‘ต่าย อรทัย’จากนักร้องดังสู่แม่ค้าออนไลน์ พร้อมเผยความรักสุดช้ำ!


เพิ่มเพื่อน    

 

          นักร้องลูกทุ่งชื่อดัง ต่าย อรทัย เปิดใจครั้งแรกถึงความรักสุดช้ำที่ทำให้เข็ดถึงขั้นปิดตายเลยหรือเปล่า พร้อมเผยวิกฤตโควิด-19 ทำพิษต้องผันตัวเองมาเป็นแม่ค้าไลฟ์สดขายของออนไลน์ ผ่านทางรายการ คุยแซ่บshow ทางช่อง วัน31 ที่มีพีเค ปิยะวัฒน์ และชมพู่ ก่อนบ่าย เป็นพิธีกรดำเนินรายการ

 

ช่วงโควิดลำบากไหม?

ต่าย : ตอบได้ตรงๆ เหมือนทุกคนเลย ลำบาก เพราะว่าตั้งแต่รอบแรกแล้ว เราก็หวังว่าปลายปี ต้นปีเราจะเริ่มมาลุยงานกันต่อ ลุยต้อได้แค่ 2 เดือน ก็กลับมาเหมือนเดิม ยังไม่ได้เก็บค่าทำบ้านคืนเลย

 

ทำบ้านด้วย?

ต่าย : เมื่อต้นปีก่อนที่โควิดจะมา เราเริ่มรีโนเวทบ้านไปแล้ว แล้วเราก็หยุดไม่ได้ เพราะสัญญาต่างๆ มันลงไปแล้ว

 

ทุกวันนี้ยังต้องจ่ายค่ารีโนเวทบ้านอยู่ไหม?

ต่าย : บ้านมันเหมือนบาน ตอนนี้ยังไม่จบเลย

 

นอกจากทำบ้าน งานไม่มีแล้ว ลูกน้องก็ต้องแบกภาระอีก?

ต่าย : ใช่ค่ะ จริงๆ เราก็เป็นบริษัทเล็กๆ บริษัท ดอกหญ้า เราไม่ได้รับผิดชอบเงินเดือนของแดนซ์เซอร์ คือแดนซ์เซอร์จะเป็นฟรีแลนซ์แต่ไหน แต่ไรอยู่แล้ว ก็จะมีแม่บ้านก็เป็นญาติๆ กัน น้องชายอีก 2 คนขับรถ รถชุดกับรถตู้ให้ต่าย แล้วมีพี่เจี๊ยบ แล้วน้องสาวอีกคนนึง ก็ประมาณ 6 คน

 

เดือนนึงเท่าไหร่ สำหรับค่าตัว 2 คนนี้?

ต่าย : อันนี้ยังไม่รวมพ่อกับแม่ และค่าใช้จ่ายในบ้าน ตายตัวเลย อยู่ที่ 2 แสนต่อเดือน เราก็พยายามเซฟ เรียกทุกคนมาคุยว่าเราขอลดได้ไหม ทุกคนยินดีมากเพื่อที่จะประคองทุกอย่างไปด้วยกัน คือในบ้านเราทานข้าว แล้วไปซื้อกับข้าวที่ตลาด ก็ทำกินเป็นประจำอยู่แล้ว ไม่ค่อยได้ออกไปซื้อ หรือนั่งทานข้างนอก

 

จุดนี้ถือว่าลำบากที่สุดในชีวิตเท่าที่เคยมีมาไหม?

ต่าย : ลำบากไหม สุดๆ นะ เพราะว่าเราไม่รู้ว่ามันจะไปจบที่ตรงไหน เราไม่เห็นเลยว่าปลายอุโมงค์มันอยู่ที่ตรงไหน เรารู้ว่าเรามีเป้าหมายเดียวกัน ทุกคนทำทุกอย่างตามมาตรการ แล้วก็ทำมาจนสุดแล้ว จนตั้งคำถามกับตัวเองว่ามันมีอะไรอีกไหมที่เราต้องช่วยกัน ถ้าไปอีกสัก 1-2 ปี ถ้าเรายังไม่มีงานคิดว่าสายป่านที่เรามีมันต้องขาดแน่นอนเลย

 

ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ จะรีโนเวทบ้านไหม?

