‘ประชาสังคม’ ในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข


เพิ่มเพื่อน    

จากความพยายามผลักดัน ‘ร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมและพัฒนาองค์กรภาคประชาสังคม พ.ศ. ....’ หรือ ‘ร่างฯองค์กรภาคประชาสังคม’ ของเอ็นจีโอและประชาสังคมจำนวนหนึ่ง ทำให้ได้ทบทวนความรู้สึกนึกคิดว่า ที่ทางนิยาม ความหมายของ ‘ประชาสังคม’ ในสังคมไทยเป็นอย่างไรบ้างแล้วในปัจจุบันที่คาดว่าจะส่งผลต่อไปในอนาคต
ในความแตกต่างและหลากหลายของสภาพแวดล้อมของสังคมและการเมืองไทยได้ก่อให้เกิดประชาสังคมที่แตกต่างและหลากหลายประเภทอยู่ร่วมกัน และแทบเป็นไปไม่ได้เลยที่ความแตกต่างและหลากหลายของสภาพแวดล้อมของสังคมและการเมืองไทยจะทำให้เกิดประชาสังคมเพียงประเภทเดียวขึ้นมาโดยไม่สามารถก่อให้เกิดประชาสังคมประเภทอื่นๆ ได้  ถ้าสังคมและการเมืองไทยมีประชาสังคมอยู่เพียงประเภทเดียวก็ไม่น่าจะเรียกองคาพยพนั้นว่าเป็นประชาสังคมได้ ซึ่งก็คล้ายๆ กับความหลากหลายทางชีวภาพที่เป็นปัจจัยสำคัญประการหนึ่งของวิวัฒนาการทางธรรมชาติ ประชาสังคมที่แตกต่างและหลากหลายประเภทก็เป็นปัจจัยสำคัญประการหนึ่งของวิวัฒนาการทางสังคมและการเมืองไทย
ในความแตกต่างและหลากหลายประเภทนั้นก็มีทั้งความแตกต่างและหลากหลายใน ‘แนวราบ’ และ ‘ซ้อนเป็นชั้น’ คละเคล้าอยู่ร่วมกัน ซึ่งก็มีทั้งรูปแบบ แนวทาง ความชอบ  ความถนัด วิธีการและอุดมการณ์เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดความแตกต่างและหลากหลายในแนวราบขึ้น เช่น บางประชาสังคมก็ทำงานหรือสนใจเข้าร่วมกิจกรรมเฉพาะในประเด็นที่เกี่ยวกับเด็ก เยาวชน นักเรียนนักศึกษาในระบบและนอกระบบ คนจนเมือง คนจนชนบท ผู้ยากไร้ คนไร้บ้าน ผู้ด้อยโอกาส กลุ่มเปราะบาง คนชรา คนพิการ ผู้หญิง กลุ่มความหลากหลายทางเพศ ฯลฯ  
บ้างก็ทำงานหรือสนใจเข้าร่วมกิจกรรมเฉพาะในประเด็นด้านสิ่งแวดล้อม ความหลากหลายทางชีวภาพ ระบบนิเวศ  ภาวะโลกร้อน บ้างก็ทำงานหรือสนใจเข้าร่วมกิจกรรมเฉพาะในประเด็นด้านสิทธิผู้บริโภค บ้างก็ทำงานหรือสนใจเข้าร่วมกิจกรรมเฉพาะในประเด็นที่เกี่ยวกับสวัสดิการสังคม บ้างก็ทำงานหรือสนใจเข้าร่วมกิจกรรมเฉพาะในประเด็นที่เกี่ยวกับสังคมสงเคราะห์ บ้างก็ทำงานหรือสนใจเข้าร่วมกิจกรรมเฉพาะในประเด็นนโยบายสาธารณะ บ้างก็ทำงานหรือสนใจเข้าร่วมกิจกรรมเฉพาะในประเด็นการพึ่งพาตนเองทางเศรษฐกิจในระดับบุคคล ครอบครัวและชุมชนท้องถิ่น เป็นต้น
