ให้ออกสว. พบเมียโยง แก๊งไซซะนะ


เพิ่มเพื่อน    

แถลงปฏิบัติการชัยยะสยบไพรี 61/2 ตำรวจ ปส.ปูพรมค้น 59 เป้าหมายทั้งใน กทม.และต่างจังหวัด ยึดยาบ้า 3.6 ล้านเม็ด ไอซ์ 2 กก. อายัดทรัพย์เกือบพันล้าน ผบ.ตร.เผยให้ออกสารวัตรทางหลวงหลักฐานมัดร่วมกับเมียค้ายาเสพติด "สมหมาย" ชี้เชื่อมโยงเครือข่าย "ไซซะนะ" คาดมีสีกากีนอกรีตร่วมแก๊งอีกหลายคน
    ที่กองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด (บช.ปส.) วันที่ 18 มกราคมนี้ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร. พร้อมด้วย พล.ต.อ.เฉลิมเกียรติ ศรีวรขาน รอง ผบ.ตร., พล.ต.อ.ธนิตศักดิ์ ธีระสวัสดิ์ ที่ปรึกษาพิเศษ ตร. ในฐานะ ผอ.ศอ.ปส.ตร., พล.ต.ท.สมหมาย กองวิสัยสุข ผบช.ปส. ร่วมกันแถลงข่าวการกวาดล้างยาเสพติดตามแผนปฏิบัติการชัยยะสยบไพรี 61/2 ปฏิบัติการในห้วงวันที่ 12-19 มกราคม 2561 จำนวน 59 เป้าหมาย ในพื้นที่ต่างๆ คือ กรุงเทพฯ  20 เป้าหมาย ตำรวจภูธรภาค 1 จำนวน 11 เป้าหมาย ตำรวจภูธรภาค 4 จำนวน 2 เป้าหมาย ตำรวจภูธรภาค 5 จำนวน 10 เป้าหมาย ตำรวจภูธรภาค 7 จำนวน 16 เป้าหมาย เกี่ยวโยง 4 เครือข่ายสำคัญ ได้แก่ 1.เครือข่ายนางสาวทิพย์อาภา รักษาแสง 2.เครือข่ายนางสาวธิดารัตน์ จิตรานนท์ (เครือข่ายไอซ์) 3.เครือข่ายม้งเวียงแก่น นายมนตรี วงศ์บุญชัยเลิศ และ 4.เครือข่ายเอก อ้วน 
    ผลปฏิบัติการ เจ้าหน้าที่สามารถจับกุมคดียาเสพติดได้รวม 9 คดี ผู้ต้องหา 14 คน ตรวจยึดของกลางเป็นยาบ้า 3,600,000 เม็ด ยาไอซ์ 2 กิโลกรัม กัญชา 12 กก. โคเคน 770 กรัม อาวุธปืนสั้น 21 กระบอก กระสุนปืน 1,163 นัด ยึด-อายัดทรัพย์สิน ประกอบด้วย รถยนต์ 11 คัน บ้าน 2 หลัง ที่ดินและคอนโดมิเนียม 37 แปลง เงินสด 7,965,900 บาท ทองรูปพรรณ และอื่นๆ รวมมูลค่ากว่า 910,935,700 บาท
    พล.ต.อ.จักรทิพย์กล่าวว่า ถือเป็นการยกระดับในการกวาดล้างยาเสพติดตั้งแต่นี้เป็นต้นไป จึงขอความร่วมมือทุกหน่วยงานช่วยเป็นหูเป็นตา ส่วนคดี น.ส.ทิพย์อาภา ที่มี พ.ต.ท.ธนกฤต นิตสพันธ์ สว.สอบสวน ส.ทล.1 กก.1 บก.ทล. สามี มาเกี่ยวข้องนั้น จะต้องมีการตรวจสอบย้อนหลัง เพราะ พ.ต.ท.คนดังกล่าวเคยมีคำสั่งให้ช่วยราชการเมื่อครั้งอยู่ สน.มักกะสัน ก่อนที่จะมารับตำแหน่งที่ตำรวจทางหลวง โดยต้องตรวจสอบดูว่ามีความผิดปกติหรือไม่ แต่ในเบื้องต้น ทางต้นสังกัดคือ บช.ก. ได้มีคำสั่งให้ออกราชการไว้ก่อนแล้ว ขณะเดียวกันได้มีคำสั่งให้ทุกกองบัญชาการตรวจสอบข้าราชการตำรวจทุกนายในสังกัด หากพบใครเกี่ยวข้องกับยาเสพติดก็ไม่เอาไว้
    ขณะที่ พล.ต.ท.สมหมายกล่าวว่า จากการสอนสวน พ.ต.ท.ธนกฤต ยังคงให้การปฏิเสธ แต่มั่นใจว่าข้อมูลหลักฐานที่มีอยู่สามารถทำให้ติดคุกได้แน่นอน ไม่เช่นนั้นศาลคงไม่อนุมัติหมายจับ เมื่อตอนที่เจ้าหน้าที่ตำรวจจับ น.ส.ทิพย์อาภา ได้โทรศัพท์แจ้ง พ.ต.ท.ธนกฤต จนมีการขนของออก โดย พ.ต.ท.ธนกฤตได้ขนเงินจำนวน 2 ล้านบาทไปยัง จ.เพชรบุรี ซึ่งพฤติการณ์ของ พ.ต.ท.ธนกฤตมีการช่วยเหลือกันตลอด ทั้งดูแลเรื่องเงิน เปลี่ยนรถให้ อีกทั้งเจ้าหน้าที่พบเครื่องนับเงิน ถ้าไม่ทำธุรกิจเกี่ยวกับเงินจะมีไว้ทำไม และรถยนต์ที่ตรวจยึดได้ก็มีการดัดแปลงด้านล่างไว้สำหรับลำเลียงยาเสพติด ทำให้ น.ส.ทิพย์อาภารอดจากการจับกุมมาได้นานกว่า 10 ปี