ต่าย : ตอนนั้นหลังคารั่ว ทุกครั้งที่ฝนตกเราต้องวิ่งเอาถังไปรอง จริงๆ มันตัดสินใจมา 4-5 ปี ถือเป็นการตัดสินใจครั้งใหญ่ในชีวิตเลย ถึงได้ตัดสินใจทำ ทีนี้ถ้าเรารู้ว่ามีโควิดอาจจะคิดว่าเปลี่ยนแค่หลังคาก็พอ

 

ค่ารีโนเวทเท่าไหร่?

ต่าย : มันก็หลักล้านอยู่แล้ว แต่ขอไม่พูดตัวเลขว่ากี่ล้าน

 

ตอนนี้เปลี่ยนอาชีพไลน์สดขายของ ขายอะไรบ้าง?

ต่าย : เริ่มแรกเลยขายเสื้อผ้าของตัวเองนี่แหละ เสื้อผ้าการทำงาน แล้วเสื้อผ้าที่เราใส่ ที่ไม่ค่อยได้ใส่แล้วก็รื้อออกมาไลฟ์แล้วเอาเงินเข้ากองทุน เมื่อปีที่แล้วที่เราเจอโควิดครั้งแรก มันก็ได้นี่นาแล้วทำไมเีาไม่ขายเลยล่ะ ก็หยุดเงินกองทุนพอแล้ว ในตู้ไม่มีเสื้อผ้าให้ขายแล้วก็เลยคิดกับน้องว่าเราเอาอันนี้มาขายไหม แล้วต่อเดือนจะต้องขายให้ได้เท่าไหร่มันถึงจะโคฟเวอร์ค่าใช้จ่ายของเรา ก็ทำกันมาปีกว่าแล้ว

 

ตอนนี้มีอะไรบ้าง?

ต่าย : ตอนแรกน้ำพริกกากหมูฝอย หยองกรอบ หยองนุ่ม ขายหมดเลย เราก็ขายแล้วดูตลาดไปเรื่อยๆ ว่าอะไรที่ขายดีที่สุด ก็เหลือแค่อย่างเดียว น้ำพริกกากหมูฝอย แล้วตอนนี้รับขนมปั้นขลิบปลากระพง อันนี้ก็จะตอบโจทย์คนไม่มีเวลา ก็จะไลฟ์ขายประมาณนี้

 

ต่ายเป็นคนขี้อาย แล้วไปรวบรวมความกล้ามาจากไหน จากนักร้องมาเป็นแม่ค้าขายของในเฟซบุ๊ก?

ต่าย : เราก็ไม่รู้ว่ากล้าไหม แต่ว่าสถานการณ์มันน่าจะบีบด้วย ตอนแรกเราแค่สนุกๆ อยากเอาเงินเข้ากองทุน แต่พอทำไป ทุกคนตอบรับดี เรารู้สึกสนุก มันน่าจะมาจากนี้ แล้วเราไปดูคนอื่นเวลาเขาไลฟ์ เขาทำยังไงมันถึงจะเป็นจุดเด่นแล้วก็ไม่ต้องไปเรียนแบบคนอื่น เพราะเราทำไม่ได้

 

เงินที่ได้มาจากการไลฟ์ พอเลี้ยงลูกน้องไหม?

ต่าย : เกือบจะพอต่อเดือน แต่ตอนนี้ยังไม่กล้า เก็บไว้ก่อน พยายามหาจุดอ่อนอยู่ว่ามันตรงไหนที่เพิ่มรายได้ให้เรามากกว่านี้ มันเป็นต้นทุนหรือเปล่า หรือว่ากำไร

 

มันเป็นสิ่งที่ต่ายไม่เคยทำมาก่อนในชีวิต?