ในส่วนของความแตกต่างและหลากหลายที่ซ้อนเป็นชั้นนั้น เมื่อมองในแง่ของความแตกต่างและหลากหลายในแนวราบด้วยกันเอง จะเห็นได้ว่าประชาสังคมที่ทำงานหรือสนใจเข้าร่วมกิจกรรมเฉพาะในประเด็นนั้นๆ ทั้งในระดับกลุ่ม/องค์กรหรือตัวบุคคลก็อาจมีความสนใจทำงานหรือเข้าร่วมกิจกรรมในประเด็นอื่นๆ ด้วย และเมื่อมองในแง่ของความสัมพันธ์เชิงอำนาจและความคิดทางการเมืองแล้ว ได้ทำให้ประชาสังคมที่แตกต่างและหลากหลายในแนวราบ ไม่ว่าจะทำงานหรือสนใจเข้าร่วมกิจกรรมเฉพาะในประเด็นเดียวกันหรือต่างประเด็นกันหรือทับซ้อนกัน  
ทั้งในระดับกลุ่ม/องค์กรหรือตัวบุคคล เลือกที่จะสังกัดกลุ่มก้อนที่เกี่ยวกับความสัมพันธ์เชิงอำนาจและความคิดทางการเมืองแตกต่างกันไป เช่น ประชาสังคมที่แตกต่างและหลากหลายในแนวราบเหล่านั้นอาจชอบทำงานหรือสนใจเข้าร่วมกิจกรรมแบบเป็นหุ้นส่วนกับรัฐ หรือแบบไม่เป็นหุ้นส่วนกับรัฐ (ยิ่งถ้าเอาความเป็น/ไม่เป็นหุ้นส่วนกับภาคธุรกิจเอกชนมาร่วมพิจารณาด้วย (เนื่องจากรัฐกับทุนไม่สามารถแยกขาดจากกันได้อย่างชัดเจน) ยิ่งมีความแตกต่างและหลากหลายมากขึ้น  เช่น ประชาสังคมแบบเป็นหุ้นส่วนกับรัฐและภาคธุรกิจเอกชน  หรือแบบเป็นหุ้นส่วนกับรัฐแต่ไม่เป็นหุ้นส่วนกับภาคธุรกิจเอกชน หรือแบบเป็นหุ้นส่วนกับภาคธุรกิจเอกชนแต่ไม่เป็นหุ้นส่วนกับรัฐ หรือแบบไม่เป็นหุ้นส่วนทั้งกับรัฐและภาคธุรกิจเอกชน),  
หรือประชาสังคมที่แตกต่างและหลากหลายในแนวราบ  ไม่ว่าจะทำงานหรือสนใจเข้าร่วมกิจกรรมเฉพาะในประเด็นเดียวกันหรือต่างประเด็นกันหรือทับซ้อนกัน ทั้งในระดับกลุ่ม/องค์กรหรือตัวบุคคล อาจเลือกอย่างชัดเจนว่ามีความคิดและจุดยืนทางการเมืองอย่างไร เช่น แบบประชาธิปไตย หรือแบบเผด็จการอำนาจนิยม หรือแบบอื่นๆ เป็นต้น
แต่ประชาสังคมที่เกิดขึ้นจากร่างฯ องค์กรภาคประชาสังคมมีแนวทางชัดเจนที่จะรวบรวมประชาสังคมที่มีความแตกต่างและหลากหลายในแนวราบให้ยังคงความแตกต่างและหลากหลายในแนวราบอยู่ได้ แต่ขจัดความแตกต่างและหลากหลายที่ซ้อนเป็นชั้นในแง่ความสัมพันธ์เชิงอำนาจและความคิดทางการเมืองให้เป็นประชาสังคมที่มีความสัมพันธ์เชิงอำนาจและความคิดทางการเมืองประเภทเดียว นั่นคือประชาสังคมแบบที่ต้องเป็นหุ้นส่วนกับรัฐเพื่อขับเคลื่อนประเทศตามที่กำหนดในยุทธศาสตร์ชาติและแผนการปฏิรูปประเทศและอยู่ในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
