรือเพียงต้องการชนะทางการเมืองเท่านั้น
ความเสียหายจึงไม่ได้เริ่มจากตัวนโยบาย แต่เริ่มจากความรู้สึกของประชาชน ที่เห็นว่าพรรคการเมืองต่างฝ่ายต่างเลือกหยิบเฉพาะประเด็นที่ตัวเองได้ประโยชน์ ปล่อยให้เรื่องสำคัญถูกกลบด้วยดรามา จนเนื้อหาจริงของปัญหาถูกดึงหายไปเรื่อย ๆ
ทั้งหมดนี้ไม่ได้ชี้ไปที่บุคคลใดบุคคลหนึ่ง แต่สะท้อนปัญหาโครงสร้างการเมืองไทยที่ไร้มาตรฐานร่วม เมื่อพรรคการเมืองเปลี่ยนน้ำเสียงตามตำแหน่งที่ตัวเองยืน ประเทศก็ต้องเดินวนอยู่กับปัญหาเดิมซ้ำแล้วซ้ำเล่า ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเพื่อนบ้านหรือคู่ค้าระดับโลกอย่างสหรัฐฯ
การที่เพื่อไทยรีบโจมตีนายอนุทิน โดยไม่ยอมรับบทเรียนจากคลิปเสียงในยุคของตัวเอง ทำให้ภาพรวมไม่ได้สะท้อนถึงความแข็งแรง แต่สะท้อนถึงความไม่สม่ำเสมอที่ประชาชนจับได้ทันที
เพราะเหตุการณ์เมื่อไม่กี่เดือนก่อน ยังคงเป็นคำถามค้างคา ที่พรรคยังไม่เคยตอบอย่างตรงไปตรงมา
ถ้าพรรคการเมืองยังใช้เหตุการณ์ระดับประเทศ เป็นเพียงอาวุธเพื่อตีคู่แข่ง ความเสียหายก็จะย้อนกลับมาที่สังคมทั้งหมด เพราะสิ่งที่ประชาชนได้ในท้ายที่สุด คือความไม่เชื่อใจในระบบ และความรู้สึกว่าประเทศนี้ ไม่มีใครยอมรับข้อเท็จจริงของตัวเองได้
นี่คือเหตุผลว่าทำไมประเด็นเล็ก ๆ อย่างถ้อยคำของผู้นำ จึงขยายจนกระทบทั้งการทูตและความเชื่อมั่นในบ้านเรา และทำไมเสียงที่เพื่อไทยใช้โจมตีวันนี้ จึงย้อนกลับมาหาพรรคอย่างรวดเร็ว เพราะสิ่งที่พูด ไม่สอดคล้องกับสิ่งที่เคยทำ และไม่ว่าจะอธิบายอย่างไร ก็ปิดไม่มิด.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
รัฐบาลยกเว้น 'ค่าไฟ' พ.ย. 420 ล้าน เยียวยาน้ำท่วมสงขลา
นายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า การเยียวยาและฟื้นฟูพื้นที่ประสบอุทกภัย โดยเฉพาะในจังหวัดสงขลา เดินหน้าไปอย่างมาก โดยปัจจุบันสามารถนำประชาชนกลับบ้านไปได้กว่า 90%
'อนุทิน' สวน พท. ใครทำงานห่วย ยุครัฐบาลนิด-อิ๊งค์ ติดโพลอันดับ 2
'อนุทิน' สวนเพื่อไทย ถ้าทำงานห่วย คนตั้งก็แย่สิ ยุครัฐบาล 'อิ๊งค์ - เศรษฐา' ผลโพลชี้ชัดนั่งแท่นอันดับ 2 ทิ้งห่าง พท. หัวเราะให้คะแนนตัวเอง 'เดี๋ยวจะหาว่าคุย'
นายกฯ ประธานพิธีเจริญพระพุทธมนต์ ทำบุญตักบาตร ถวายพระราชกุศล 'ร.9'
นายกฯ เป็นประธานในพิธีเจริญพระพุทธมนต์ ทำบุญตักบาตรถวายพระราชกุศล เนื่องในวันคล้ายวันพระบรมราชสมภพ 'ในหลวง ร.9' วันชาติ และวันพ่อแห่งชาติ 5 ธ.ค. 2568
‘อนุทิน’ เซ็นคำสั่งแต่งตั้ง ข้าราชการการเมือง 1 ราย
ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่คำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ ๔๔๕/๒๕๖๘ เรื่อง แต่งตั้งข้าราชการการเมือง
หยิกเล็บเจ็บเนื้อ! 'ภท.-พท.' โต้เดือดพัวพัน 'เบน สมิธ'
นายเทพไท เสนพงศ์ อดีต สส.นครศรีธรรมราช โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กว่า กรณีเบน สมิธ : ภูมิใจไทย-เพื่อไทย หยิกเล็บเจ็บเนื้อ
รู้จักน้อยไปจริง! กระทุ้ง 'อนุทิน' เผยตัวตนให้มากขึ้น
นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ อดีต สส.พัทลุง พรรคประชาธิปัตย์ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กว่า หรือเรารู้จักท่านนายกรัฐมนตรีน้อยไปจริงๆ