ต่าย : ไม่เคยเลย จริงๆ เราอยู่ในเรื่องการขายไหม เราอยู่ แต่เราไม่ได้สต็อกสินค้า การขายขายจากตัวเรา เราขายเสียง เราขายรูปแบบการโชว์

 

เพราะวิกฤตอันนี้ทำให้เรามีอีกหนึ่งความสามารถ?

ต่าย : น่าจะได้เลย จนทำให้เรารู้สึกว่าอาชีพการร้องเพลง อาจจะเป็นอาชีพเสริมไปแล้วหรือเปล่าในอนาคต บางทีเราไม่รู้เลยโควิดทำให้เราเป็นอย่างนี้ คือคิดไว้ 2 ทางเลย อะไรก็เกิดขึ้นได้

 

แต่มันก็มีคำครหา พี่ต่ายปกติไม่พูด แต่ยอมมาพูดขายของแบบนี้ตกอับหรือเปล่า จะบอกอะไรกับคนที่คิดแลบนี้บ้าง?

ต่าย : เราห้ามไม่ได้เลย ความคิดของแต่ละคนมันเยอะกว่านี้ เราไม่อยากไปโฟกัสที่ตรงนั้น เพราะว่าชีวิตเราไม่ได้มีแค่เราคนเดียว เรามีพ่อ แม่ เพื่อนพ้อง น้องพี่ แล้วก็ครอบครัวของเราอีก ซึ่งถ้าเราลำบากใครจะช่วยเหลือเราถ้าเราไม่ช่วยเหลือตัวเองก่อน สู้ในทุกวันให้ได้

 

รายได้ส่วนนึงที่ได้จากตรงนี้ก็เอาไปช่วยโรงพยาบาลสนามด้วย?

ต่าย : เริ่มตอนแรกเลยคือโรงพยาบาลสนามที่หนองจอก ล่าสุดก็ไปที่ศูนย์คุ้มครองคนไร้ที่พึ่ง ที่ธัญบุรี อันนี้ส่วนนึงจากที่ตัวเองขายก็ไม่ได้เยอะมาก แต่ว่ามีเงินกองทุนที่แฟนเพลงเคยร่วมกิจกรรมเข้ามาแล้วเราเก็บไว้ แล้วเราก็แบ่งออกมา เขาขาดเหลืออะไรเราก็โทรไปถามก่อน เราก็ซื้อแค่จำนวนนั้นไปมอบ ทีนี้เมื่อ 2 วันที่แล้ว เราได้เห็นพี่ๆ เพื่อนๆ โพสต์แล้วเรารู้สึกตกใจ บ้านเราติดชายแดนแล้วไม่คิดว่ามันจะแพร่ไปขนาดนั้น คิดว่าในตัวจังหวัดอุบลฯก็พอแล้ว คิดถึงพ่อกับแม่มาก เราไม่ได้กอดพ่อกับแม่มานานมาก แล้วเราเลยถามไปว่าทำตรงไหน เราไม่รู้ว่าเราจะช่วยได้ทั้งหมดหรือเปล่า แต่เราจะช่วยเป็นสิ่อกลางให้  มีเงินกองทุนอีกก้อนสุดท้าย แต่มันไม่พอ ก็เลยโปรโมทไปในแฟนเพจ จะเปิดรับบริจาคถึงสิ้นเดือนนี้แล้วจะซื้อข้าวของไปมอบ

 

พี่ต่ายให้กำลังใจคนที่ประสบปัญหาโควิดในช่วงนี้หน่อย?

ต่าย : เป้าหมายเดียวกันเลยค่ะทุกคน ตอนนี้เราอาจจะพูดลำบาก แต่อยากให้ทุกคนที่ยังรอดปลอดภัยอยู่ ขอให้ทุกคนดูแลตัวเองให้แข็งแรง และเข้มแข็งในสถานการณ์นี้นะคะ เชื่อว่าสิ่งที่เรามองจุดเดียวกันจะต้องไปถึงวันนั้นให้ได้ แต่ว่าวันนี้ทุกคนต้องแข็งแรงไว้ก่อน ขอเป็นกำลังใจให้สำหรับทุกครอบครัวเลย

 

 

ต้นปีโพสต์ภาพกระต่ายมีน้ำตาเกิดอะไรขึ้น?