จากข้อสังเกต ธรรมชาติอย่างหนึ่งของประชาสังคมไม่ว่าจะมีความแตกต่างและหลากหลายแบบใด ทั้งในแนวราบและซ้อนเป็นชั้น และไม่ว่าจะมีความคิดและจุดยืนทางการเมืองแบบใด คือการแลกเปลี่ยนและถกเถียงอย่างกว้างขวางและลึกซึ้ง ซึ่งบรรยากาศของสังคมและการเมืองที่เอื้อประโยชน์ที่สุดในการแลกเปลี่ยนและถกเถียงของประชาสังคมก็คือบรรยากาศแบบประชาธิปไตย แต่ร่างฯ องค์กรภาคประชาสังคมทั้งฉบับมีคำว่า ‘ประชาธิปไตย’ อยู่เพียงคำเดียว  ปรากฏอยู่ในบันทึกหลักการและเหตุผลประกอบร่างกฎหมายฉบับนี้ โดยมีสาระเพียงแค่ว่าเพื่อส่งเสริมให้ประชาชน/ประชาสังคมมีบทบาทและมีส่วนร่วมในทางการเมืองการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข  ส่วนประชาธิปไตยในความหมายอื่นๆ เช่น ประชาธิปไตยอันยึดโยงกับอำนาจอธิปไตยของประชาชน ที่มีความหมายกว้างขวางและลึกซึ้งกว่า ไม่ปรากฏอยู่ในร่างกฎหมายฉบับนี้สักคำเดียว
ถึงแม้ร่างกฎหมายฉบับนี้มิอาจทำลายความแตกต่างและหลากหลายของประชาสังคมประเภทอื่นๆ ลงไปได้ เนื่องจากเปิดให้ประชาสังคมประเภทอื่นๆ ที่ต้องการได้รับการสนับสนุนด้านเงินทุนและปัจจัยดำเนินงานอื่นๆ จากรัฐต้องจดทะเบียนตามที่กฎหมายกำหนดด้วยความสมัครใจ ไม่ได้บังคับและมีบทลงโทษประชาสังคมทุกประเภทเหมือนกับ ‘ร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการดำเนินงานขององค์กรที่ไม่แสวงหารายได้หรือกำไรมาแบ่งปันกัน พ.ศ. ....’ หรือ ‘ร่างฯ องค์กรไม่แสวงหารายได้’ หากไม่จดทะเบียนตามที่กฎหมายกำหนดก็ตาม หากร่างกฎหมายฉบับนี้ถูกประกาศใช้บังคับก็ยังคงมีประชาสังคมอยู่อีกจำนวนมากปฏิเสธการมีอยู่ของยุทธศาสตร์ชาติและแผนการปฏิรูปประเทศที่มีกระบวนการได้มาโดยไม่ชอบธรรมจากการทำรัฐประหาร โดยตั้งกรรมการและสมาชิกสภาปฏิรูปขึ้นมาจำนวนหนึ่ง ซึ่งไม่สามารถเป็นตัวแทนอันชอบธรรมเพราะไม่มีความยึดโยงใดๆ กับประชาชนเลย 
 ซึ่งผลที่ได้ออกมาก็ชัดเจนว่าเป็นการวางยุทธศาสตร์ชาติและแผนการปฏิรูปประเทศระยะยาวที่เอื้อประโยชน์ต่อนายทุนมากกว่าการพัฒนาคุณภาพชีวิตและสร้างความอยู่ดีมีสุขแก่ประชาชน และยังคงมีประชาสังคมอยู่อีกจำนวนมากที่ตั้งคำถามต่อระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขว่าเป็นระบอบที่เปิดโอกาสให้สถาบันกษัตริย์อยู่เหนือรัฐธรรมนูญมากเกินไป