    พล.ต.ท.สมหมายกล่าวว่า น่าจะมีนายตำรวจอื่นอยู่ในขบวนการของ พ.ต.ท.ธนกฤตอีก เพราะคนเดียวคงทำไม่ได้ ส่วนจะมีการนำเงินที่ได้จากขบวนการค้ายาเสพติดมาใช้ในการโยกย้ายตำแหน่งหรือไม่นั้น ไม่ทราบ ขณะนี้อยู่ระหว่างการรวบรวมพยานหลักฐานและขยายผลไปยังผู้ที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม
    "ขบวนการของ น.ส.ทิพย์อาภา ถือเป็นกลุ่มค้ายาเสพติดรายใหญ่และเชื่อมโยงกับเครือข่ายของนายไซซะนะ แก้วพิมพา พ่อค้ายาเสพติดชาวลาวที่ถูกจับกุมไปแล้ว โดยพฤติการณ์กลุ่มนี้จะมีคนถือทรัพย์สินแทน อาจจะเป็นพ่อ หลาน น้อง ซึ่งต้องเชื่อมโยงให้ได้ ส่วนลักษณะการลำเลียงยาเสพติดนั้น จะนำรถยนต์ที่ถูกขโมยไปดัดแปลงใต้ท้องรถให้ว่างไว้สำหรับลำเลียงยาเสพติด ซึ่งรถยนต์คันหนึ่งสามารถขนกัญชาได้กว่า 200 กก. และมีการศัลยกรรมใบหน้าใหม่เพื่อให้คนจำไม่ได้อีกด้วย มูลค่าทางการเงินคาดว่ามีอยู่หลายร้อยล้านบาท ส่วน พ.ต.ท.ธนกฤตนั้น จากแนวทางการสืบสวนพบว่าเป็นนายตำรวจที่ปฏิบัติหน้าที่ในหน่วยงาน ไม่มีรายได้อื่น แต่กลับมีรายได้เข้ามามาก จนสามารถส่งลูกเรียนโรงเรียนนานาชาติที่ต้องใช้เงินปีละกว่าล้านบาท" พล.ต.ท.สมหมายกล่าว
    มีรายงานว่า ศาลอาญาได้อนุมัติหมายจับ พ.ต.ท.ธนกฤต นิตสพันธ์ ในข้อหาร่วมกันมียาเสพติดให้โทษประเภทที่ 4 (กัญชา) ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายโดยไม่ได้รับอนุญาต และสมคบคิดโดยตกลงกันตั้งแต่สองคนขึ้นไปเพื่อกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดและได้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดที่ได้มีการสมคบกัน, รับเงินทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดจากผู้กระทำความผิดเพื่อประโยชน์หรือให้ความสะดวกแก่การกระทำความผิด
    ที่ชลบุรี พล.ต.ท.จิตติ รอดบางยาง ผบช.ภ.2 กับพวก แถลงจับกุมนายอมร หนูมาโนช อายุ 26 ปี และนางสาวบรรจงขวัญ แสงสว่าง อายุ 27 ปี ในข้อหามียาเสพติดให้โทษอยู่ในครอบครองเพื่อจำหน่าย พร้อมของกลางเป็นยาไอซ์ 2,856.65 กรัม ยาบ้า 36,000 เม็ด ยาอี 1,000 เม็ด เคตามีนชนิดน้ำ 757 ขวด โดยจับกุมได้ในหอพักมายโฮม เลขที่ 25 ถนนลงหาดบางแสน ต.แสนสุข อ.เมือง จ.ชลบุรี
    ส่วนที่ชุมพร ตำรวจทางหลวง สทล.4 กก.2 ร่วมกับตำรวจกองปราบปราม จับกุมนายองอาจ เลาว้าง อายุ 32 ปี พร้อมยาไอซ์ 200 กิโลกรัม ขณะขับรถยนต์กระบะโตโยต้า ตอนครึ่ง ทะเบียน ผษ 2351 เชียงใหม่ ไปตามถนนสายเอเชีย 41 ขาล่องใต้ หลัก กม.9 ต.ทุ่งคา อ.เมืองชุมพร เจ้าหน้าที่ขอตรวจค้นกระบะหลังบรรทุกข้าวเปลือกบรรจุในกระสอบปุ๋ย พบยาไอซ์จำนวนดังกล่าว มูลค่า 600 ล้านบาท นายองอาจให้การว่า รับจ้างขนจากสุพรรณบุรีจะไปส่งให้เครือข่ายที่สุราษฎร์ธานี.


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"