ต่าย : ก็มันเป็นอะไรที่เกิดขึ้นได้กับทุกคน ก็คือเลิกกับแฟน ตรงๆ เลย  เราก็รู้สึกว่าคนนี้แหละ เราก็คิดว่าเราดูดีแล้ว รู้สึกมั่นใจ ด้วยความที่ฟิลมันเป็นเพื่อน คือเข้าใจมุมความรู้สึกทุกอย่าง เราไม่คิดว่าเราจะไปเห็นในสิ่งที่เราไม่คาดคิดมาก่อน

 

เกิดอะไรขึ้น?

ต่าย : เราคิดว่าเราดูดีแล้ว แต่ด้วยความที่เราไม่ตาม ไม่ไปสืบดูหรืออะไรให้รู้ มุมนี้ไม่อยากจะโทษใคร เพราะคิดว่าต่างคนต่างต้องมีเหตุผลของใครของมัน ของต่ายเองคิดว่าเราไม่ไปยุ่งเรื่องส่วนตัวอะไรมากมาย เราคิดว่ามันดีที่สุดแล้วสำหรับคนเป็นแฟน แต่ว่าการที่เราสบายเกินไป เราอาจจะไม่ได้เห็นข้อเท็จจริง

 

ที่เราบอกว่าเราไม่ชอบตาม ไม่ชอบสืบ แต่สิ่งที่เรารู้มาคืออะไร?

ต่าย : ก็เห็นในสื่อ คือปีใหม่พอดี แฟนของเขาโพสต์ว่าตื่นได้แล้ว กินเยอะแล้ว ฉลองหนักไปอะไรอย่างนี้

 

แฟนของเขา แล้วเราก็แฟนไม่ใช่เหรอ?

ต่าย : ใช่ค่ะ ก็เลยคิดว่าต่างคนต่างมีเหตุผล แต่ต่ายก็คิดว่าโอเค เราเห็นภาพนี้แล้ว มันแค่ไปต่อด้วยกันไม่ได้ เชื่อว่าหลายคู่ถ้าเราเจอเหตุการณ์แบบนี้เราน่าจะไปด้วยกันได้ยาก ก็เลยถอยดีกว่า ทำไมถึงโพสต์ เราอยากสร้างเดตไลน์ให้กับตัวเอง จบแล้วเราจะเริ่มต้นใหม่ เราจะต้องเข้มแข็งใหม่

 

แล้วเขาตามไหม?

ต่าย : ไม่แน่ใจว่าตามไหม แต่มีแว่วๆ กับพี่ที่สนิท

 

แสดงว่าตลอด 2 ปีกว่าเราคิดว่าเราเป็นคนเดียวในชีวิตเขา?

ต่าย : ประมาณนั้น เราก็รู้สึกมั่นใจ เราอาจจะมีเคลือบแคลงใจ แต่มันเป็นมุมของผู้ชายอาจจะมีเหตุผล เราก็คิดว่าคงเป็นเรื่องอื่น ไม่คิดว่าจะเป็นเรื่องนี้

 

ตอนนั้นความรู้สึกของเราเสียใจหรือเสียดาย?

ต่าย : ไม่ได้เสียดายขนาดนั่น คือเสียใจสุดๆ เพราะเราคิดว่าใช่แล้ว เราไม่ใช่เด็กๆ เราก็คุยกันด้วยเหตุผลและความรู้สึกที่มันมีให้กัน มันไม่ได้ลุ่มหลง มันเป็นเรื่องที่เราวางอนาคต คือคุยกันไม่ใช่คุยกันเล่นๆ ค่อนข้างจริงจัง เราเสียใจ การให้กับการรับมันไม่เท่ากัน เลยมีความรู้สึกมันไปต่อด้วยกันยาก

 

รู้สึกว่าต่ายยังทำใจไม่ได้?