ซึ่งไม่สอดคล้องและเหมาะสมต่อความต้องการของประชาชนผู้เป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตยตัวจริงหรือไม่ อย่างไร แต่ร่างกฎหมายฉบับนี้ก็ทำให้ได้เห็นถึงวิสัยทัศน์ของเอ็นจีโอและประชาสังคมจำนวนหนึ่ง (โดยเฉพาะพวกที่อยู่วงในที่เป็นแกนหลักในการล็อบบี้และเจรจาปรึกษาหารือกับรัฐ) ที่ค่อนข้างล้าหลัง คับแคบ อนุรักษนิยมและตามไม่ทันความเป็นไปของประชาสังคมโลก ไม่สอดคล้องกับประสบการณ์ บทเรียนและวัยของชีวิตแต่ละคนที่สมควรให้คนรุ่นหลังเอาเป็นแบบอย่างเพราะได้ทำงานอย่างมุ่งมั่นเข้มแข็งเพื่อ ‘ลดอำนาจรัฐ เพิ่มอำนาจประชาชน’ มาตลอด 20–40 ปีที่ผ่านมา ซึ่งถือว่าเป็นข้อผิดพลาดสำคัญประการหนึ่งที่ได้สร้างบรรทัดฐานให้ประชาสังคมโลกทำความรู้จักประชาสังคมไทยผ่านเพียงแค่ร่างกฎหมายฉบับนี้
อีกหนึ่งข้อผิดพลาดที่เกี่ยวเนื่องตามประเด็นที่กล่าวมาคือการนิยาม ‘องค์กรภาคประชาสังคม’ ว่า “องค์กรที่ไม่ใช่หน่วยงานของรัฐหรือองค์กรธุรกิจ ไม่ว่าจะมีสถานะเป็นนิติบุคคลหรือไม่ก็ตาม จัดตั้งขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อประโยชน์ของชุมชน ท้องถิ่น สังคมหรือส่วนรวมโดยไม่แสวงหากําไรมาแบ่งปันกัน แต่ไม่รวมถึงนิติบุคคล องค์กรหรือคณะบุคคลที่จัดตั้งและดําเนินการเพื่อเอื้อประโยชน์ให้พรรคการเมือง องค์กรธุรกิจ หรือหน่วยงานของรัฐ ทั้งโดยทางตรงหรือโดยทางอ้อม  ทั้งนี้ ให้เป็นไปตามที่คณะกรรมการประกาศกำหนด” ซึ่งเป็นการนิยามโดยจัดวางตำแหน่งแห่งที่ของประชาสังคมไม่สอดคล้องและเหมาะสมตามบริบทสังคมและการเมืองไทยเลย กล่าวคือ เป็นนิยามที่เห็นแต่ 'ลักษณะ' แต่ไม่เห็น 'เนื้อหา' ว่าประชาสังคมนั้นทำงานหรือดำเนินกิจกรรมเกี่ยวกับอะไร หรืออาจจะเป็นนิยามที่เห็นแต่ความแตกต่างและหลากหลายในแนวระนาบ แต่ไม่เห็นความแตกต่างและหลากหลายที่ซ้อนเป็นชั้น ซึ่งเป็นการสร้างภาพลักษณ์ ตัวตนและวาทกรรมของประชาสังคมแบบไม่ครบถ้วนและบิดเบี้ยว  
หากร่างกฎหมายฉบับนี้ถูกประกาศบังคับใช้เป็นกฎหมายขึ้นมาก็อาจมีการนำนิยามองค์กรภาคประชาสังคมที่อยู่ในตัวบทกฎหมายถูกนำไปใช้ตีความ ให้ความหมายหรือทำความเข้าใจประชาสังคมที่อยู่นอกบังคับของกฎหมายนี้ได้ หรือในกรณีที่เลวร้ายยิ่งขึ้นอาจมีการนำนิยามองค์กรภาคประชาสังคมที่อยู่ในตัวบทกฎหมายถูกนำไปใช้พิจารณาคดีต่อประชาสังคมที่อยู่นอกบังคับของกฎหมายนี้ได้  