ต่าย : คือไม่อยากโกหกทั้งตัวเองและคนอื่น ถ้าเรามีโอกาสได้พูด เราจะไม่พูดเรื่อยเปื่อยอยู่แล้ว อย่างน้อยเราได้ระบายในสิ่งที่เราทุกข์ มันจะช่วยเยียวยาเราได้ส่วนนึงไม่โกหก วันไหนมี่รู้สึกว่าคิดถึงก็บอกว่าคิดถึง วันไหนแย่ก็คือแย่ คืออยู่กับตัวเองให้ได้สุดๆ ไปเลย ก็ทำให้เราเข้มแข็งมาจนถึงตอนนี้ได้ ก็เชื่อว่าการที่เราไม่โกหกความรู้สึกตัวเอง

 

ตอนที่รู้ความจริงมันจุกอก เราจมกับตรงนั้นเยอะไหม นานไหม?

ต่าย : มันจมทุกวันนะ แต่เราอยากออกมาจากความรู้สึกที่มันทุกข์ให้ได้ คือรักตัวเองอยู่แล้ว ไม่เคยคิดที่จะทำร้ายตัวเองเลย มันแย่ก็คือแย่ ต้องนอนนะ ต้องกินข้าว ต้องตื่นมาแล้วต้องอาบน้ำ ต้องออกกำลังกาย ต้องดูแลตัวเอง ต้องหากิจกรรมทำ อย่างน้อยเราก็ไม่ได้จมกับความรู้สึกนั้นตลอดเวลา กลับมาตอนกลางคืนมีนอนร้องไห้ไหม ร้อง ก็เราจริงใจ จริงจัง ถ้ามันเจ็บแล้วไม่ร้องไห้ ฟูมฟาย คงไม่ใช่คน ก็บอกตัวเองแบบนี้ เอาให้มันสุดๆ ไปเลย

 

ตัดได้ไม่ร้อยเปอร์เซ็นแบบนี้ พี่ตายมีไปส่อง ไปมองบ้างไหม?

ต่าย : ถ้าบอกว่าไม่เลยก็โกหกตัวเองอีก มีค่ะ แต่พยายามไม่ เพราะว่าเราตัดสินใจแล้ว พยายามบอกตัวเองบ่อยๆ ใช้ชีวิตของตัวเองให้ดี พยายามตั้งเป้าหมายของตัวเองให้ชัดเจนว่าเราอยากเจอคนที่ชัดเจน อยากเจอคนที่จริงมจกับเราจริงๆ

 

แสดงว่าจากวันนั้นที่เราตัดแล้ว ไม่เคยเจอเขาเลย?

ต่าย : ไม่เคยเจอเลย ไม่เคยได้คุยเลย เพราะว่าตัวเองคือตัดเลย ไลน์บล็อก มือถืออะไรก็นี่หมดเลย แต่ถ้าจะติดต่อมาถามว่าในโลกใบนี้มันทำยากไหม มันไม่ยากหรอก แต่ว่าตั้งแต่วันนั้นมาก็ไม่ได้คุย

 

ผ่านมา 6-7 เดือนแล้ว ให้อภัยเขาได้ยัง?

ต่าย : เอาจริงๆ ไม่โกรธนะ คนทุกคนต้องมีชีวิต มีความคิด มีเหตุผลเป็นของตัวเอง แสดงว่าเขาต้องมีอะไรบางอย่างแหละ แต่ของเราก็มีเหตุผลของเราว่าเราไปไม่ได้ แค่นั้นเองแล้วถอยออกมาเริ่มต้นใหม่

 

ในมุมของพี่ต่าย อะไรที่ทำให้ลุกขึ้นมาได้ไว แล้วเข้มแข็งได้ไว มีกำลังใจตรงไหน?

ต่าย : คือตัวเองด้วย คือชีวิตเราก้าวมาถึงขนาดนี้ ความรักสำคัญไหม สำคัญ เพราะว่าเป็นแรงผลักให้ชีวิตเรา มันเป็นหระบวนการอีกกระบวนการนึงที่ช่วยนำพาให้เราไปได้ในหลายๆ เรื่อง ไม่ใช่ทำงานหรือมีชีวิตอยู่ อาจจะทำแค่งานหรือความทุ่มเทอย่างเดียว คือความรักมันก็เป็นแรงผลักอย่างนึง แล้วก็พ่อ แม่ พี่น้องทุกคน ไม่ว่าอะไรเลย ทุกคนถามทุกวันว่านอนหลับไหม เป็นไงบ้าง กินข้าวได้หรือเปล่า เขาก็เสียใจกับเรา แต่เขาไม่ได้มานั่งฟังเราทุกเรื่อง แต่ว่าเขาถาม ไม่ใช่แค่นี้นะ ยังมีอีกหลายคนที่รักเรา เราก็ต้องรักตัวเองอย่าทำให้จม

 

ความรักครั้งนี้ถือว่าเจ็บสุดไหม?

ต่าย : สุดค่ะ

 

เขาให้บทเรียนอะไรเราบ้าง?

ต่าย : ให้ค่ะ หวังว่าหลายๆ คนเจอความรักอยู่ อาจจะได้ประโยชน์อะไรจากสิ่งที่เล่าให้ฟัง เราคิดว่าดูดีแล้ว มันอาจจะยังดูไม่ดีมากพอ ถ้าโอกาสครั้งหน้าเราได้เจอใคร หรือเราอยากจะเรียนรู้ใคร มันอาจจะมี 5-10 เราอาจจะรู้แค่ 5 ก็ได้ เราไม่ไปถึง 10 ที่มันควรจะเป็น มันทำให้เราเจอใครที่มาทักเราหรือพูดกับเรา แล้วมันมีกลิ่นอายที่จะไปแบบนั้น เราก็จะดูให้ดีมากขึ้น ตั้งใจ ใส่ใจอารมณ์ความรู้สึกตรงนั้นมากขึ้น

 

ตอนนี้เป็นสาวโสด 6-7 เดือนแล้ว เริ่มเปิดใจหรือยัง?

ต่าย : ก็ไม่ได้ปิดนะคะ แต่ว่าอย่างที่บอกมันเจ็บสุดๆ แล้ว เราอยากดูแลตัวเอง โฟกัสกับเรื่องโควิดเนี่ยเราจะอยู่กันรอดได้ยังไงอันนี้มากกว่า

 

แล้วถ้ามีผู้ชายผ่านเข้ามา สิ่งแรกที่เราจะโฟกัสผู้ชายคนนี้คืออะไร?

ต่าย : ความชัดเจนค่ะ แต่ความชัดเจนทุกวันนี้บางทีพูดแค่ปาก หรือตามด้วยสื่อมันก็หลอกลวงกันได้ เรียนรู้จากเหตุการณ์นี้ค่อนข้างเยอะมากๆ

 

จากนี้เราต้องสกรีนคนที่เข้ามาเยอะขึ้นไหม?

ต่าย : น่าจะต้องมากขึ้นกว่าเดิมหลายเท่า

 

ณ ตอนนี้เราต้องดูอะไรบ้าง?

ต่าย : คงต้องดูที่สถานะก่อนแหละ แล้วดูนิสัย ทัศนคติต่างๆ องค์รวมต่างๆ การทำงาน ความคิดต่างๆ ทุกอย่าง มันค่อยๆ ไป คิดว่ามันคงไม่ตอบโจทย์เราแค่เรื่องสองเรื่อง ในปลายทางเราอยากใช้ชีวิตร่วมกับคนที่ตรงกับเราในทุกเรื่อง มันก็ต้องมีทุกเรื่องที่ไปด้วยกันได้

 

อยากมีลูกไหม?

ต่าย : อยากมี แต่คิดว่าจะทันไหม ไม่น่าจะทันแล้ว

 

แล้วสเปคภายนอกมีไหม?

ต่าย : เป็นคนไม่เคยตั้งสเปคอะไรเลย ที่เราเลิกไปเราก็ไม่ได้ตั้งสเปคว่าคุณต้องสูงหล่อ รวย ไม่เคย

 

 


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"