ดังเช่นกรณีตัวอย่างของ 'พื้นที่แหล่งต้นน้ำหรือป่าน้ำซับซึม' ที่เป็นคำที่อยู่ในมาตรา 17 วรรคสี่ ของกฎหมายแร่ฉบับใหม่ (พระราชบัญญัติแร่ พ.ศ.2560) แต่ไม่มีนิยามใดๆ ของคำนี้อยู่ในตัวบทกฎหมายดังกล่าว เมื่อประชาชนในพื้นที่ลุกขึ้นมาคัดค้านการขอประทานบัตรทำเหมืองแร่ชนิดหนึ่ง แล้วพบว่าพื้นที่ในและโดยรอบเขตคำขอประทานบัตรมีทางน้ำไหลจนไหลรวมกันเป็นร่องน้ำ จากร่องน้ำก็ไหลรวมกันเป็นลำห้วย จากลำห้วยก็ไหลรวมกันเป็นลำน้ำและแม่น้ำในลำดับต่อๆ ไป หรือตรงขอบเขตในและโดยรอบพื้นที่คำขอประทานบัตรพบร่องน้ำลำธารไหลลอดภูเขาขึ้นมาเป็นตาน้ำซับน้ำซึมอันเป็นต้นทางของลำห้วย ลำธาร ลำน้ำและแม่น้ำในลำดับต่อๆ ไป  
ประชาชนในพื้นที่ก็หยิบยกประเด็นนี้ขึ้นมาคัดค้านการดำเนินการเพื่อขอประทานบัตรทำเหมืองในพื้นที่นั้นๆ ได้อย่างมีน้ำหนักของเหตุและผล จนเป็นเหตุให้พื้นที่คำขอประทานบัตรหลายแห่งมิอาจดำเนินการเพื่อขอประทานบัตรทำเหมืองแร่ชนิดต่างๆ ต่อไปได้ เพราะกฎหมายแร่ฉบับใหม่ระบุไว้ชัดเจนว่าพื้นที่ใดก็ตามหากเป็นพื้นที่แหล่งต้นน้ำหรือป่าน้ำซับซึมจะต้องถูกกันออกจาก 'เขตแหล่งแร่เพื่อการทำเหมือง' ซึ่งจะนำพื้นที่เหล่านั้นไปดำเนินการเพื่อขอประทานบัตรทำเหมืองมิได้  
สิ่งที่เป็นประโยชน์เมื่อไม่มีนิยามของคำว่าแหล่งต้นน้ำหรือป่าน้ำซับซึมอยู่ในกฎหมายแร่ฉบับใหม่ก็ทำให้ฝ่ายประชาชนเองนิยามคำนี้ได้กว้างขวางอย่างสอดคล้องต่อระบบนิเวศและวิถีชีวิตในการทำมาหากินในพื้นที่นั้นๆ แม้ว่ารัฐได้พยายามนำนิยามความหมายของ 'ต้นน้ำ', 'ป่าต้นน้ำ', 'พื้นที่ชั้นคุณภาพลุ่มน้ำ' ที่ปรากฏอยู่ในกฎหมายว่าด้วยป่าไม้ กฎหมายอื่นๆ  และมติคณะรัฐมนตรีฉบับต่างๆ มาเทียบเคียงแหล่งต้นน้ำหรือป่าน้ำซับซึมเพื่อสร้างความชอบธรรมในการดำเนินการขอประทานบัตรพื้นที่นั้นๆ ต่อไปให้ได้ แต่ก็ไม่สามารถนำมาโต้แย้งและทำลายความชอบธรรมที่ฝ่ายประชาชนให้นิยามความหมายได้อย่างราบรื่นนัก เพราะเป็นคนละนิยามที่มีรายละเอียดในนิยามแตกต่างกันพอสมควร  
ในทำนองเดียวกัน เมื่อร่างฯ องค์กรประชาสังคมได้นิยามองค์กรภาคประชาสังคมเช่นนั้นแล้ว และหากร่างกฎหมายฉบับนี้ถูกประกาศบังคับใช้ขึ้นมา หากมีกรณีพิพาทใดๆ เกี่ยวกับประชาสังคม ก็อาจจะมีการหยิบยกนิยามองค์กรภาคประชาสังคมในกฎหมายนี้ขึ้นมาเป็นคุณหรือโทษต่อการพิจารณาคดีได้
นี่จึงเป็นเหตุอันไม่สมควรที่ร่างกฎหมายฉบับนี้จะนิยามองค์กรภาคประชาสังคมไว้ในกฎหมาย ปล่อยให้นิยามความหมายของประชาสังคม/องค์กรภาคประชาสังคมร่องรอยอยู่ในความรู้สึกนึกคิดของผู้คนที่มากไปกว่านิยามในกฎหมายดีกว่า เพราะคำคำนี้ได้ขยับขยายที่ทาง ความหมายและตัวตนอย่างกว้างขวางในระดับสากลโลกไปแล้ว เป็นทั้งแนวคิดและปรัชญา ไม่ควรเขียนกฎหมายเพื่อนิยามความหมายของคำคำนี้ให้อึดอัดคับแคบไม่สอดคล้องกับความเข้าใจของผู้คนในสากลโลกน่าจะดีกว่า
ท้ายที่สุดแล้ว การขอความร่วมมือให้เอ็นจีโอและประชาสังคมร่วมกันแสดงพลังคัดค้าน ‘ร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการดำเนินงานขององค์กรที่ไม่แสวงหารายได้หรือกำไรมาแบ่งปันกัน พ.ศ. ....’ หรือ ‘ร่างฯ องค์กรไม่แสวงหารายได้’ เพราะเป็นกฎหมายที่เลวร้ายกว่า โดยยังผลักดัน ‘ร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมและพัฒนาองค์กรภาคประชาสังคม พ.ศ. ....’  หรือ ‘ร่างฯ องค์กรภาคประชาสังคม’ ต่อไป เพราะเห็นว่าเป็นร่างกฎหมายที่มีเนื้อหาดีกว่า ซึ่งมีประชาชนเข้าชื่อเสนอร่างกฎหมายนี้กว่าหมื่นคนนั้น ไม่น่าจะเป็นแนวทางที่ดี เพราะแนวทางที่ดีกว่าคือการคัดค้านปัดตกร่างกฎหมายทั้งสองฉบับนี้ไปพร้อมๆ กัน เพราะร่างกฎหมายทั้งสองฉบับนี้มีลักษณะที่ค่อนข้างล้าหลัง คับแคบ อนุรักษนิยมและตามไม่ทันความเป็นไปของประชาสังคมโลก
และท้ายของท้ายที่สุด หากเอ็นจีโอและประชาสังคมจำนวนหนึ่งยังต้องการผลักดันร่างกฎหมายนี้ต่อไป มีข้อแนะนำสองข้อโดยให้ทำทั้งสองข้อไปด้วยกัน ไม่ทำเพียงข้อใดข้อหนึ่งเท่านั้น ได้แก่ หนึ่ง-ให้เอานิยาม 'องค์กรภาคประชาสังคม' หรือคำใดก็ตามที่เกี่ยวเนื่องกับประชาสังคมออกจากร่างกฎหมายนี้เสีย ปล่อยให้ประชาสังคมทำงานในระดับปรัชญาความคิดของผู้คนที่อยู่นอกการจำกัดกรอบความคิดของกฎหมายที่อึดอัดคับแคบ สอง-เปลี่ยนชื่อร่างกฎหมายฉบับนี้ ที่มีชื่อเต็มว่า ‘ร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมและพัฒนาองค์กรภาคประชาสังคม พ.ศ. ....’ โดยตัดคำว่า ‘ประชาสังคม’ ออกเสีย.  

เลิศศักดิ์ คำคงศักดิ์

faz123 gembet99 lucabet168 joker999 123auto 123vega 369superslot bitbet69 ezcasino fox88 g2g24time goodbet711 huc99 fafa888 918kissauto akbet asia999 g2g789t gcwon99 goal123 kingkongxo lava168 luk666 g2gbet 1ufa


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"